กลางดึกตอนห้าทุ่มครึ่ง

        เซี่ยเจิงเพิ่งจะถูพื้นเสร็จและกำลังเก็บของเตรียมตัวเลิกงาน จู่ๆ ก็มีคนผลักประตูร้านและเดินเข้ามา เขากำลังจะเอ่ยออกไปด้วยความเคยชินว่า “ยินดีต้อนรับครับ” แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในทันที “พี่เหม่ย”

        โจวเหม่ยเป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ เธอเป็นผู้หญิงอายุสามสิบต้นๆ แต่งหน้าแต่งตาสะสวย ทั้งยังแต่งตัวทันสมัย ​​ดังนั้นเธอจึงดูเด็กกว่าอายุจริงมาก ทว่าสีหน้าของเธอในวันนี้ดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด

        เซี่ยเจิงเอ่ยทักทายเธอ เธอเองก็รีบตอบกลับทันทีด้วยรอยยิ้ม “เตรียมตัวเลิกงานแล้วเหรอ? พี่บังเอิญผ่านมาเลยแวะมาดูน่ะ”

        “ครับ” เซี่ยเจิงเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์แล้วแตะตรงหน้าจอของเครื่องคิดเงินอยู่สองครั้ง “ยอดขายของวันนี้โอเคเลยครับ”

        “อะไรกัน? พี่ไม่ได้จะมาตรวจงานสักหน่อย” โจวเหม่ยกวาดตามองชั้นวางสินค้า “ช่วงนี้ยุ่งหรือเปล่า?”

        “ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนน่ะครับ คนเลยเยอะกว่าปกตินิดหน่อย” เซี่ยเจิงมองเธอ “แต่ว่ายังพอจัดการได้อยู่ครับ”

        “งั้นก็ดีแล้วล่ะ” โจวเหม่ยพยักหน้า “ช่วงนี้คุณป้าเป็นยังไงบ้าง?”

        “เหมือนเดิมครับ” เซี่ยเจิงขมวดคิ้วโดยไม่ใส่ใจนัก

        “โอเค งั้นไปกันเถอะ ปิดประตูเลิกงาน แล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งเธอเอง” โจวเหม่ยไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหันกลับมาหยิบกุญแจรถออกมาแล้วกดเปิดไปทางด้านนอกประตูร้าน ไฟรถพลันสว่างจ้า จากนั้นโจวเม่ยก็เดินออกไป “พี่ไปรอข้างนอกนะ”

        ไม่ว่าตอนนี้เซี่ยเจิงจะอายุเท่าไรก็ตาม แต่เขาก็รู้จักโจวเหม่ยมานานหลายปีแล้ว

        ตอนที่เซี่ยเจิงยังเด็ก เพื่อนบ้านในซอยมักจะพูดว่า “ลูกสาวของเหล่าโจวยิ่งโตยิ่งสวยเนาะ” เซี่ยเจิงจำเรื่องราวในตอนนั้นไม่ค่อยได้เท่าไร แต่มีอยู่ฉากหนึ่งที่โจวเหม่ยสวมกระโปรงสีขาวสะอาดตา พอเห็นเซี่ยเจิงเธอก็หยุดฝีเท้าลงแล้วยื่นมือออกมาลูบศีรษะของเขา

        “ไหนขอพี่ดูหน่อยซิว่าเสี่ยวเจิงโตขึ้นหรือเปล่า? มา ยื่นมือมาสิ”

        โจวเหม่ยหยิบลูกกวาดออกมาจากกระเป๋าของเธอ ทั้งลูกกวาดรสผลไม้และรสนม ลูกกวาดที่สวยงามหลากหลายชนิดถูกวางอยู่บนมือของเซี่ยเจิง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ขอบคุณครับพี่เหมยเหม่ย

        สุดท้ายโจวเหม่ยก็แต่งงานแล้วย้ายออกไป แต่ไม่ทันไรเธอก็กลับมา

        โจวเหม่ยหย่าร้างและมีลูกสาววัยหนึ่งขวบติดมาด้วย ฝ่ายชายเคยตามมารังควานอยู่สองสามครั้ง เซี่ยเจิงเคยบังเอิญได้พบกับอีกฝ่ายอยู่ครั้งหนึ่งจนมีเรื่องชกต่อยกัน

        ตอนนั้นเขาอยู่มัธยมต้น ตัวของเขายังไม่ได้สูงเท่าตอนนี้ แม้ว่าจะใช้แรงทั้งหมดที่มีในการเหวี่ยงหมัดออกไปทุกครั้งแต่คืนวันนั้นใบหน้าของเขาก็บวมช้ำอยู่ดี แล้วก็เป็นโจวเหม่ยนั่นเองที่เป็นคนทำแผลให้เขา

        “คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กที่เคยวิ่งตามก้นพี่ต้อยๆ วันหนึ่งจะปกป้องพี่ได้น่ะ”

        ไม่ต้องพูดถึงว่าโจวเหม่ยดูโง่เขลาแค่ไหนที่ทั้งร้องไห้ไปหัวเราะไป แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือตอนนั้นเซี่ยเจิงดูนิ่งสงบมาก “จะไม่มีใครมารังแกพวกพี่ได้” ใช่แล้ว โจวเหม่ยในตอนนั้นทำให้เซี่ยเจิงเชื่อมโยงเธอเข้ากับแม่ของตัวเองที่ถูกเซี่ยรุ่ยเซินรังแกจนมีอาการทางจิตโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่าเขาจึงต้องปกป้องคนที่เขาอยากจะปกป้อง

        แต่โจวเหม่ยโชคดีกว่าแม่ของเซี่ยเจิงมาก หลังจากการหย่าร้างเธอก็เริ่มทำธุรกิจเล็กๆ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สุดท้ายเธอก็เปิดร้านสะดวกซื้อและย้ายออกไปจากตรอกเล็กๆ แห่งนั้นอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับเซี่ยเจิงเลย ซึ่งปกติแล้วพอถึงช่วงปิดเทอมเซี่ยเจิงจะมาทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่เพื่อหาค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ

        สายลมในคืนฤดูร้อนอันอ่อนโยนพัดมาอย่างเอื่อยเฉื่อย เซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ในรถระบายความเหนื่อยล้าด้วยการพูดคุยกับโจวเหม่ยอย่างเป็นกันเอง

        “เธออยู่มอห้าแล้วสินะ? เร็วจัง” โจวเหม่ยทำเสียงจิ๊ปากพลางมองเซี่ยเจิงผ่านกระจกมองหลัง ราวกับสงสัยว่าเด็กน้อยคนนั้นทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่สูงจนเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้

        “งั้นผมก็ตามติดพี่ขอกินลูกกวาดบ่อยๆ ไม่ได้แล้วสิครับ” เซี่ยเจิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างก็มีคนทำแบบนั้นแทนผมแล้วด้วย” เซี่ยเจิงกำลังพูดถึงเพ่ยเพ่ยลูกสาวของโจวเหม่ย เด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาคล้ายกับแม่ของเธอราวกับแกะสลักออกมาซึ่งตอนนี้งานอดิเรกในชีวิตประจำวันของเธอก็คือการเดินวนไปรอบๆ โจวเหม่ยและเอ่ยว่า “ลูกกวาดๆๆ แม่ขาขอลูกกวาดหน่อยค่ะ”

        ทั้งสองพูดไปหัวเราะไปก็มาถึงปากซอยทางเข้าบ้านของเซี่ยเจิงแล้ว การขับรถเข้าไปด้านในไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก ก่อนลงจากรถเซี่ยเจิงล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขาและหยิบสิ่งของบางอย่างออกมายื่นให้โจวเหม่ย

        “อย่าหักโหมเกินไปนะครับพี่”

        โจวเหม่ยชะงักไปครู่หนึ่ง กระทั่งเธอเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือคือพลาสเตอร์ยาสองแผ่น เซี่ยเจิงเดินหายไปไกลแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาเสียงเบา “เด็กบ้า”

        ก่อนหน้านี้เธอยุ่งอยู่กับธุรกิจและต้องใส่รองเท้าส้นสูงเทียวไปเทียวมาอยู่หลายวัน จนทำให้ส้นเท้าของเธอถลอกทำให้เวลาเดินก็ไม่ค่อยจะสะดวกนัก ไม่รู้ว่าเซี่ยเจิงสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อไร

        เซี่ยเจิงเดินไปจนถึงทางเลี้ยวของซอย จากนั้นจึงหยิบบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงออกมาจุด

        หลายปีมานี้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโจวเหม่ย เขาคงจะลำบากมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้คุณยายได้ทิ้งทรัพย์สมบัติที่เป็นบ้านเอาไว้ ซึ่งตอนนี้ได้ปล่อยเช่าไปแล้ว และเพราะมันเก่าเกินไปจึงปล่อยเช่าในราคาที่สูงมากไม่ได้ ค่าเช่าก็พอถูไถให้พวกเขาสองแม่ลูกใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้บ้าง ตอนนี้เซี่ยเจิงสามารถทำงานพาร์ทไทม์ต่างๆ ได้  จึงไม่ถึงขั้นลำบากอะไรมากมาย อันที่จริงเมื่อก่อนแม่ของเซี่ยเจิงยังสามารถช่วยเหลืองานต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงของเธอ หากมีเรื่องมากระตุ้นจนเกิดปัญหาเพียงครั้งเดียวก็จะเสียเงินค่ารักษาไปไม่น้อยทีเดียว เซี่ยเจิงจึงไม่กล้าให้แม่ของเขาออกไปหางานทำอีก แต่คุณป้าที่อยู่ข้างบ้านก็พาแม่ของเซี่ยเจิงไปทำงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ต้องใช้แรงงานมาก เพื่อแลกกับเงินค่าขนมที่ไม่ได้มากมายนัก ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นการฆ่าเวลาเสียมากกว่า

        หลังจากที่เซี่ยเจิงสูบบุหรี่เสร็จ เขาก็หยิบหมากฝรั่งอีกชิ้นยัดเข้าไปในปากและเคี้ยวมันอย่างเงียบๆ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นใดๆ บนตัวแล้วถึงค่อยเดินไปทางบ้านของตัวเอง

        ตราบใดที่เซี่ยเจิงต้องทำงานจนดึกดื่น แม่ของเขาก็จะรอเขากลับมาเสมอ

        เซี่ยเจิงไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้ได้ การเดินผ่านค่ำคืนอันมืดมิดไปจนสุดทางและมองไปยังโคมไฟที่เปิดไว้รอเขาอยู่ ทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกว่าชีวิตยังคงมีความหวัง

        “แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว…”

        เซี่ยเจิงที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู ความรู้สึกผิดปกติพลันก่อตัวขึ้นมาในใจ

        ประตูเปิดแง้มอยู่

        หัวใจของเซี่ยเจิงพลันเต้นระรัว เขาตะโกนออกไปอีกครั้ง “แม่ครับ” สองเท้าแทบจะกระจนเข้าไปในบ้าน

        “เสี่ยวเจิง”

        ภายในห้องที่มีแต่ข้าวของกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น ป้าหลี่ที่อยู่ข้างบ้านกำลังนั่งโอบไหล่แม่ของเขาอยู่บนโซฟา พลางเอ่ยปลอบเธอเสียงเบา เมื่อเห็นเซี่ยเจิงเดินเข้ามา ป้าหลี่ก็เอ่ยเรียกเขา สีหน้าของอีกฝ่ายดูผ่อนคลายขึ้นมาไม่น้อย

        “แม่ครับ?” เซี่ยเจิงคุกเข่าลงตรงหน้าโซฟาพลางลูบไหล่ของแม่อย่างระมัดระวัง หญิงสาวไม่ตอบสนองใดๆ แต่ตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แม้ผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงจะปกคลุมใบหน้าไปเกือบครึ่ง แต่เซี่ยเจิงก็ยังมองเห็นรอยนิ้วมือบวมแดงที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ

        “พ่อของเธอ… เซี่ยรุ่ยเซินกลับมาหาเรื่องอีกแล้ว” ป้าหลี่ถอนหายใจ น้ำเสียงของเธอทำอะไรไม่ถูก “แม่ของเธอกลัวไปหมดแล้ว”

        “…” เซี่ยเจิงกัดฟันและนิ่งไปครู่หนึ่ง

        ป้าหลี่อยากจะช่วยทำความสะอาดบ้าน แต่เซี่ยเจิงละอายใจที่จะต้องรบกวนอีกฝ่าย เขาจึงบอกให้ป้าหลี่รีบกลับบ้านไปพักผ่อน หลังจากที่ป้าหลี่จากไป เซี่ยเจิงก็มองไปยังข้าวของที่วางกระจัดกระจายและพังเสียหาย มือของเขารู้สึกหนักอึ้งจนแทบจะยกไม่ขึ้น

        หลอดไฟในห้องนั่งเล่นเสียไปเมื่อสองสามวันก่อน มันกำลังกะพริบริบหรี่ราวกับรอคอยจุดจบของตัวเองอย่างไม่เต็มใจ เซี่ยเจิงยังไม่มีเวลาที่จะเปลี่ยนมัน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างและความมืดมิดมองดูแม่ของเขาที่ยังคงนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนโซฟาเช่นเดิม

        ชั่วขณะหนึ่งเซี่ยเจิงรู้สึกว่าคนคนนี้ช่างไร้ชีวิตชีวา

        “ขอโทษนะครับที่ผมมาช้า” ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถเอ่ยออกมาได้ เซี่ยเจิงยังคงนั่งลงข้างๆ เธอพลางยื่นมือออกไปจับมือของหญิงสาว มือของทั้งคู่เย็นเฉียบ ดูไม่ออกว่าใครจะเป็นคนนำพาความอบอุ่นมาปลอบโยนใคร

       

 ชวีเสี่ยวปอยืนรอมาเกือบสิบนาทีอย่างไร้จุดหมาย บนพื้นมีรอยรองเท้าที่เขาเหยียบย่ำจนเป็นวงกลม

        เขาสงสัยมากว่าไอ้บ้าซือจวิ้นอาจจะกำลังปักผ้าอยู่บนตึกหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่ยอมลงมาสักที ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้อยากจะออกมาสู้แดดแบบนี้หรอก เพราะอากาศในตอนนี้ราวกับซับกระสุนวิ่งขึ้นมาบอกว่า “กรุณาอย่าออกจากบ้าน เนื่องจากแดดแรงมาก” แต่เมื่อนึกถึงการที่ต้องอยู่ในห้องเดียวกันกับชวีอี้เจี๋ยแล้วเขายอมออกมาตากแดดเสียดีกว่า

        ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเวินลี่ ตั้งแต่ชวีเสี่ยวปอปิดเทอมฤดูร้อน เธอก็เริ่มติดต่อกับชวีอี้เจี๋ยบ่อยขึ้นและขอให้เขากลับมาเยี่ยมเยือนที่ “บ้าน” บ่อยู่อยๆ ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรให้ต้องกลับมาเยี่ยมเยือน เวินลี่มักจะชวนกลุ่มคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงเธอมาเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกันเสมอและตัวเองกับชวีอี้เจี๋ยที่พบหน้ากันไม่ถึงสามครั้งก็จะทะเลาะกัน ดูอย่างไรเวินลี่ก็กำลังหาเรื่องให้ตัวเองชัดๆ

        “พ่อลูกต้องพูดคุยกันบ่อยๆ จะได้พัฒนาความสัมพันธ์ยังไงเล่า!” หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จเวินลี่ก็ดูพอใจไม่น้อย ดูเหมือนว่าคำตอบของชวีอี้เจี่ยจะทำให้เธอพอใจ “มื้อเย็นอยากกินอะไรหรือเปล่า?”

        “ไม่กิน” ชวีเสี่ยวปอหลับตาลงแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

        “อีกเดี๋ยวถ้าพ่อของลูกมาอย่าอารมณ์เสียเด็ดขาด” ความสามารถในการแสร้งโง่ของเวินลี่นั้นดีกว่าของชวีเสี่ยวปอมาก ในขณะที่พร่ำบ่นเธอก็ไปบอกให้ป้าแม่บ้านเตรียมอาหารเย็นไปด้วย

        นี่คือชีวิตของเวินลี่

        เธอเปรียบเสมือนลูกข่างลูกหนึ่งที่หมุนวนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างตั้งแต่แรกเริ่ม ส่วนชวีอี้เจี๋ยเป็นเชือกที่พันอยู่รอบลูกข่างคอยชี้นำทางเธอ ตราบเท่าที่เขาเต็มใจที่จะปล่อยตัวเองออกมา เวินลี่ก็จะหมุนวนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด

        ชวีเสี่ยวปอกำลังกังวลว่าจะหาข้ออ้างอะไรดี สุดท้ายซือจวิ้นก็โทรเข้ามา ชวีเสี่ยวปอไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบ เขาก็เอ่ยขึ้นมาทันที “รู้แล้วน่า จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” และเดินออกจากประตูไป

        “มาแล้วๆ !”

        ในที่สุดซือจวิ้นก็วิ่งเหยาะๆ มาหาเขาและหยุดอยู่ตรงหน้าชวีเสี่ยวปอกะทันหัน”พ่อครับ รอนานหรือเปล่า?”

        “เรียกปู่ก็ไม่ประโยชน์หรอก” ชวีเสี่ยวปอชกไหล่ซือจวิ้นไปสองที ถึงยิ้มออกมาได้เล็กน้อย

        “เหอะๆ นายเอากางเกงว่ายน้ำมาด้วยปะ?” ซือจวิ้นตบกระเป๋าเป้พลางเอ่ยถาม

        “กางเกงว่ายน้ำเหรอ?” ชวีเสี่ยวปอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ทันได้ตั้งใจฟังที่ซือจวิ้นพูดเท่าไรก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่รออยู่ด้านล่างตึกนานขนาดนี้

        “ใช่สิ ฉันบอกนายแล้วไงว่ามีสระว่ายน้ำเปิดใหม่น่ะ!” ซือจวิ้นหยิบคูปองว่ายน้ำสองใบออกมา “มันเพิ่งเปิดให้บริการเลยให้ไปลองใช้ฟรีน่ะ เป็นไงบ้าง?”

        “ก็ไม่ยังไง” ชวีเสี่ยวปอหยิบคูปองว่ายน้ำพลางมองมันอยู่อย่างนั้น “ถ้าฟรีคนก็น่าจะเยอะหรือเปล่า?”

        “ฉันรู้ว่านายมีบัตรวีไอพีรายปี แต่ถ้าไม่ใช้คูปองก็น่าเสียดายออก!” นี่คือคำพูดของซือจวิ้น หากเป็นคนอื่นพูดชวีเสี่ยวปอคงไม่พอใจไปแล้ว สระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้คือสระว่ายน้ำที่ชวีอี้เจี๋ยเป็นคนสร้าง หากชวีเสี่ยวปออยากไปแค่ปรากฏตัวก็เข้าไปได้แล้ว เขาเคยไปที่นั่นเพียงไม่กี่ครั้ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้อยากไปเท่าไร เขาอยากจะหลีกหนีจากทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชวีอี้เจี๋ยด้วยซ้ำ

        “ไปกันๆ กางเกงว่ายน้ำค่อยไปซื้อเอาก็ได้ ที่นั่นต้องมีขายแน่ๆ” ซือจวิ้นเกาะไหล่ของชวีเสี่ยวปอและดันเขาให้เดินไปทางสี่แยก

        ครั้นมาถึงสระว่ายน้ำชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเสียใจทันที

        เขารู้ว่าหากให้เล่นฟรีต้องมีคนมาที่นี่เยอะมากแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าคนจะมากมายขนาดนี้ นี่มันเหมือนกับหม้อใบใหญ่ที่กำลังต้มเกี๊ยวอยู่เลย ไม่มีการแยกโซนเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องของเด็กๆ ที่แทบจะทะลุออกไปนอกหลังคานั่นอีก

        แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาพบว่าตัวซื้อกางเกงว่ายน้ำมาผิด

        คุณลุงคนที่เฝ้าแผงที่อยู่ตรงประตูทางเข้าคนนี้เวลาขายของจะตะโกนเสียงดังและทำท่าทางว่า “ชอบก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร” แบบนั้น อีกทั้งคุณภาพกางเกงว่ายน้ำแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าจะขายตั้งร้อยห้าสิบหยวน ชวีเสี่ยวปอกลัวว่าพอลงน้ำไปสีจะตก แบบนี้ตัวเองก็จะต้องว่ายน้ำไปทั้งที่มีน้ำสีดำไหลย้อยออกมาเหมือนปลาหมึกน่ะเหรอ?

        อีกทั้งกางเกงว่ายน้ำตัวนี้ก็ทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังใส่กางเกงในอยู่อีก!

        แต่ไหนๆ ก็ใส่มันแล้วจะถอดออกก็ไม่ใช่เรื่อง ซือจวิ้นเหลือบมองชวีเสี่ยวปอ เขากวาดสายมองตั้งแต่ขายาวๆ ของอีกฝ่ายไปจนถึงบั้นท้าย จากนั้นก็หัวเราะจนแทบจะเห็นฟันกรามโผล่ออกมา “โอ้ กล้ามหน้าท้อง ขายาวๆ ทรวดทรงองค์เอวนั่น บั้นท้ายนี่อีก ช่างเซ็กซี่เหลือเกิน ปอเอ๋อร์”

        “ไสหัวไปซะ!” ชวีเสี่ยวปอแวบไปหน้ากระจกอย่างรวดเร็วเพื่อเช็คดูว่ากางเกงว่ายน้ำตัวนี้โอเคไหม อย่างไรมันก็เพียงพอ…ที่จะปกปิดส่วนที่สมควรจะปกปิดไม่ให้มัน…โดดเด่นเกินไป เขากัดฟันพูด “ไปกัน!”

        “จะมาว่ายน้ำหรือมาทำสงครามเนี่ย?” ซือจวิ้นหัวเราะคิกคักและเดินตามหลังเขาไป ระหว่างทางก็ยกเท้าขึ้นทาบกับบั้นท้ายของชวีเสี่ยวปอ “อู้ ใช้ได้เลยนะเนี่ย”

        พื้นที่ว่ายน้ำยังถือว่าปกติอยู่ ไม่ได้เป็นเหมือนที่ชวีเสี่ยวปอจินตนาการเอาไว้ว่าเท้าของคนข้างหน้าจะเตะไปโดนหน้าของคนข้างหลัง เนื่องจากคนส่วนใหญ่พาเด็กเล็กมาด้วย ดังนั้นทุกคนจึงสวมห่วงยางเล่นน้ำกันอยู่บริเวณน้ำตื้น ชวีเสี่ยวปอวอร์มร่างกายอยู่ด้านข้างสระ จากนั้นจึงกระโดดลงไป

        เขาเคยเรียนว่ายน้ำกับโค้ชผู้เชี่ยวชาญมาก่อนและยังว่ายท่าผีเสื้อได้เก่งมาก ประกอบกับแขนขาที่เหยียดยาวทำให้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวนั้นดูงดงามไม่น้อย ชวีเสี่ยวปอว่ายไปมาอยู่หนึ่งรอบก็พบว่าซือจวิ้นยังคงเตะแข้งเตะขาเหมือนกับสุนัขกำลังว่ายน้ำอยู่กลางสระอยู่เลย ชวีเสี่ยวปอพลันรู้สึกนึกสนุกขึ้นมา เขารีบว่ายไปทางนั้น แล้วตีขาจนน้ำกระเซ็นเต็มใบหน้าของอีกฝ่าย

        “ปอเอ๋อร์ นายยังเป็นคนอยู่ไหมเนี่ย?!” ซือจวิ้นไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้านจึงได้แต่ตะโกนออกไป

        “ฉันไม่ใช่คน” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะลั่น “ฉันคือหุ่นยนต์ว่ายน้ำที่ไร้ความรู้สึก”

        “ชวีเสี่ยวปอ!”

        ทั้งสองที่กำลังสนุกสนานพลันได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตัวเอง ชวีเสี่ยวปอหันไปมอง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นจ้าวชิวเจียยืนโบกมืออยู่ข้างสระน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายมาทางเขา

        “ไม่นะ…” ซือจวิ้นเองก็หยุดนิ่งเช่นกันจากนั้นจึงมองไปยังชวีเสี่ยวปอด้วยท่าทางลำบากใจ “บังเอิญเกินไปแล้วมั้ง”

        “ชวีเสี่ยวปอ!” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบสนอง จ้าวชิวเจียก็วิ่งจากอีกฝั่งมายังบริเวณกลางสระน้ำ เธอสวมชุดว่ายน้ำวันพีชสีดำ นั่นทำให้รูปร่างสูงเพรียวอ่อนช้อยของเธอดูสวยงามขึ้นไปอีก “พวกนายก็มาว่ายน้ำเหมือนกันเหรอ” หลังจากเอ่ยจบก็หันมาหาซือจวิ้นที่อยู่อีกด้าน ส่วนซือจวิ้นที่เห็นว่าเธอเอ่ยทักจึงพยักหน้าตอบรับอย่างแข็งขัน

        “ไม่งั้นจะมาดื่มน้ำหรือไง?” ชวีเสี่ยวปอขยับลงไปให้ลึกกว่าเดิม จริงๆ แล้วการได้เจอกับจ้าวชิวเจียที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เรื่องสำคัญคือเขากำลังสวมกางเกงว่ายน้ำรัดรูปสามเหลี่ยมนี่ต่างหากที่ทำให้มันมีอะไรขึ้นมา

        “ฮ่าๆๆๆ” จ้าวชิวเจียดูเหมือนจะชินชากับคำพูดแบบนี้ไปแล้ว เธอหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจแล้วกระโดดน้ำตามลงมา “ฉันกลัวว่าตัวเองจะเผลอดื่มน้ำเข้าไป นายสอนฉันว่ายน้ำหน่อยได้ไหม?”

        “ให้ซือจวิ้นสอนเธอสิ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยอย่างคลุมเคลือ แต่หลังจากที่จ้าวชิวเจียลงมาในสระน้ำ ชวีเสี่ยวปอก็พบว่าเธอว่ายน้ำได้ดีทีเดียว อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าซือจวิ้นมาก มีแค่สองคนก็เล่นกันได้ แต่มาเพิ่มอีกสักคนก็ไม่เห็นเป็นไร ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะบอกให้จ้าวชิวเจียมาช่วยกันสอนซือจวิ้นว่ายน้ำก็มีเสียงหยอกล้อดังมาจากด้านข้าง

        “เขาไม่สอน งั้นฉันสอนให้เธอเองดีไหม?”