ตัวของอินกองมีเลเวล
แล้วคนอื่นในโลกนี่ละ จะมีเลเวลเหมือนกันหรือเปล่า?
ถ้าใช่ แล้วคนอื่นจะมีวิธีการเพิ่มเลเวลเหมือนกับอินกองเลยไหม?
หลังจากที่ได้ยินคำถามจากอินกอง คารัคก็เกาคางเบาแล้วตามกลับมา
“อืม ครั้งสุดท้ายที่เช็คเหมือนจะ 21… ไม่สิ 22? ว่าแต่ ถามทำไม?”
และนี้ก็คือสิ่งเขารู้โดยคร่าว
มีระดับเลเวลเป็นกฎเกณฑ์อยู่ในโลกนี้
ทว่าผู้คนไม่สามารถดูเลเวลของตัวเองแบบที่อินกองทำได้
ทุกคนไม่มีใครรู้และไม่มีใครสามารถเข้าไปจัดการกับค่าสถานะของตัวเองได้
ทุกคนจะสามารถรู้ถึงเลเวลของตัวเองได้ก็ด้วยเวทมนตร์ที่มีเพื่อใช้ในการตรวจหาเลเวลโดยเฉพาะ
ส่วนวิธีการเพิ่มเลเวลก็แสนง่าย ฝึกให้หนักแล้วออกไปซัดกับศัตรูซะ เท่านี้เลเวลของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น
‘สรุปก็คือ นี่เราได้เปรียบกว่าชาวบ้านสินะ?’
เมื่ออินกองเลเวลเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่สมรรถภาพร่างกายจะฟื้นฟูแล้ว ค่าสถานะทุกอย่างของเขายังเพิ่มขึ้นอีกด้วย ยิ่งถ้านับที่สามารถเข้าไปจัดการเลือกสถานะที่ต้องการจะเพิ่มได้ด้วย นี่บ่งบอกให้เห็นว่าเขามีความสามารถในการเติบโตที่น่ากลัวสุดๆ
‘แล้วก็ ถ้าไม่มีใครรู้เรื่องแผนที่ย่อกับช่องเก็บของ ถือว่าเป็นความสามารถของเราก็คงได้?’
แน่นอนว่าอาจจะมีคนอื่นที่มาจากต่างโลกแบบอินกองอยู่ด้วย แต่ว่าเมื่อเทียบกับผู้คนทั่วไป ความสามารถของเขาถือว่าโดดเด่นมาก
เขาเริ่มมีรอยยิ้มเผยขึ้นมาบนใบหน้า
ถึงแม้ตอนนี้ถ้าสู้กันเขาก็คงแพ้แม้กระทั้ง นาย ก แต่มันก็แค่ตอนนี้เท่านั้น ถ้าเขาเพิ่มเลเวลได้อีกสัก 2 ขั้น สถานะทุกอย่างของเขาก็จะเป็น 11 ซึ่งมันจะทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าชาวบ้านทั่วไปที่มีค่าสถานะเฉลี่ยเป็น 10
‘ยิ่งถ้านับแต้มพิเศษด้วยละก็ เราก็เหนือไปอีกขั้นละ’
แต่อินกองก็อดเจ็บปวดไม่ได้ เมื่อเขาที่เป็นถึงพระเอก กลับต้องเอาตัวเองมาเทียบกับ นาย ก นาย ข
‘ช่างเถอะ.’
สิ่งสำคัญอย่างต่อมาก็คือทักษะ เวทมนตร์และทักษะทั้งหลายมีผลในการต่อสู้เป็นอย่างมากในโลกนี้ และวิธีการที่จะเรียนรู้พัฒนาก็ไม่ต่างจากที่อินกองพอจะรู้ นั่นก็คือใช้มันให้บ่อย
‘แต่ของเราพิเศษออกไป’
หลังจากเพิ่มขึ้นมาเป็นเลเวลสอง นอกจากแต้มสถานะเพิ่มเติมแล้ว อินกองยังได้รับแต้มเพิ่มระดับทักษะด้วย ซึ่งก็ตามชื่อเลย แต้มพวกนี้สามารถใช้ในการพัฒนาระดับของทักษะที่เขามีอยู่ได้
“หึหึหึ”
อินกองกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว ถึงแม้ว่าคารัคจะยังต้องมองเขาอยู่ก็ตาม
‘มันต้องอย่างนี้สิ โดนจับมาโลกต่างมิติทั้งที มันต้องพอมีอะไรมาชดเชยให้ได้บ้าง!’
ถ้าเขาไม่ได้สิ่งชดเชยเหล่านี้ ฉัตรก็คงตายตามแบบฉบับฉัตรแน่นอน
คารัคขมวดคิ้วหลังจากที่เห็นอินกองหัวเราะเรื่อยๆไม่หยุด
“องค์ชาย แกไม่เป็นอะไรแน่นะ? อาการแบบนี้มันเหมือนกับ…”
“ไม่มีอะไร้ ไม่มีอะไร อันที่จริง นี่มันเยี่ยมสุดๆไปเลย ให้ผมวิ่งต่อเลยไหม?”
เขาอยากรู้ว่า ถ้าเขาแค่วิ่งอย่างเดียว จะสามารถเพิ่มเลเวลได้ถึงเท่าไร แต่ทว่าคารัคกลับจ้องที่อินกองแล้วส่ายหน้า
“ไม่ละ แกดูแปลกๆไปก็จริง แต่ก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมาผิดปกติ”
คารัคเปลี่ยนทิศทาง พาอินกองไปยังลานซ้อม
“ได้ยินมาว่าองค์ชายใช้ดาบเป็น ไหนลองแสดงฝีมือหน่อย?”
คารัคส่งดาบไม้ที่ดูเหมือนกับไม้จิ้มฟันมาให้ แต่พออินกองรับมาถือ ถึงได้รู้ว่ามันค่อนข้างใหญ่และหนักพอประมาณ
“เอิ่ม นายอยากรู้ว่าผมชำนาญแค่ไหนสินะ?”
“แค่ลองตวัดไปมาไม่กี่ครั้งก็พอ ข้าอยากจะรู้ว่าฝีมือแกประมาณไหน”
ฟังดูไร้มารยาทมาก แต่ก็ตรงไปตรงมาเหมือนบุคลิกของออร์คดี การวิ่งเมื่อสักครู่ก็เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจน ว่าคารัคกำลังฝึกให้เขาอยู่
‘นี่กูต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ’
ในชีวิตจริง อินกองไม่เคยเรียนศิลปะการใช้ดาบ อย่างมากเขาก็แค่เอาไม้กวาดมาเล่นแทนดาบกับเพื่อนเวลาถึงเวรทำความสะอาด
อินกองสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจับดาบไม้ยืนในท่าปกติ จากนั้นเขาก็เหวี่ยงมันออกไปเหมือนตีเบสบอล
[คุณได้เรียนรู้ วิชาดาบพื้นฐาน ขั้น1]
“ฮะ?”
อินกองยืนงงกับข้อความที่ดังขึ้นมา เขารีบเปิดหน้าต่างทักษะแล้วใช้แต้มที่เขามีอย่างไม่ลังเล
[วิชาดาบพื้นฐาน ขั้น2]
ถึงมองด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง แต่อินกองก็สัมผัสถึงมันได้
‘เราเปลี่ยนไป ไม่สิ เราได้เรียนรู้บางอย่าง’
เขาเปลี่ยนวิธีที่เขาจับดาบ เปลี่ยนท่ายืนให้เหมาะกับการใช้ดาบ จากนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เขาวาดดาบไปในอากาศอย่างมีศิลปะ
“หืม?”
คารัคส่งเสียงขึ้นมา อินกองชอบที่เจ้าออร์คทำท่าแปลกใจก็เลยแกล้งลองถามไป
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่า แค่จู่ๆก็รู้สึกว่าแกดูชำนาญขึ้น?”
มันเอียงคอไปด้านข้างเล็กน้อย หน้าของมันบ่งบอกว่ามันพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
อินกองอดยิ้มในอาการของเจ้าออร์คไม่ได้
‘เอาละ ที่นี้เราทำได้แน่’
เขายังแข็งแกร่งขึ้นไปได้อีก และเขาจะแซงหน้าทุกคนขึ้นไป
นี่ค่อนข้างจะสำคัญมาก เพราะหากไร้ซึ่งพลัง อินกองก็จะไม่สามารถทำอะไรได้
สมมติหากผู้คนยุคปัจจุบันเข้าไปในเกมสามก๊กได้ เขาจะทำยังไงเพื่อที่จะรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น?
แน่นอนว่ามันต้องเริ่มจากการรวบรวมขุนศึกมากความสามารถ เช่น ขงเบ้ง กุยแก
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขามีขงเบ้งกับสุมาอี้เป็นกุนซือ? หรือมีกวนอูกับเตียวเลี้ยวเป็นทหารเอก? เตียวหุยกับตันฮกก็ดูไม่เลวเหมือนกันนะ
แต่มันก็เปล่าประโยชน์ถ้าเขาไม่รู้ว่าจะไปพบคนพวกนี้ได้ที่ไหน
รู้สึกเล่าปี่จะไปพบขงเบ้งที่กระท่อมบนเขาโงลังกั๋ง? เงียมแปะฮอก็ไปเจอซุนเซ็กเข้าที่ซ่อง?
ถ้ามีกุนซือที่เก่งกาจสักคน อินกองคงจะต่อกรกับแซเฟียร์ได้ง่ายขึ้น
เงียมแปะฮอคนนี้ต้องรีบหาตัวขุนพลให้ไวที่สุด ไม่งั้นชีวิตเขาต้องทรมานแน่
‘เพราะงั้น เราต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วกว่านี้ ต้องรีบหาตัวพวกนั้นให้เจอด้วย’
เขาเป็นเจ้าชายคนเล็กสุดที่ไม่มีทั้งพละกำลังและอิทธิพล ดังนั้นข้อมูลทจึงเป็นสิ่งเดียวที่เขานำมาใช้สร้างจุดยืนให้ตัวเองได้
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
เขายังวาดดาบอย่างต่อเนื่องระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อย ดูเหมือนว่า เขากำลังเก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
อินกองเริ่มเข้าใกล้ นาย ก มากขึ้นไปทุกที เนื่องจากที่เขาเลเวลเพิ่มขึ้น ร่างกายที่ล้าของเขาจึงฟื้นฟูกลับมาเสภาพเต็มที่อีกครั้ง
‘นี่ถ้าเราวาดดาบแบบนี้ไปเรื่อยๆ พรุ่งนี้เราจะถึงเลเวล 5 ได้ไหมนิ?’
คารัคบอกว่าฉัตรเดินทางมาที่นี่เพื่อฝึกฝน ฉะนั้นเขาต้องเพิ่มเลเวลให้ตัวเองให้มากสุดเท่าที่ทำได้ก่อนต้องเดินทางไปที่อื่น
‘มาคิดดูดีๆ’
คริสต์กับเคทลินกำลังคุมทัพในส่วนอื่นอยู่ หรือว่าภารกิจนี้จะเป็นการทำงานร่วมกัน?
“คารัค ผมสงสัยอะไรบางอย่าง”
“สงสัยอะไร?”
“เรามีแผนการรบอะไรไหม? ผมน่าจะมีนัดประชุมคุยกลยุทธกับทั้งคริสต์และเคทลิน”
เขาคิดว่าการประชุมน่าจะเป็นไปได้ยาก
เพราะในที่นี้เขาคือฉัตร ซึ่งก็เป็นคู่แข่งกับทั้งคู่
ถ้าพวกนั้นเกลียดเขาขึ้นมาละ?
‘พวกนั้นจะเคยเจอเราไหมนะ?’
เพราะเขาเป็นฉัตรแค่เพียงเปลือกนอก เขาไม่มีความทรงจำของฉัตรอยู่ในหัวเลย
ชักจะท่าไม่ดีซะแล้วสิ เขาอ้างว่าเป็นไข้กับออร์คอย่างคารัคได้ แต่สำหรับคริสต์กับเคทลิน เขาต้องหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้
คารัคตอบคำถามของอินกองกลับมา
“แแน่นอนว่ามี จำไม่ได้หรือไง?”
“ไม่เลยซักนิด เอาเป็นว่า เมื่อไร?”
มันคงไม่น่าจะมีนัดประชุมกันทุกวันหรอก ถูกมั้ย?
อินกองมองหน้าคารัคที่ตอบมาอย่างห้วน
“วันนี้”