มีคนทักว่าทำไมชื่อดูออกไทยๆ ชื่อที่ผมแต่งเองก็มีแค่ไอ หยุดลิขิตฟ้าต่อชะตาช่วยโลก กับ บทกวีแห่งผู้กล้า นี่ละ ส่วนพระเอก ด้วยความที่เป็นคนธรรพ์ ชื่อมันก็เลยออกมาแนวนี้

อีกอันก็คือ horseman conquest ผมคิดชื่อไม่ออกก็เลยแปรมันตรงๆ จะใช้ทับศัพท์ไปเลยหลังๆ ฮอร์สแมนวอร์ ฮอร์สแมนฟามีน ฮอร์สแมนเดธ โผล่มา เรียกแบบนี้ผมว่ามัน…ประหลาด ครั้นจะแปลตามจตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลก บทของ conquest ในนี้มันเน้นยึด บังคับ ควบคุม ผมเลยรู้สึกว่ามันเหมือนการปกครองมากกว่าที่จะเป็นชัยชนะ ก็เลยเลือกใช้คำว่าอาณัติแทน

 

 

“อะ ช้าไปหน่อยแต่นี่ ข้าวเช้า”

 

 ทันทีที่เขาเดินออกจากกระโจม ก็พบคารัคนั่งอยู่ที่โต๊ะพับ พร้อมอาหารบนโต๊ะ

 

 อินกองมองไปรอบตัวขณะเดินไป มีกระโจมและเต้นท์เรียงรายอยู่มากมายในบริเวณใกล้เคียง

 

‘นี่เราอยู่ที่จุดรวมพลบนภูเขารึไง?’

 

 มีท้องฟ้าสีครามโอบล้อม อินกองนั่งลงที่โต๊ะแล้วดูว่ามีอะไรกินบ้าง ขนมปังหนึ่งชิ้น ผักเล็กน้อย และสตูว์เนื้อถ้วยเล็ก

 

 ‘ฉัตรมันเป็นเจ้าชาย…จริงปะวะ?’

 

 เขาชักไม่แน่ใจขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่ก็คงดูแปลกถ้าค่ายแบบนี้จะมีพิธีรีตอง

 

 อินกองลองชิมสตูว์เนื้อเพื่อพิสูจน์อะไรบ้างอย่าง รสชาดใช้ได้เลยแต่นั่นไม่สำคัญ

 

‘นี่มันของจริง’

 

 ได้จับ ได้เห็น ได้กลิ่น ได้ยิน แม้กระทั่งได้ลิ้มรส ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งบอกเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง

 

“เฮ่อ”

 

 เขาอดถอดหายใจไม่ได้ อินกองสูดหายใจตั้งสติแล้วหันถามเจ้าออร์คที่กำลังมองดูทิวภูเขา

 

“คารัค ตอนนี้ปีอะไร?”

 

 คารัคคงงงกับคำถามที่แปลก มันเลือกที่จะถามกลับแทนที่จะตอบคำถาม

 

“เมื่อวานแกเป็นไข้หรือยังไง?”

 

 อินกองพยักหน้าตอบเออออไป

 

“ใช่ ตื่นมานี่ปวดหัวหนักมาก ความจำก็ปนกันมั่วไปหมด”

 

 อินกองก็คิดว่ามันดูสุดเหลือเชื่อ แต่ก็เลือกที่จะไปตามน้ำ เพราะเขายังมีคำถามอยู่อีกเยอะ

 

‘แต่เดี๋ยวสิ ปกติออร์คมันคุยกับเจ้าชายแบบนี้หรอวะ?’

 

 ถึงแม้จะเป็นเจ้าชาย ฉัตรก็ได้ชื่อว่าเงียมแปะฮอของบทกวีแห่งผู้กล้า แรงน้อย พลังน้อย ไร้เพื่อน ไร้แรงผลักดัน ไร้กำลังพล และไร้วี่แววที่จะเป็นจอมมาร

 

‘นี่มันโดนทุกคนเมินซะขนาดนี้เลยเรอะ’

 

 นอกจากนี้คารัคคือออร์ค ออร์คของบทกวีแห่งผู้กล้าเป็นทัพหลัก และไม่คิดจะติดตามผู้นำที่อ่อนแอแน่นอน

 

 แต่ถึงอย่างนั้น ออร์คตัวนี้ก็ไม่ได้เมินเขาโดนสิ้นเชิง แค่บุคลิกมันออกจะดูหยาบไปหน่อย

 

 อินกองจะเมินความสัมพันธ์กับคารัคไม่ได้ เจ้าออร์คขนวดคิ้วไล่นึกคิดเพื่อตอบคำถาม

 

“อืม ตอนนี้ก็ปี 512 นี่เราก็อยู่กันบนเขาจิชก้า องค์ชายมาที่นี้เมื่อวานเพื่อฝึกอะไรนี่ละ”

 

“ฝึกซ้อม? นี่เรากำลังอยู่ในช่วงสงคราม?”

 

 คารัคเปลี่ยนสีหน้าทันที ตอนนี้มันมองดูอินกองด้วยสีหน้าวิตกกังวล

 

“นี่แก เป็นไข้จริงๆ?”

 

“ตอบมาเถอะ”

 

 อินกองรู้ตัวว่าเขาดูแปลก อาการเขาเหมือนคนความจำเสื่อม

 

 อาจเป็นเพราะออร์คตนนี้มีบุคลิกง่ายง่าย สักพักคารัคก็พูดต่อ

 

“พวกออร์คเผ่าสายฟ้าชาดกำลังก่อความไม่สงบ มันคงได้ใจเพราะคิดว่านี่คือแถวชายแดน แต่เอาเถอะ ยังไงกองทัพก็ถูกส่งมาแล้ว องค์ชายองค์หญิงคนอื่นๆก็กำลังตามมา ข้าถูกสั่งให้ดูแลองค์ชาย”

 

“งั้นเจ้าชายเจ้าหญิงคนอื่นอยู่ไหน?”

 

“ทุกคนได้ทหารไปคุมกันคนละหน่วย องค์ชายคริสต์อยู่พื้นที่ด้านนู้น ส่วนองค์หญิงเคทลินอยู่ด้านนั้น”

 

 คริสต์กับเคทลิน.

 

 ลูกลำดับที่เจ็ดลำดับที่แปดของจอมมารกับเอเลน มูนไลท์ ราชินีของเผ่าไลแคนโทรป ผู้เป็นราชินีองค์ที่สี่

 

‘ตอนที่เล่นแซเฟียร์ ไอ 2 คนนี้ทำเหนื่อยเอาเรื่องเลย’

 

 กองทัพของพวกนั้นก็ไม่ได้เยอะอะไรหรอก แค่ด้วยเอกลักษณ์เผ่าไลแคนโทรปมันจัดการลำบาก โดยเฉพาะตัวคริสต์กับเคทลินก็เก่งกว่าไลแคนโทรปทั่วไปด้วย

 

‘พวกนั้นน่าจะยังเด็กอยู่’

 

 อินกองไม่มั่นใจพวกนั้นอายุเท่าไรกันแน่ แต่ตัวเขาอายุน้อยกว่าเคทลินกับแซเฟียร์ ส่วนคริสต์ก็แก่กว่าเคทลินไม่กี่ปี

 

“ถ้ากินข้าวเสร็จแล้ว งั้นก็ฝึกต่อเถอะ”

 

 คารัคพูดหลังจากมองดูชามสตูว์ อินกองที่กินข้าวอย่างเพลิดเพลินพอได้ยินคำว่า ‘ฝึก’ ก็ถึงกับสะดุ้ง

 

“ฝึก?”

 

 เป็นธรรมดาที่จะตกใจกันทุกคน ถึงแม้นี่จะดูเหมือนเกมที่สมจริง แต่มันไม่ใช่เกม

 

‘เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่ากูต้องจับคู่สู้กับออร์ค?’

 

 อินกองเหลือบมองกล้ามแขนของคารัคที่มีขนาดเทียบเท่าเอวของฉัตร ถ้าจะให้สู้ด้วยกับตัวแบบนี้ แน่นอนว่าไม่น่ารอด

 

 คารัคทำเสียงเดาะลิ้น นั่นยิ่งทำให้จิตใจอินกองร่วงไปถึงตาตุ่ม

 

“อย่าห่วง ข้ารู้จักชื่อเสียงองค์ชายมาดี ก็ฝึกแบบเมื่อวานนั่นแหละ ข้ารู้แล้วว่าองค์ชายแรงน้อยสุดๆ อ้อ เห็นว่ามีไข้ วันนี้จะลดหย่อนให้หน่อยละกัน”

 

 มันมองดูฉัตรแล้วก็เลือกรูปแบบการฝึกให้ เป็นการฝึกธรรมดาที่เพียงเข้าทำกิจกรรมตามกระโจมในบริเวณ

 เหมือนเข้าค่ายลูกเสือ กิจกรรมฐานปั๊มแสตมป์

 

 เมื่อได้ยินแบบนั้น อินกองก็รู้สึกโล่งอกแล้วลุกขึ้น ฟังดูไม่ใช่ข้อเสนอที่แย่เท่าไร อย่างไรเสียเขาก็ยังต้องใช้เวลาเรียบเรียงข้อมูลในหัวอยู่ดี

 

 อินกองเริ่มด้วยการวิ่ง

 

‘คริสต์กับเคทลิน สถานการณ์ของ 2 คนนั้นจะเหมือนในบทกวีแห่งผู้กล้าป่าวนะ?’

 

 หากเหตุการณ์ที่อินกองนึกถึงกำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้ว นี่เรียกได้ว่าเป็นปัญหารุนแรง

 

 เมื่อเรียบเรียงเวลาของเหตุการณืทั้งหลายแล้ว บทกวีแห่งผู้กล้าเริ่มเดินเรื่องในปี 513 ซึ่งตอนนี้เป็นปี 512 แสดงว่าเหลือเวลาราวห้าปีก่อนถึง ‘วันล้างบาง’ ที่จะเกิดขึ้นในปี 517

 

‘ในเมื่อตอนนี้เรากลายเป็นฉัตรแล้ว… ทำยังไงต่อดีละเนี่ย?’

 

 ทางที่หนึ่ง พยายามหนีไปหลบซ่อนซะ

 

 ทางที่สอง พยายามใกล้ชิดแซเฟียร์ให้เข้าไว้

 

 ทางที่สาม พยายามอย่างหนักเพื่อต่อต้านแซเฟียร์

 

 สองทางเลือกแรกถูกตัดออกในทันที แซเฟียร์มันฆ่าหมดไม่เลือกหน้าในวันล้างบาง ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือต่อต้าน ญาติพี่น้องล้วนถูกตามล่าฆ่าตายกันหมดสิ้น

 

 เพราะงั้นก็เหลือแค่ทางเดียว

 

‘แฮ่ก แฮ่ก โหย ทำไมมันเหนื่อยง่ายขนาดนี้วะ’

 

 อินกองเพิ่งเริ่มต้นวิ่งได้เล็กน้อยแต่กลับหายใจหอบอย่างหนักเอาเสียแล้ว ถึงจะบอกว่าเป็นเงียมแปะฮอ แต่นี่มันย่ำแย่กว่าปกติ ด้วยร่างกายแบบนี้จะเอาอะไรไปสู้กับแซเฟียร์

 

 ทันใดนั้นเอง.

 

 [เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]

 

 มีเสียงดังเตือนขึ้นมา พร้อมกับเสียงผู้หญิงพูดอะไรบางอย่าง แล้วร่างกายของเขาก็ห่อหุ้มไปด้วยแสงเป็นประกาย

 แต๊น แต แด้ แด๊น แต่ แด แต๊น แตะ แด๊น

 

“เหยยย?”

 

 อินกองกระพริบตาอย่างงุนงงอาการเหนื่อยเขาทุเลาลง และเรี่ยวแรงก็เริ่มกลับคืนสู่ขาทั้งสอง

 

“องค์ชาย? นั่นมันเวทมนตร์อะไรนั่น?”

 

 คารัคถามด้วยอาการตกใจ.

 

“เดี๋ยว แปปนะ.”

 

 อินกองยกมือขึ้นห้ามคารัคแล้วมองสำรวจตัวเอง

 

‘ขอเช็คอะไรแวบนึง.’

 

 แม้การเพิ่มระดับเลเวลจากการวิ่งเพียงเล็กน้อยจะดูเป็นเรื่องตลก แต่นั่นไม่ใช่ข้อเสีย

 

 ที่เขาต้องการจะรู้ก็คือ หากเขาสามารถเพิ่มเลเวลให้ตัวเองได้ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง?

 

 อินกองรีบเปิดหน้าต่างสถานะขึ้นมาดู

 

 [ชื่อ: ฉัตร อิกษณา] [อายุ: 14] [เผ่าพันธุ์: คนธรรพ์] [อาชีพ: พระเอก]
 [เอกลักษณ์: เจ้าชาย/ อาชาแห่งอาณัติ] [เลเวล: 2]

 พละกำลัง: 7
 สติปัญญา: 7
 ความคล่องตัว: 7
 ความสามารถ: 7
 ความทนทาน: 7
 ความแข็งแกร่ง: 7
 พลังจิต: 7
 พลังเวท: 7
 สเน่ห์: 7
 ค่าสถานะเพิ่มเติม: 2

 

‘ฮ่ะ? สถานะทุกอย่างเพิ่มขึ้นอย่างละ 2 ?’

 

 ถึงค่าสถานะยังคงดูกระจอกอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

 

‘ถ้าเลเวลเพิ่มอีกที จะมีอะไรเพิ่มขึ้นอีกบ้างมั้ย? แล้วนี่ มันไม่คิดจะมีอะไรเด่นซักด้านเลยเรอะ?’

 

 มันดูเหมือนอาชีพกระจอกในบทกวีแห่งผู้กล้า

 

‘ทักษะ ลองเปลี่ยนไปดูหน้าต่างทักษะก่อนดีกว่า’

 

 อินกองนำมืออันสั่นเทาเลื่อนไปเปิดหน้าต่างทักษะ

 

 [อาณิติ ขั้น -] [พลังพระเอก ขั้น 1]

 

 มันเป็นทักษะที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิงไปกว่านั้น อาณัติยังไม่สามารถใช้ได้ด้วยเหตุผลบางประการ

 

‘พลังพระเอก นี่ถ้ามันคืออย่างที่คิดละก็… ไอ้นั่นใช่มะ?’

 

 มันดูเหมือนจะเป็นทักษะติดตัว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคำอธิบาย

 

‘แล้วไอ อาณัติ นี่มันคืออะไร? เออ จะว่าไปแล้ว…’

 

 ตรงสถานะเอกลักษณ์มันก็มีบอกว่าเขาเป็น เจ้าชาย และ อาชาแห่งอาณัติ ทักษะนี้ ก็คงจะเกี่ยวกับตรงนี้แน่

 

‘เลเวลเพิ่มขึ้นมา และก็ดูเหมือนว่าเราจะใช้ทักษะได้ละนะ’

 

 สิ่งดีไม่ใช่มีเพียงแค่นั้น ถึงเขาไม่ได้ใสใจมันก็จริง แต่แผนที่ย่อก็ยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา และสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือระบบช่องเก็บของ

 

 อินกองลองหยิบบางอย่างขึ้นมา

 

‘เก็บ’

 

 เขาพูดพึมพำ แล้วสิ่งของในมือก็อันตรธานหายไปอยู่ในช่องเก็บของ

 

 [ก้อนหิน]

 

“สำเร็จ! ได้ผลแฮะ!”

 

 อินกองกำมือด้วยความดีใจ

 

“องค์…ชาย…?”

 

 คารัคทักขึ้นมาแต่อินกองไม่สนใจ

 

 เขาตื่นเต้นกับเรื่องช่องเก็บของ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด

 

 จริงอยู่ที่ว่าตอนนี้ฉัตรเป็นเจ้าชายที่ห่วยที่สุด แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเก็บเลเวลไปเรื่อย?

 

 แผนที่ย่อกับช่องเก็บของเป็นอะไรที่สุดยอดมาก หากวางแผนในการใช้แล้ว สองสิ่งนี้รวมกันเรียกได้ว่าโกงทีเดียว

 

 แล้วก็ยังมีปัจจัยสำคัญอีกอย่าง

 

‘ความจำเรื่องต่างๆในหัวของเรา’

 

 ไม่มีอะไรยืนยันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดขึ้นตามบทกวีแห่งผู้กล้าที่เขารู้จัก ถึงมันจะไม่เกิดขึ้นตามนั้นทุกประการ แต่มันก็จะมีบางอย่างที่เป็นไปตามที่เขารับรู้

 

 ข้อมูล

 

 ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นของวิเศษหรือผู้คน ไม่ว่าจะโลกมนุษย์หรือว่าโลกมาร

 

‘ทำได้ เราต้องทำได้แน่!’

 

 เขาสามารถที่จะต่อกรกับแซเฟียร์ได้ ไม่สิ เขาสามารถกลายเป็นจอมมารได้เลยต่างหาก!

 

‘มันก็จริงที่ถ้าให้กลับโลกเดิมได้ก็ดี แต่ถ้ากลับไม่ได้เราก็ต้องตามน้ำไปให้รอดก่อนละ’

 

 ถึงความคิดของเขายังดูสะเปะสะปะ แต่มันก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว

 

 เขาไม่รู้ว่าเขามาที่โลกนี้ได้อย่างไร ส่วนด้านหนทางกลับตอนนี้ยิ่งไร้วี่แวว เพราะฉะนั้นเขาต้องหาทางเอาตัวรอดไว้ก่อน

 

“เอ่อ…องค์ชาย? แกไม่เป็นไรใช่ไหม?”

 

 คารัคถามด้วยสีหน้าสับสนปนกังวลอีกครั้ง อินกองพยักหน้าตอบแบบขอไปที ทำให้คารัคหรี่ตาลง

 

“แก- มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ แต่ตาของแกดูมีไฟขึ้นมาแล้วสิ ”

 

 บางทีเขาอาจจะตื่นเต้นมากเกินไป

 

 อินกองคุมสติกลับมาจากคำพูดของคารัค

 

‘นี่มันยังเร็วไป เรายังต้องการข้อมูลมากกว่านี้’

 

 อินกองมองดูคารัคแล้วยิ้มมุมปาก เขาเอ่ยปากถามบางอย่างที่จะตอบข้อสงสัยหลายข้อให้หมดไป

 

“คารัค นายเลเวลเท่าไร?”