ตอนที่ 4 สิ่งชั่วร้ายในอาราม
หนิงอี้หลับตาลง
ควันในอารามลอยฟุ้ง ทางโลกทุกอย่างหนีห่างจากเขา
กระดิ่งลมที่แขวนไว้ตรงหน้าต่างหน้าหนิงอี้ดังขึ้น
กริ๊ง
กระบี่ไม้ต้นท้อที่แขวนไว้นอกอารามแกว่งไกวเบาๆ ตัวกระบี่พลันแตกออก
ควันลอยฟุ้งกระจาย ธูปใหญ่ที่ปักในกระถางธูปมอดดับลง
เลือดสุนัขดำเกิดเสียงกระทบกังวาน ถูก ‘คน’ เหยียบเป็นรอยเบาอย่างยิ่งสิบกว่ารอยต่อเนื่องกัน จนมาถึงหัวเตียง
ในภวังค์นั้น หนิงอี้พลันรู้สึกหนาวเล็กน้อย
ความหนาวเหน็บจู่โจมเข้ามา หนิงอี้เริ่มตัวสั่น เขาเอาหลังชิดกับเผยฝาน ดึงผ้าห่มด้วยความสะลึมสะลือ อยากจะห่อตัวเองไว้ แต่เจ้ากรรมเถอะ ยัยเด็กนั่นมีแรงเยอะกว่าตน ถูกกระชากผ้าห่มไปเรื่อยๆ
ทั้งตัวเขาตกอยู่ในแดนความฝันเลื่อนลอย ความหนาวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลึกถึงไขกระดูก เหมือนอยู่ในแดนหิมะ
หนิงอี้ขมวดคิ้วมุ่น
ในความคิดว่างเปล่า
เขาเหมือนเห็นต้นไม้โบราณขนาดยักษ์สูงเสียดฟ้า ใบไม้ปลิวว่อน ไม่เหมือนกระแสเพลิงอีก แต่เหมือนใยฝ้ายหิมะ เงยหน้ามองอาณาจักรเหมันต์
เขาเห็นเงาเลือนรางนั้นที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตนอีกครั้ง
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคุ้นหู
เป็นเสียงของเผยฝาน
“พี่…ข้าหนาวจัง…”
เสียงนั้นสั่นเล็กน้อย สะเทือนอารมณ์ ทำให้คนอดสงสารมิได้
หนิงอี้รู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย
มีคนแนบกับหน้าผากเขา สองมือขยับไปมาระหว่างสายคาดเอว ความเย็นเยือกเข้ากระดูกแผ่ซ่านมาจากผิวที่สัมผัส
เผยฝานก้มหน้าลง น้ำตาหยดติ๋งๆ
“พี่…พี่ไม่หนาวรึ”
การสัมผัสกายเนื้อเรียบเนียนดั่งหยกของเด็กสาวทำให้หนิงอี้จิตใจฟุ้งซ่าน
เขาหอบหายใจแรงหลายครั้ง “หนาวสิ…ข้าก็หนาวเหมือนกัน”
เผยฝานทำเสียงหวาน สะอื้นพลางพูดเสียงเบา “เช่นนั้นพี่…เหตุใดถึงไม่ทำอะไรที่มันอบอุ่นกับข้าหน่อยล่ะ”
หนิงอี้สับสน ริมฝีปากแห้งผาก พูดพึมพำ “อะไรที่มัน…อบอุ่นรึ”
เผยฝานหัวเราะเบาๆ พูดเย้ายวนด้วยเสียงแหบแห้ง “มาสิ พี่ชายคนดี…มา มีความสุขกัน”
นางเอ่ยมาทีละคำ มือลูบผ่านทรวงอก วางตรงหัวใจหนิงอี้อย่างอ่อนโยน รู้สึกถึงการเต้นเบาๆ ของชีวิต
หนิงอี้ไม่รู้สึกอบอุ่น เขารู้สึกถึงความหนาวที่ไหลเวียนอยู่นอกร่างกาย เสียงอ่อนหวานยังคงยั่วเย้าตน ทันใดนั้นก็เกิดการสั่นไหวมาจากข้างหลัง ผ้าห่มมุมสุดท้ายที่ห่มตนไว้ถูกกระชากไป
หนิงอี้พลันได้สติขึ้นมา
เผยฝานจะเรียกหนิงอี้ด้วยเสียงกระโชกโฮกฮากตลอด ตอนหิวยิ่งไม่ยอมเรียกพี่ ไฉนถึงเรียกพี่ชายคนดีน่าเอียนเช่นนี้ได้
อีกอย่าง ตนหลังชนเผยฝาน…
เช่นนั้นตอนนี้คนที่แนบกับหน้าผากตนเป็นใครกัน
เหงื่อเย็นๆ พลันไหลทั้งตัว
หนิงอี้หายใจหนักหน่วงขึ้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กดจิตใจไว้ให้สงบลง
สิ่งชั่วร้าย สิ่งชั่วร้ายจริงๆ…
ในอารามโพธิ์ยังกล้าเข้ามา
สตรีคนนั้นในความฝันปลดอาภรณ์ตัวใหญ่ของตน นวดไปทั้งตัว หนิงอี้รู้สึกว่า ‘สิ่งนั้น’ ตอนนี้เหมือนจะเกาะบนตัวเขา ทั้งตัวรู้สึกถึงการนวดทุบ สบายแต่ก็เจ็บ
หนิงอี้ตึงที่แผ่นหลัง มีคนจับเสื้อเขาไว้แน่น
ดูท่าเผยฝานคงตื่นแล้ว
เผยฝานเงียบ มีเสียงสะอื้นไห้ดังมาจากในลำคอ
ยัยเด็กนี่…ส่งเสียงร้องไห้ได้ตลอดเวลาเลย
มันตัวอะไรกันแน่
หรือจะเป็นหญิงงามล่มเมืองกัน
หนิงอี้หรี่ตาเล็ก อยากจะเห็นหน้าจริงอีกฝ่าย
เขาลืมตาขึ้น พลันสูดลมหายใจเย็นเยือกทีหนึ่ง
สิ่งที่เห็นเป็นใบหน้าซีดขาว
ไม่มีความเป็นมนุษย์เลย แมงมุมเอียงหัว ดวงตาดำมืดเจ็ดแปดดวงจ้องตน ปากกลมหดตัว พ่นลมหายใจเย็น ทั้งตัวห้อยอยู่นอกริมหัวเตียง ขาแมงมุมเรียวยาวสามสี่ขาเกาะอยู่บนเตียง เหยียบหน้าต่าง กำลัง ‘นวด’ ให้ตน
พอนึกได้ว่าคนที่นวดให้ตนเป็นเจ้าสิ่งนี้ หนิงอี้ก็สะอิดสะเอียนขึ้นมา
แมงมุมใหญ่นั่นแลบลิ้นออกมา เล็งที่ริมฝีปากเขาช้าๆ
“นี่มันตัวบ้าอะไรกัน”
หัวใจหนิงอี้เกิดเสียงตึกตัก ขนลุกไปทั้งตัว ถ้าไม่ใช่เพราะเผยฝานจับมือตนไว้จากข้างหลังแล้วดึงไว้ เขาคงจะกระโดดโหยงไปนานแล้ว เขาเบิกตาโต มองข้าวของระเกะระกะภายในห้อง ควันในอารามโพธิ์ดับไปแล้ว ดูท่ากระบี่ไม้ต้นท้อกับเลือดสุนัขดำคงไม่มีประโยชน์
“พี่…ขลุ่ย ใช้ขลุ่ย…” เสียงเด็กสาวข้างหลังสั่นเครือ กดเสียงเบาสุด
หนิงอี้ขนหัวลุก ไม่กล้าบุ่มบ่าม ได้แต่กัดฟัน “ขลุ่ย…อยู่ในเสื้อข้า เจ้า…ค่อยๆ เอาออกมาให้ข้าที”
มือเด็กสาวอบอุ่น สัมผัสกับผิวหนิงอี้แล้ว ความหนาวสลายไปหนึ่งถึงสองส่วน
แมงมุมใหญ่นั่นเหมือนจะมีปัญหาเรื่องสายตาและการได้ยิน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เผยฝานก็ยังไม่กล้าขยับมากเกินไป
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในอาราม เวลาเจอเรื่องอัปมงคลเข้า ฝันร้ายหรือผีอำ หนิงอี้บอกนางว่าอย่ากลัว ให้นำขลุ่ยกระดูกออกมา จากนั้นจะฝันดี
เผยฝานได้ยินนักพรตเต๋าแห่งเทือกเขาประจิมบอกว่าหากเจอภูตผี อย่าลืมตา อย่ามองหน้าผีเพราะความอยากรู้อยากเห็น ผีเช่นนี้จะเกาะติดเจ้าไปตลอดชีวิต ฟ้าสางแล้วจะปลอดภัยเอง
แต่นักบวชกลับบอกว่าหากปล่อยให้มันเรียกร้อง จะถูกสูบพลังหยางไปจำนวนมากอย่างไร้สาเหตุ ฟ้าสางแล้วจะเสียอายุขัยไปสิบปี หากเจอสัตว์ร้ายจะคงอยู่ไม่ถึงรุ่งเช้า
สัตว์ร้าย…แมงมุมใหญ่ที่มีความเย็นเยือกทั้งตัวนี่ ถือเป็นสัตว์ร้ายหรือไม่
เผยฝานมือสั่น เข้าไปคว้าขลุ่ยกระดูก
“พี่…อดทนไว้”
หนิงอี้จับมือเผยฝานแน่น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนหลับตาลงอีกครั้ง
‘เผยฝาน’ ในความคิด โผเข้ามาอีกครั้ง
ทั้งตัวถูกนวดทุบสุขสบาย ช้าๆ มีลำดับขั้นตอน หญิงสาวเหมือนก้มมาพูดเบาๆ ข้างหู “พี่ชายคนดี พี่อ้าปากสิ ข้าจะป้อนอะไรให้พี่กิน…”
หนิงอี้เหงื่อตก พูดเสียงแหบแห้ง “เจ้า…จะป้อนอะไรให้ข้ากิน”
หญิงสาวในความคิดหนิงอี้เอ่ยเนิบนาบ พูดเย้ายวน “ป้อนตัวข้าเองให้พี่…พี่ลองดูสิว่าจะอร่อยหรือไม่”
เผยฝานข้างหลังเบิกตาโต ใบหน้าผีนั่นหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเอาลิ้นสีแดงมาห้อยไว้ตรงหน้าหนิงอี้ จากนั้นเลียแก้มเขาอย่างแรง
เผยฝานคลำไปคลำมา ก็ยังหาขลุ่ยกระดูกไม่พบ
หนิงอี้เหงื่อซึมบนหน้าผากสามชั้นแล้ว
ลิ้นเย็นสุดขั้วนั่นเลียแก้ม ความเย็นเยือกเข้ากระดูก ใบหน้าหนิงอี้เกาะเป็นเศษน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ทว่าลิ้นที่เลียไปมานั้นกลับช้ามาก สุดท้ายแนบชิดกับริมฝีปากหนิงอี้
“พี่ชายคนดี พี่…อ้าปากสิ”
หนิงอี้ด่าแม่ในใจ ใจนึกตนกินกระเทียมไปสามกลีบ ทว่าแมงมุมใหญ่ที่มาหาถึงอารามกลับชั่วร้ายเช่นนี้ เลือดสุนัขดำ กระบี่ไม้ต้นท้อและควันพระโพธิสัตว์ไม่เป็นผลเลย ถ้าอ้าปากจริงๆ ไม่ทำมันสำลักตาย ชื่อเสียงและชีวิตของตนคงจะรักษาไว้ไม่ได้
เหตุใดเผยฝานยังไม่เจอขลุ่ยกระดูกอีก!
นี่จะแย่แล้วนะ!
แมงมุมใหญ่ที่ห้อยอยู่เหนือหัวทั้งสองคน รออยู่ชั่วครู่ก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำสนิทกลอกไปมาสองที เหมือนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
เสียงแค้นเคืองของนางดังขึ้นในความคิดหนิงอี้
“เจ้าอ้าปากสิ…”
จากนั้นเป็นเสียงตะโกนด้วยความโกรธทีละคำ
“คายไข่มุกของข้าคืนมา!”
……………………