ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 5 สัตว์ร้าย

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 5 สัตว์ร้าย

ทันทีที่เสียงคำรามด้วยความโกรธนั้นดังขึ้น วัตถุสีดำเมี่ยมเหมือนกันพุ่งชนหน้าต่างแตกกระจายด้วยความเร็วสูงยิ่ง นั่นคือตราเหลี่ยมสีดำ พลังแห่งสายฟ้าประทับลงตรงหัวของ ‘แมงมุม’ พุ่งใส่ปีศาจยักษ์นั่นจนหน้าหงาย ขาแมงมุมที่เกาะสองข้างเตียงและหน้าต่างสั่นไหว ตัวหยุดนิ่ง ก่อนตราเล็กสีดำชิ้นที่สองจะตามเงาแรกมา กระแทกใส่อย่างแรง

“ศิษย์สำนักเต๋าฟังคำสั่ง…ฆ่าปีศาจนี่!”

ควันดำคุกรุ่นลอยขึ้นจากหน้าผากแมงมุม ปีศาจแมงมุมขาวซีดทั้งตัว ดวงตาดำแปดดวงไม่จับจ้องหนิงอี้ข้างล่างอีก แต่หมุนตัวกลับช้าๆ ขยับไปทางคนอาภรณ์สีเทาหลายคนที่ยืนไม่มั่นกลางพายุนอกอาราม

กระดาษหน้าต่างที่เดิมทีรับน้ำหนักอะไรไม่ได้อยู่แล้วเกิดเสียงดังหลายครั้ง จนฉีกขาดท่ามกลางพายุหมุน ข้าวของในอารามสั่นไหว ไม่ว่าจะเล็กใหญ่ นอกจากรูปปั้นพระโพธิสัตว์สูงตระหง่านนั้นแล้ว ทุกอย่างลอยขึ้นเบาๆ ก่อนจะตกลงมา

พายุนอกอารามพลันสงบลง

พื้นที่กว้างโล่งนอกอารามมีนักพรตเต๋าหนุ่มยืนอยู่เจ็ดท่าน สวมอาภรณ์ขาวเทา ใต้ฝ่าเท้ากำเนิดราก แขนเสื้อใหญ่โบกสะบัดแม้ไร้สายลม เหมือนเหยียบบนปุยเมฆ ท่าทีสงบและสูงส่งเหมือนเทพเซียน

คนที่นำหน้าสีหน้าราบเรียบมาก มองเงาแมงมุมยักษ์ผลุบๆ โผล่ๆ ในอารามอย่างสงบนิ่ง หุบสองนิ้วมือขวาลงชี้ไปตรงหน้าอก พูดกับทุกคนที่อยู่ข้างหลังเบาๆ โดยไม่หันไปมอง “อาศัยจังหวะที่นักกระบี่จากภูเขาสู่ซานนั่นยังมาไม่ถึง จัดการมัน แหวกอกเปิดท้อง ไข่มุกตะวันคร้านร้อยปีในท้องมันนั่น…บางทีอาจทำให้สำนักเต๋าข้าสร้างอัจฉริยะที่มีหวังทะลวงขอบเขตที่แปดขึ้นมาใหม่ได้อีกสักคน”

นักพรตเต๋าหนุ่มหกคนข้างหลังตั้งมือขวาขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ตบะยังไม่พอ ไม่อาจใช้สองนิ้วมือคุม ‘ตราเล็ก’ ได้ แสงดาราวนเวียน ตราผนึกขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่หกชิ้นลอยเหนือศีรษะ หมุนวนเป็นวงโคจร

“ศิษย์พี่เต้าเหยี่ยน มันเคยสู้กับคนตำหนักฟ้า เหตุใดถึงดูไม่บาดเจ็บเลยล่ะ” มีคนจ้องเงามืดสูงตระหง่านในอาราม สีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวอึมครึมไม่แน่นอน

เต้าเหยี่ยนที่เป็นผู้นำกระจายสองปราณหยินหยางในแขนเสื้อ สั่งสมอยู่หลายลมหายใจ พลังต่างจากหกคนข้างหลังอย่างชัดเจน เขาหรี่ตาลง เหนือศีรษะไม่ใช่เงามายาของ ‘ตราผนึก’ แต่เป็นกระจกเงามืดเลือนราง มีเสียงกระดิ่งดังมาจากจีวรเต๋า กังวานไพเราะ

เขาพูดเสียงเบา “ศิษย์พี่ใหญ่ปิดด่านบำเพ็ญที่ตำหนักนภาม่วง เขามอบ ‘กระดิ่งสามวิสุทธิ์’ ให้ข้า พวกเจ้าหกคนวางค่ายกลรั้งปีศาจนี่ไว้ ข้าจะเรียกกระดิ่งสามวิสุทธิ์สลายวิญญาณมัน เอาไข่มุกออกมา

ตำหนักฟ้ายังจัดการปีศาจนี่ไม่ได้ แสดงว่ามันไม่ธรรมดา พวกเรารอมันออกมือก่อน สู้กันแล้วต้องจัดการให้เรียบร้อย จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้” เต้าเหยี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาศักดิ์สิทธิ์หลายลูกที่เหลือ รวมถึงตำหนักฟ้าจวนปฐพีคงจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่ช้า ศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยู่ ถึงที่นี่จะเป็นเทือกเขาประจิม แต่หากพวกเราถูกรั้งไว้…ก็คงไม่ได้ไปไหนจริงๆ”

คนข้างหลังกัดฟันพูด “แล้วบุรุษคนนั้นแห่งเขาสู่ซานล่ะจะทำอย่างไร ได้ยินว่าช่วงนี้เขามีปัญหาเล็กน้อยด้วย…”

“เขามีปัญหารึ แดนบูรพากับต้าสุยตามเขามานานขนาดนี้ ฆ่าเตรียมบุตรศักดิ์สิทธิ์ไปหลายท่าน เขายังอยู่ดีหรือไม่” เต้าเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ถ้าเขามาจะทำอย่างไรล่ะ เจ้าจะไปสู้กับเขารึ ถ้าเขาหาที่นี่พบ ไม่ใช่แค่สำนักเต๋าที่ต้องก้มหัว ตำหนักฟ้าจวนปฐพีและเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องก้มหัว กับอีแค่ไข่มุกตะวันคร้านร้อยปีเม็ดเดียว ไม่ให้ก็ต้องให้ ต่อให้เป็นไข่มุกตะวันคร้านพันปี บุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นจะกล้าแย่งเขารึ”

ระหว่างสนทนากันนั้น เงาแมงมุมยักษ์นั่นในอารามลอยขึ้นช้าๆ

หนิงอี้ปกป้องเผยฝาน เบิกตาโต ลมหายใจกระชั้น มองปีศาจแมงมุมยักษ์นั่นยกขาแมงมุมยาวขึ้นช้าๆ ก้าวหนักถอยหลังไป

ควันดำอบอวลในอาราม ไม่ใช่ควันธูปหน้าพระโพธิสัตว์ แต่เป็นตราผนึกสี่เหลี่ยมที่ประทับตรงหน้าผากมัน ตราผนึกสองชิ้นมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่มากับแสงดารา แผดเผาเลือดเนื้อ

หนิงอี้ได้กลิ่นศพเหม็นเน่า

เขามองกระจกเงามืดขนาดยักษ์ที่ปกคลุมตรงหน้าตน มันสั่นไหวเบาๆ มีเสียงหัวเราะเยาะคล้ายสตรีวัยแรกแย้มดังขึ้น ก่อนจะพุ่งออกไป

กำแพงอารามโพธิ์ถูกทะลวง หนิงอี้กอดเผยฝานลุกขึ้นวิ่ง แต่ก็ถูกเศษหินแตกขนาดใหญ่กระแทกใส่ เขายกครึ่งแขนมากันไว้ เลือดเนื้อฉีกเป็นแผลน่ากลัว ก่อนจะลอยออกไปทั้งตัว ทว่าก็ยังปกป้องเผยฝานไว้ สุดท้ายพุ่งชนเข้ากับ ‘เสาไม้’ ถึงหยุดถอย

หนิงอี้พิงเสาไม้หักครึ่ง กอดเผยฝานในอ้อมอก เด็กนี่แก้มครึ่งหนึ่งถูกเสียดสี เลือดไหลไม่หยุด ใบหน้ารูปไข่งดงามแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า กัดฟันไม่ร้องไห้ออกมา

ทั้งอารามโพธิ์ที่อยู่อาศัยมาสิบปีถล่มลงเช่นนี้

ฝุ่นดินคละคลุ้ง

หนิงอี้ลูบศีรษะเผยฝาน พึมพำเสียงเบา “วางใจเถอะๆ ผู้บำเพ็ญสำนักเต๋ามาแล้ว พวกเราจะไม่เป็นไร พวกเราจะไม่เป็นไร…”

เสียงเบาๆ ดังมาจากเสาไม้หักครึ่งข้างหลัง “ถ้าพวกตัวประกอบสำนักเต๋ากำราบปีศาจหิมะขอบเขตที่แปดลงได้จริงๆ คงจะน่าขำน่าดู”

หนิงอี้หรี่ตาลง เขากอดเผยฝาน เงยหน้าขึ้น เห็นชุดคลุมขาวมุมหนึ่งกำลังโบกสะบัดตรงหน้าตน

ผู้บำเพ็ญสวมชุดคลุมขาวใบหน้าเฉยชา ก้มหน้าลงมา เอ่ยอย่างเย็นชาด้วยสายตา ‘มองเหยียดทุกชีวิต’ “เขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีคำเตือน เทือกเขาประจิมมีแดนต้องห้ามหลายแห่ง ไม่ทะลวงสิบขอบเขต ห้ามเข้าไป สุสานใต้ดินเมืองไร้มลทินเป็นหนึ่งในนั้น เล่าลือว่าในสุสานใต้ดินนั้น…มีคนใหญ่โตท่านหนึ่งอยู่”

เขาทำจมูกฟึดฟัดเบาๆ ก่อนจะยิ้มเชิงเย้าหยอก “ในตัวเจ้ามีกลิ่นอายของสุสานนั่น ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัวจริงๆ กล้าหาญนัก…ปีศาจหิมะนั่นน่าจะเป็นเจ้าที่ปล่อยออกมาล่ะสิ”

หนิงอี้รู้สึกหายใจลำบาก ตอนที่ชุดคลุมขาวนั่นปรากฏในสายตาเขา ก็เหมือนจมอยู่ในดินเลนไปทั้งตัว ขยับอย่างไรก็ไม่ได้ แม้แต่ขยับนิ้วยังยากมาก

ชุดคลุมขาวปลิวไสวนั่นยังมีคราบเลือดด้วย

ในความคิดปรากฏภาพจำเป็นด่างพร้อย

หิมะตกหนักในเทือกเขาประจิมเมื่อสิบปีก่อน

ตอนที่แบกเผยฝานก็พบศพ มีมากมายหลากหลาย น่าเวทนา มีทั้งนักบวช คนสวมชุดคลุมดำและขาว

มีนักบวชจากอารามยอดเสียงอัสนี และยังมีคนในชุดคลุมขาวตัวใหญ่ เป็นผู้บำเพ็ญแห่งตำหนักฟ้า

ตำหนักฟ้า…

ตำหนักฟ้า…

คนที่ขี่ม้าเข้ามาในเมืองไร้มลทินเมื่อตอนกลางวันก็สวมชุดคลุมขาวตัวใหญ่เช่นนี้

ชุดคลุมขาวตัวใหญ่ หลายคนข้างหลังเงียบและเคร่งขรึม ยืนท่ามกลางคืนที่มืดมิด

ศิษย์สำนักเต๋าที่อยู่ไกลออกไป ตราผนึกสั่นไหวอย่างแรง ควันกระจายไปรอบๆ

เสียงทุกอย่างค่อยๆ ไกลออกไปจากหูหนิงอี้

ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว

ผู้บำเพ็ญจากตำหนักฟ้านั่งยองลงช้าๆ พูดด้วยรอยยิ้มเบาๆ “หากข้าเดาไม่ผิด ‘ไข่มุกตะวันคร้าน’ ของปีศาจหิมะคงอยู่ในตัวเจ้ากระมัง”

หนิงอี้กอดเผยฝาน เขาใจเย็นลงทีละนิด แล้วพูดนิ่งๆ “อยู่ในตัวข้า”

ผู้บำเพ็ญตำหนักฟ้าหรี่ตาลง ฟังอีกฝ่ายใช้น้ำเสียงสุขุมเอ่ยตอบ

“ถ้าจะเอา ก็เอาตำลึงเงินมาแลก”

ข้างหลังมีเสียงคนหัวเราะ

เขาไม่ยิ้ม แต่มองเด็กหนุ่มตรงหน้า

เด็กหนุ่มมองเขานิ่งๆ

ตอนนี้หนิงอี้หันกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษชุดคลุมขาวตัวใหญ่ มากกว่าครึ่งตัวปกป้องเผยฝาน มือข้างหนึ่งคว้าขลุ่ยกระดูกอย่างเงียบเชียบ

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก พูดอย่างจริงจัง “พันตำลึง”

ผู้บำเพ็ญตำหนักฟ้าที่เก็บรอยยิ้มไป พูดด้วยเสียงเบายิ่ง “พันตำลึง เจ้าประเมินค่ามันต่ำไปแล้ว”

หนิงอี้ยื่นมาสองนิ้ว เอ่ยนิ่งๆ “เช่นนั้นก็สองพันตำลึง”

ผู้บำเพ็ญตำหนักฟ้าพูดเบาๆ “หากข้ามีตำลึงเงิน ข้าจะให้เจ้าหนึ่งหมื่น”

หนิงอี้พลันเกิดความรู้สึกดดันอย่างหนักมาจากระหว่างคิ้ว

“น่าเสียดายที่ข้าไม่มีตำลึงเงิน และข้าก็ไม่ให้ตำลึงเงินเจ้าด้วย”

เขาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดตรงระหว่างคิ้วหนิงอี้ น้ำเสียงเฉยชาขึ้น

“พวกมดปลวกคนธรรมดา เหตุใดถึงกล้าต่อรองกับข้า”

ไข่มุกตะวันคร้านของโลกธรรมดา หมายถึงไข่มุกตะวันที่บ่มเพาะมาหลายปี หลายสิบปี พลังหยางแก่กล้า คนธรรมดาพกไว้จะเพิ่มอายุขัยได้

ในโลกบำเพ็ญไข่มุกตะวันคร้านคือสมบัติหายาก

อย่างน้อยต้องใช้เวลาร้อยปีถึงจะกำเนิด ดังนั้นถ้าจะเข้าตาเขาศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยก็ต้องเป็นไข่มุกปีศาจร้อยปี

ผู้บำเพ็ญชุดคลุมขาวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาบาดเจ็บไม่เบา เมื่อคืนวานคนจากตำหนักฟ้าปะทะกับปีศาจหิมะนั่นแต่ก็ไม่เป็นผล ปีศาจนั่นมีตบะอย่างน้อยห้าร้อยปี ไข่มุกตะวันที่รวมขึ้นสามารถช่วยตนทะลวงขอบเขตพลังใหญ่ได้

การฝึกบำเพ็ญของเผ่าปีศาจกลืนกินแสงดาราเหมือนเผ่ามนุษย์ แต่ปีศาจที่ยินยอมรวมไข่มุกตะวันฝึกบำเพ็ญ มีน้อยมาก

ต่อให้เป็นทะเลพลิกผันในแดนเหนือ สงครามเข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจ ก็ยังเจอปีศาจที่รวมไข่มุกล้ำค่าเช่นนี้ได้น้อยมาก

ความรู้สึกกดดันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

หนิงอี้เบิกตาโต จ้องนิ้วมือนั้น

สุดท้าย…ก็กดมาที่ระหว่างคิ้วตนอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

เป็นความรู้สึกชั่วพริบตา

ผู้บำเพ็ญผู้นำแห่งตำหนักฟ้าอึ้งไปก่อน “ไข่มุกตะวันคร้านล่ะ”

หนิงอี้ยิ้มก่อนพูดเสียงแหบแห้ง “เจ้าเดาสิ”

ใบหน้าหล่อเหลานั้นพลันดุร้ายขึ้นมา คำรามด้วยความโกรธทีละคำ “นี่เจ้ากล้าบีบไข่มุกตะวันคร้านล้ำค่าเช่นนี้แตกรึ!”

บุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมขาวตัวใหญ่พลันลุกพรวดขึ้น ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมา

ตนนำกำลังพลตำหนักฟ้ารุดหน้ามา เสี่ยงตายในสุสานต้องห้ามนั่น สู้กับปีศาจหิมะ บาดเจ็บหนัก ต้องระวังการลอบโจมตีจากเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตลอดเวลา

พวกเจ้าตระกูลน้อยยังมาไม่ถึง

หากตนได้ ‘ไข่มุกตะวันคร้าน’ ในตอนนี้ แล้วบีบมันแตก ทะลวงพลัง กลืนกินโชคลิขิตนี้ ก็จะได้รับความสำคัญจากพวกเจ้าตระกูลน้อยตำหนักฟ้า มีโอกาสสูงมากที่สุดท้ายจะเป็นคนกลุ่มนั้นที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นเยาว์ต้าสุย

แต่กลับล่มไม่เป็นท่า

รายนามดาราในภายภาคหน้า อนาคตไร้ที่สิ้นสุดในภายภาคหน้า นิพพานเป็นอมตะ…

หายไปหมดแล้ว

“อ๊าก!”

เขาใจสั่นไหว กระอักเลือดมาคำหนึ่ง เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงตะโกนปั่นป่วนเมฆลม จากนั้นมีเงาดำพุ่งมาจากที่ห่างไกล ชนกับชุดคลุมขาวตัวใหญ่ของเขา

หนิงอี้เห็นเงาแมงมุมยักษ์พุ่งชนชุดคลุมขาวใหญ่นั่น ก่อนจะชนอีกหลายคน แมงมุมเล็กแน่นขนัดกัดที่ศีรษะคนนั้น เสียงเคี้ยวน่าเศร้าใจดังขึ้น

เขาหันไปมอง

บนท้องฟ้าหน้าอาราม ฝุ่นดินกระจาย ผู้บำเพ็ญสำนักเต๋าไม่มีใครยืนสักคน เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ต่อให้เป็นเต้าเหยี่ยนที่มีตบะสูงกว่าขั้นหนึ่งยังสิ้นลมหายใจ

กระดิ่งสามวิสุทธิ์ถูกเต้าเหยี่ยนบีบไว้ในมือ ดังกริ๊งๆ แขนขาดที่ถูกตัดมาพร้อมกับบ่านั่นกลิ้งไปบนพื้น สุดท้ายมาอยู่ตรงหน้าหนิงอี้

ทางกลุ่มคนตำหนักฟ้าส่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนายิ่ง

คนนั้นที่เป็นผู้นำจิตใจยังคงสั่นไหว ถูกปีศาจหิมะนั่นพุ่งกระโจนสังหารจนตายไป กองกำลังที่เหลือ เพียงไม่กี่ลมหายใจก็เงียบลง

หนิงอี้แกะห้านิ้วมือที่กำ ‘กระดิ่งสามวิสุทธ์’ ไว้แน่นออก หยิบกระดิ่ง ก่อนจะยืนขึ้นอย่างโซซัดโซเซ

เขาจ้องปีศาจหิมะที่หมุนศีรษะคนเล่นช้าๆ แปดดวงตาดำมืดมองมาที่ตน ในปากยังเคี้ยวศีรษะของผู้บำเพ็ญตำหนักฟ้า เลือดสีแดงสดไหลลงมาตามซอกฟัน

“ผู้บำเพ็ญพวกนี้…ตายหมดแล้ว”

เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นเช็ดมุมปาก สีหน้าน่าเวทนา เลือดไปรวมที่แขน โลหิตหยดลงพื้นดังติงๆ

มีคนดึงชายอาภรณ์ข้างหลังเขาเบาๆ

หนิงอี้ไม่หันไปมองหน้ารูปไข่ของเด็กน้อย แค่พูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว มีพี่อยู่”

เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มแน่วแน่

มือซ้ายกำขลุ่ยกระดูกแน่น มือขวาถือกระดิ่งสามวิสุทธิ์ เงยหน้าขึ้น เบิกตาถมึงทึง

“เข้ามา!”

……………………..