ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 6 อันดับสามแห่งต้าสุยเมื่อสิบปีก่อน (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 6 อันดับสามแห่งต้าสุยเมื่อสิบปีก่อน (rewrite)

ปีศาจแมงมุมยักษ์นั่นไม่ได้รีบร้อนเข้ามา

มันเคี้ยวศีรษะของผู้บำเพ็ญตำหนักฟ้าช้าๆ กระทั่งเคี้ยวจนเป็นเศษละเอียด สุดท้ายก็กลืนลงท้อง

ดวงตาดำมืดแปดดวงจ้องหนิงอี้

หน้าอารามโพธิ์พังทลายเป็นฝุ่นดินตลบอบอวล

หนิงอี้รู้สึกถึงแรงดึงเบาๆ จากเผยฝานข้างหลังว่าหนักขึ้นเล็กน้อย

หนิงอี้ไม่หันไปมอง เขายังคงชูกระดิ่งสามวิสุทธิ์

เด็กหนุ่มสีหน้าไร้ซึ่งความกลัว เงยหน้าด้วยความดื้อรั้น

ตอนนี้ ต่อให้เป็นปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในเทือกเขาประจิมยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็จะไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว

สายลมเบาพัดมา

นอกเมืองไร้มลทินในยามราตรี ฝุ่นดินคละคลุ้ง วนเวียนรอบเด็กหนุ่ม ในพุ่มไม้บนเขารกร้างเล็ก ทั่วสารทิศเหมือนเกิดประกายในดวงตาขึ้น

หนิงอี้หรี่ตาลง เขารู้สึกว่ากระดิ่งที่ตนกำไว้แน่นในมือไม่ถูกสายลมพัดเกิดเสียง

เพราะมีคนจับมือเขาไว้

คนนั้นยืนข้างหลังหนิงอี้ ยกมือข้างหนึ่งกำข้อมือเด็กหนุ่มที่ชูขึ้นไว้เบาๆ

เขาสูงมาก

เงาของปีศาจแมงมุมยักษ์ภายใต้แสงจันทร์ขาวส่องแสงบดบังทั้งศีรษะของหนิงอี้

แต่บุรุษข้างหลังหนิงอี้สูงกว่าเงานั่นหนึ่งช่วง หรือหลายช่วง ตอนนี้เขามองปีศาจขอบเขตที่แปดที่ทำให้ขุมอำนาจมากมายปั่นป่วนและไม่กล้าลงมือก่อนอยู่นิ่งๆ

ตอนนี้เอง หนิงอี้หันไปมองด้วยความเหม่อลอย

เขาเห็นแก้มของบุรุษ

คิ้วกระบี่ถึงจอนผม ดวงตาหงส์แสดงอำนาจ

ทว่ากาลเวลาได้ฝากรอยแผลเป็นทรมานไว้บนใบหน้านั้น ใบหน้าที่เดิมทีตอบและหล่อเหลา เพราะรอยแผลเป็นทอดยาวตรงสันจมูกหนึ่งนิ้ว ทำให้หนิงอี้รู้สึกเสียดายนิดๆ

หนิงอี้ไม่รู้ว่าบุรุษคนนี้มายืนข้างหลังตนตั้งแต่เมื่อไร พูดตามตรงคือยืนอยู่หน้าเผยฝาน

ห่างกันไม่ถึงสิบจั้ง เงาแมงมุมยักษ์นั่นกระโดดเบาๆ อยู่กับที่ โดดสองทีแล้วก็พุ่งทะยานเข้ามา

หนิงอี้หลับตาสนิท แต่กลับได้ยินเสียงฉีกขาด ความเย็นระเบิดกระจาย สายลมรุนแรงโถมเข้ามา เขาย่นคิ้วเล็กน้อย มือถือกระดิ่งที่ถูกจับไว้ขยับไม่ได้ มือที่ถือขลุ่ยกระดูกถูกกดไว้เช่นกัน กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง

หนิงอี้ลืมตาขึ้นช้าๆ ตรงหน้าเป็นหมอกเย็นลอยขึ้น ไม่มีเลือดเผ่าปีศาจแดงฉาน หันกลับไปมอง เขาริมฝีปากแห้งผาก เห็นร่างปีศาจหิมะถูกปราณะกระบี่ฟันขาดเป็นเสี่ยงๆ ตรงส่วนท้องที่ถูกผ่าแหวกออกเป็นขาแมงมุมเต็มไปหมด ไหลออกมาพร้อมกัน ปล่อยหมอกสีขาวหิมะออกมา สะเก็ดไฟกระเซ็นเบาๆ

สิ่งที่ทำให้หนิงอี้หรี่ตาลงคือบุรุษข้างหลังอยู่กลางหมอก ใบหน้าซีดขาวมีอาการป่วยเล็กน้อย ดาราอ่อนแสงดวงหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ แล้วค่อยๆ หายไป

บุรุษเก็บกระบี่เข้าฝัก

เขาเงยหน้าขึ้น แม้ริมฝีปากจะมีสีหิมะ แต่กลับพูดเสียงดัง “เขาสู่ซาน สวีจั้ง!”

สี่คำ เด็ดขาด กระทบพื้นดั่งสายฟ้า

หนิงอี้สั่นไปทั้งตัว

เผยฝานเงยหน้าอย่างเหลือเชื่อ

หิมะตกหนักในเทือกเขาประจิมเมื่อสิบปีก่อน หนิงอี้เคยถามเผยฝาน

‘คนแซ่สวีนั่นนามเต็มว่าอะไร’

‘ชื่อเดี่ยวๆ คือจั้ง บางครั้งก็เป็นจั้งที่หมายถึงซ่อนกระบี่ บางครั้งก็หมายถึงซ่อนสมบัติ’

ตอนนี้ ยามที่สังหารคือจั้งที่หมายถึงซ่อนกระบี่

ดวงตาพวกนั้นในพุ่มไม้รอบๆ กิ่งไม้แห้งและยอดเขารกร้าง และยังมีแสงไฟที่สว่างขึ้นทีละนิด ทันทีที่นามสวีจั้งเอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาด ถึงได้สว่างขึ้นอย่างแท้จริง

ตอนนี้หนิงอี้ตั้งสติกลับมาได้ ที่แท้คนที่หาที่นี่พบก็ไม่ใช่แค่ตำหนักฟ้ากับสำนักเต๋า

เหล่าบัณฑิตที่ยืนอยู่บนยอดเขารกร้าง ถึงตอนนี้เพิ่งจะจุดตะเกียง นักบวชหนุ่มที่นั่งยองเงียบไม่ส่งเสียงในพุ่มไม้ และคนชุดคลุมดำที่มองอารามโพธิ์จากบนกิ่งไม้สูง…

และอีกหลายกลุ่มที่ยืนอยู่ในเงามืดอันเงียบเชียบ ท่ามกลางแสงไฟกะพริบในเงามืด ความปรารถนาบางอย่างในดวงตาพวกเขาซ่อนกลับไป แต่ดันรุนแรงยิ่งกว่าเปลวเพลิงเสียอีก

หนิงอี้ถูกคนบีบบ่าไว้

กลางไอหนาว เสียงของบุรุษเบาจนคนอื่นได้ยินไม่ชัด

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ารู้ว่านามสวีจั้งหมายถึงอะไร…แต่น่าเสียดายมาก ข้าไม่ใช่ฟางช่วยชีวิตของพวกเจ้า อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ใช่”

หนิงอี้รีบเก็บความคิด

บัณฑิตที่ยืนถือตะเกียงบนยอดเขามองเด็กหนุ่มสาวสองคนใต้ภูเขาอย่างเฉยชา ในสายตาเย็นชาของพวกเขาค่อยๆ เกิดจิตสังหารขึ้น ชุดคลุมโบกสะบัด

เสียงของสวีจั้งดังขึ้นอีกครั้ง

“คนที่ถือตะเกียง…มาจากดินแดนกลางต้าสุย สี่สำนักศึกษาเคลื่อนไหวแล้วสามสำนัก กวางขาว ตะวันสูง และขุนเขา คนพวกนี้ตามข้ามาสี่สิบเจ็ดวันแล้ว”

นักบวชที่นั่งยองในพุ่มไม้ซ่อนจิตสังหารในความเงียบเช่นกัน สวมกาสาวะสีขาวมาพร้อมฝุ่นดิน ใบหญ้าและเศษดาราระหว่างทาง

“นั่งยองอยู่เงียบๆ กัดฟันกรอด ทำหน้าเหมือนคับแค้นใจสามวันสามคืนนั่นมาจากเขาวิญญาณแดนบูรพา ตามข้ามาหกสิบเอ็ดวัน

คนจากจวนปฐพีพวกนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง พวกมันเริ่มคิดจะล่าสังหารข้าตั้งแต่ข้ามีชื่อเสียง ตอนนี้ก็สิบปีแล้ว”

หนิงอี้อึ้งไปเล็กน้อย

เขาพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “ท่านไปล่วงเกินศัตรูมากขนาดนี้เชียว”

“ข้าคือสวีจั้งนะ” บุรุษพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงยังมีความภูมิใจเล็กๆ “พวกมันไล่ล่ามาตลอด ก็เพื่อชมความสง่างามที่สุดของข้า…”

หยุดชะงักไปเล็กน้อย

“จากนั้นก็ล้างแค้นแทนผู้อาวุโสในสำนักที่ตายใต้กระบี่ข้า”

หนิงอี้มองค้อนไปที ก่อนด่าเสียงเบา “ท่านสุดยอดขนาดนี้ ก็ชักกระบี่ฆ่าพวกมันให้หมดเถอะ”

สวีจั้งยิ้มเล็กน้อย พูดนิ่งๆ “ฆ่าพวกมันให้หมดก็ย่อมได้ ข้าเพิ่งฆ่าปีศาจขอบเขตที่แปดนั่นไป ใช้เพียงกระบี่เดียว คนที่เก่งที่สุดในพวกมันก็แค่ขอบเขตที่แปดเอง”

กลางฝุ่นดินคละคลุ้ง หนิงอี้รู้สึกว่าบุรุษกดแรงที่หัวไหล่เขาหนักขึ้นเรื่อยๆ หลายลมหายใจช้าๆ ต่อมา บุรุษที่อยู่ข้างหลังอาศัยฝ่ามือที่กดบ่าพิงน้ำหนักครึ่งหนึ่งไว้บนบ่าของเขา

ถึงช่วงสำคัญนี้ สวีจั้งยังคงเผยรอยยิ้ม

เขาพูดยิ้มๆ “เจ้านับดูสิ พวกมันมีกี่คน ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด”

หนิงอี้เริ่มนับอย่างจริงจัง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด…

เขาไม่สงสัยเลยว่าสวีจั้งจะสังหารพวกเขาได้ทั้งหมดหรือไม่

สวีจั้งพูดด้วยความจนปัญญานิดๆ “แต่ข้าเหลือแค่กระบี่เดียวแล้ว”

หนิงอี้เบิกตาโต หันกลับมามอง “ท่านมีแค่กระบี่เดียวรึ”

สวีจั้งยิ้ม “และกระบี่นี้ยังใช้กับปีศาจแมงมุมนั่นไปแล้วด้วย”

หนิงอี้กลืนคำพูดหยาบคายลงไป

เขาหน้าซีดขาวนิดๆ จนถึงตอนนี้ ความรู้สึกลนลานก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้ง

หนิงอี้รู้สึกว่าบุรุษที่เอาน้ำหนักครึ่งตัวมากดไว้บนบ่าตนโซเซจะล้มลง แทบจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว

“ข่าวดีคือพวกมันไม่รู้”

สวีจั้งยิ้ม “วางใจเถอะ…พวกมันแค่สงสัย ตอนที่ข้าปรากฏตัวหลังเจ้า พวกมันก็ไม่กล้าออกมือแล้ว”

หนิงอี้สังเกตเห็นว่าสวีจั้งตัวสั่นไปทั้งตัว แต่กลับจับมือตนที่ถือกระดิ่งไว้อย่างมั่นคงมาก

“บังเอิญมากที่ตอนนี้ข้าถือกระดิ่งสามวิสุทธิ์ของสำนักเต๋าอยู่ และโชคไม่ดี บางคนในสำนักเต๋าสนิทกับข้ามาก พวกมันอยากจะฆ่าข้า หากคนนั้นมา พวกมันก็ฆ่าข้าไม่ได้”

สวีจั้งพูดเสียงเบา “เด็กหนุ่มเข้าตาจน ต้องบอกว่าเจ้าดวงดีมาก หากตอนนี้ไม่มีข้า เจ้าคงตายไปนานแล้ว ไม่ว่าจะตำหนักฟ้า สำนักเต๋า หรือผู้บำเพ็ญที่ยืนอยู่ทางนั้นล้วนไม่ใช่คนดี แต่ไข่มุกตะวันคร้านในตัวเจ้า กระดิ่งสามวิสุทธิ์ แล้วก็…”

เขาขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองขลุ่ยกระดูกใบไม้ที่หนิงอี้ถือในมือก่อนจะพูดขึ้น “และยังมีขลุ่ยประหลาดนั่น ล้วนเป็นของดี

ผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิด แต่พกสมบัติจึงต้องโทษ ของพวกนี้…ดึงดูดความสนใจผู้บำเพ็ญพวกนั้น มากพอจะให้พวกเจ้าสองคนตายได้เป็นสิบครั้ง”

สวีจั้งยิ้ม “ตอนนี้ข้ามาแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”

หนิงอี้พูดด้วยความตื่นเต้น “ผู้อาวุโส พวกเราจะรอดไปได้รึ”

สวีจั้งพูดอย่างจริงจัง “ไม่ พวกเจ้าโชคดีมากที่ได้ฝังไปพร้อมกับข้าที่นี่…นอกเขตรกร้างนกไม่ขี้เช่นนี้ ตอนที่ศิษย์หลานแห่งเขาสู่ซานมาล้างแค้นให้ข้า ก็น่าจะทำป้ายหลุมศพให้พวกเจ้าด้วย อ้อ เจ้าชื่ออะไร”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าซับซ้อน

“หนิงอี้”

“เป็นนามที่ใช้ได้” บุรุษหันกลับมาถามด้วยรอยยิ้ม “ยัยหนู เจ้าล่ะ”

พริบตาที่บุรุษที่ยืนกลางฝุ่นธุลีหันกลับมาก็ตัวแข็งทื่อไปแล้ว

เขามองเด็กสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังตนกลางฝุ่นธุลี ใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำตา

ฝุ่นควันกระจายหายไป

ใบหน้านั้นที่เลือดออกจากการเสียดสี เด็กสาวกัดฟัน เอาสองมือยันพื้น กดบนชุดกระโปรงซีด ขาเล็กสองข้างใต้กระโปรงสั่นไปทั้งตัว

นางกำป้ายคำสั่งที่แกะสลักดอกไม้นั้นไว้แน่น เกิดเสียงดังกึก

ป้ายคำสั่งของเขาลั่วเจีย

เผยฝานร้องไห้ออกมา เสียงแหบแห้งมีริ้วเลือดติดมาด้วย

“สวีจั้ง…อาสวี”

สมองของสวีจั้งขาวโพลน

ชนรุ่นหลังตระกูลเผยยังมีชีวิตอยู่…ยังเหลือรอดหรือ

เขาเหมือนถูกค้อนใหญ่ฟาดอย่างแรง ฟ้าดินพลิกหมุน ตรงหน้าเลือนรางแล้วก็ชัดเจน โลกทั้งใบเหลือเพียงเด็กสาวคนนั้นที่ร้องไห้พลางตะโกนเรียกตนว่าอาสวี

หนิงอี้รู้สึกว่าบ่าที่ถูกกดลงเบาขึ้นแล้ว

บุรุษคนนั้นปล่อยมือออก ใช้กำลังของตนเองยืนตัวตรงโซเซ

จากนั้นเป็นเสียงชักกระบี่ดังชิ้ง

รอยยิ้มเย้ยเยาะตนเองบนใบหน้าสวีจั้งหายไปทั้งหมด เขาชักกระบี่ออกมาปักข้างกาย คุกเข่าข้างหนึ่งหน้าเด็กสาวอย่างจริงจัง

เขาเอามือข้างหนึ่งประคองด้ามกระบี่ไว้ กำไว้แน่น ชักกระบี่ดั่งดึงขุนเขา

สวีจั้งพูดสองคำเบาๆ “หลับตา”

เผยฝานผงะไป

หนิงอี้ยังไม่ทันตั้งตัว ในระยะหนึ่งลี้โดยรอบเกิดเมฆหมอกขาวหมุนม้วน เหนือฟ้าเมืองไร้มลทินสว่างไสวดั่งเทพมาเยือน มีกระบี่หนึ่งหลุดลอดมาจากดวงดาราช้าๆ ค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น ทะลวงชั้นเมฆ สุดท้ายตกลงมาในโลกมนุษย์!

ตอนนี้เอง บัณฑิตที่ถือตะเกียงพลันตะโกนเสียงดัง

“ถอย!”

นักบวชที่นั่งยองในพุ่มไม้

มือสังหารจวนปฐพีบนกิ่งไม้

หลายสิบคนรอบๆ พากันถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ในระยะหนึ่งลี้ จากนอกไปสู่ใน ฟ้าดินพลิกกลับ ปราณกระบี่พุ่งขึ้นจากพื้นดิน

ต้นไม้ขาดครึ่ง ต้นไม้ยักษ์หักโค่น กำแพงทรุดโทรมถูกปราณกระบี่ฟันขาดเหมือนเส้นใย เศษหินพุ่งออกมา โลหิตสาดกระจาย

เหนือศีรษะบุรุษที่คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นมีดาราดวงหนึ่งรวมขึ้น ขาวดั่งหิมะ จิตสังหารเต็มสิบส่วน

สวีจั้งหายใจอย่างหนักหน่วง มือข้างหนึ่งดึงกระบี่เก็บเข้าฝักช้าๆ อีกมือยังคงยกขึ้นบังดวงตาเผยฝาน

หนิงอี้หน้าซีดขาว เหม่อมองภาพโหดร้ายตรงหน้า

ปราณกระบี่ยังคงไหลเวียน เพียงแต่อยู่ในห้วงอากาศห่างจากทั้งสามคน อารามโพธิ์ที่ถล่มลงครึ่งหนึ่งถูกปราณกระบี่ทะลวง เศษธุลีมากมายวนรอบทั้งสามคน แสงดาราเปี่ยมล้นอัดแน่นอยู่รอบๆ

เหมือนยืนอยู่ในโลกก้นทะเลที่เต็มไปด้วยปราณกระบี่ ฟ้าดินพลิกกลับ กฎเกณฑ์บนแผ่นดินไม่ฟื้นคืนกลับมา

และที่มากกว่าเศษไม้ก็คือเลือดเนื้อที่ถูกปราณกระบี่ขูดออกมา

แขนขาด

กระดูก

เส้นผม

เขาหันมามองใบหน้าด้านข้างของสวีจั้งที่หลับตาหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่

อันดับสามแห่งต้าสุยเมื่อสิบปีก่อน

ทะลวงขอบเขตที่สิบ รวมดาวชะตา ศิษย์เซียนกระบี่ที่ได้รับขนานนามว่าเก่งกาจที่สุดในร้อยปีมานี้ของเขาสู่ซาน

ดารานั่นขาวเหมือนหิมะตก

ดาวพิฆาตสังสุทธ์

ดาราที่สวีจั้งพยายามสุดชีวิตถึงรวมได้ในหนึ่งลมหายใจ

เกิดเสียงดังกึก ก่อนจะแตกกระจายออก

…………………..