ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 7 ดอกไม้ไฟแห่งจวนขานฟ้าสวยมาก (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 7 ดอกไม้ไฟแห่งจวนขานฟ้าสวยมาก (rewrite)

บุรุษคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่หน้าเด็กสาว มือข้างหนึ่งกดด้ามกระบี่ในฝัก ลมหายใจกระชั้น หลับตาลงช้าๆ กลิ่นอายแผ่ทั่วทั้งตัว เป็นกลิ่นอายมรณะจางๆ

ดาราแตก เศษดาวหลุดลอก วนเวียนเหนือศีรษะสวีจั้งกับหนิงอี้ช้าๆ ต่างกับศพคนตายพวกนั้น ศพและเศษของคนตายพวกนั้นค่อยๆ กระจายไปในพายุหมุน กลิ้งไปไกลเรื่อยๆ ส่วนเศษดาราพวกนี้ใกล้มาเรื่อยๆ รวมอยู่เหนือศีรษะ เมฆครึ้มไม่หายไป

หนิงอี้ยืนอยู่บนถิ่นทุรกันดาร มองประกายไฟวูบไหว ในค่ำคืนมืด มีคนจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง

นั่นคือบุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์สีครามอ่อน กลิ่นอายพลังแกร่งกว่าบัณฑิตพวกนั้นบนเขาเล็กมาก

บัณฑิตอาภรณ์ครามมีใบหน้าอ่อนโยน สุขุม มีความเป็นกลางไม่ว่าอยู่ที่ใดก็จะไม่ยกหางใคร

ยืนอยู่นอกร่องหุบเขาที่เป็นจุดได้ประโยชน์อย่างเหมาะเจาะ

เขายืนอยู่นอกคมพายุปราณกระบี่ห่างออกไปหนึ่งก้าว มองศพหมุนม้วน กลิ่นอายสังหารโหมซัดสาดพุ่งเข้ามา ทุกสรรพสัตว์ในฟ้าดิน เพียงคนเดียวสะบัดแขนเสื้อ พายุเต็มฟ้าก็หายไปทั้งหมด

บัณฑิตที่มีพลังบำเพ็ญเหนือกว่าคนกลุ่มใหญ่ก่อนหน้านี้ มือข้างหนึ่งถือตะเกียงใหญ่สีแดง มือนั้นที่สะบัดแขนเสื้อเกิดเสียงดังแควก ปากชายเสื้อครึ่งหนึ่งขาดออก ศีรษะคนตายที่ขาดลอยมาก็ดี จะเป็นเศษชิ้นส่วนก็ดี ทุกอย่างแยกเป็นสองส่วนห่างจากตรงหน้าเขาสามจั้ง สาดกระจายไปข้างหลังแทน

หลังจากพายุฝนกลิ่นคาวเลือด

ทั้งโลกกลับสู่ความเงียบสงบ

“ทั้งต้าสุยกำลังตามหาเจ้า สี่สำนักศึกษาใหญ่ ตำหนักฟ้าจวนปฐพี เขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย…” บัณฑิตพูดด้วยความสนใจ น้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “สวีจั้ง สวีไท่ไป๋ หลังเจ้าทรยศออกจากเขาสู่ซานก็ตกต่ำมาตลอด ตกจากระดับดาราชะตาลงมาขอบเขตที่สิบ ก่อนจะตกมาขอบเขตที่เก้า ทุกคนรู้ว่าเจ้ากำลังตกต่ำ หนีตายไปทั่วทุกสารทิศ แต่กลับถูกเจ้าสังหารคนแล้วคนเล่า… ข้าจึงแปลกใจยิ่งนักว่าจนถึงตอนนี้ เจ้ายังมีปราณกระบี่อีกกี่ส่วนกัน”

บุรุษที่หันหลังให้บัณฑิตไม่ได้ตอบกลับในทันที เพียงแค่กำกระบี่เหล็กแน่น

สายตาบัณฑิตคนนั้นมองมาที่หนิงอี้

“กายและจิตไม่ธรรมดา เป็นหน่ออ่อนผู้บำเพ็ญ หากปลงเส้นทุกข์สามพันเส้นทั้งหมดก็อาจจะได้เข้าฝ่ายพุทธ” บัณฑิตยิ้ม “เจ้าคือผู้โชคดีที่ได้ไข่มุกตะวันคร้านไปรึ เอาไข่มุกให้ข้า อารามยอดเสียงอัสนีกับเขาวิญญาณ เจ้าเลือกได้ตามใจ ตำหนักขานฟ้าจะส่งเจ้าไป”

สองดอกไม้แห่งฝ่ายพุทธแยกกันอยู่ทางตะวันออกและตะวันตก อารามยอดเสียงอัสนีกับเขาวิญญาณล้วนเป็นขุมอำนาจใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก

และเบื้องหลังบัณฑิตที่สัญญาว่าจะส่งหนิงอี้เข้าฝ่ายพุทธก็เป็น ‘จวนขานฟ้า’ หนึ่งในสี่สำนักศึกษาแห่งต้าสุย

เพียงเลือกมาสักอย่าง ได้ยืนอยู่บนแท่น ล้วนเป็นสิ่งมหึมาที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

น่าเสียดายที่หนิงอี้ไม่รู้ว่านี่หมายความว่าอย่างไร

หนิงอี้แค่บอกว่าได้ ยื่นมือมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นชูนิ้วกลางให้บัณฑิตและเอ่ยเสียงเรียบ “ไข่มุกอยู่ที่ข้า เจ้าก็มาเอาเองสิ”

บัณฑิตหรี่ตาลง ไม่ได้โกรธกับการไม่เคารพของหนิงอี้เลย แต่เอ่ยอย่างนุ่มนวล “เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว ข้าให้เจ้าแล้ว รอข้าจับเจ้าได้เมื่อไร ข้าจะตัดลิ้นเจ้า ดึงเส้นเอ็นเจ้า เอาไปทำตะเกียงฟ้าหน้าจวนขานฟ้า”

หนิงอี้แสร้งยิ้ม กำขลุ่ยกระดูกในมือแน่น “โอ้ ข้ากลัวเหลือเกิน ข้ากลัวจะแย่อยู่แล้ว”

เขาหันไปพูดกับสวีจั้ง “นี่ ออกอีกกระบี่ได้หรือไม่”

สวีจั้งหยัดกายขึ้นช้าๆ สะบัดแสงดาราบนตัว เขายันกระบี่ยืนขึ้น พูดกับหนิงอี้นิ่งๆ “มันจะมาแล้ว…”

หนิงอี้หันไปมองอีกครั้ง สองมือป้องปากตะโกนไปทางบัณฑิตไกลๆ “เจ้าเข้ามาสิ!”

สวีจั้งเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ถ้ามันเข้ามา เราต้องตายแน่”

หนิงอี้ตัวแข็งทื่อ รอยยิ้มแข็งค้าง

ดีที่บัณฑิตคนนั้นจากจวนขานฟ้ามีสีหน้าปั้นยาก ยังไม่รีบร้อนเดินเข้ามา

เขาถือตะเกียงมองสวีจั้งที่ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ใบหน้าจริงจังขึ้นมาทีละนิด

“สวีจั้งสวีไท่ไป๋ ผู้บำเพ็ญอันดับสามในรายนามต้าสุยเมื่อสิบปีก่อน สิบปีก่อนก็ทะลวงขอบเขตที่สิบ ฆ่าคนไปไม่น้อย แทบจะล่วงเกินแดนศักดิ์สิทธิ์บำเพ็ญแห่งต้าสุยทั้งหมด”

บุรุษที่ยืนอยู่หลังหนิงอี้ยิ้ม “ไม่ใช่แค่ต้าสุย ยังมีแดนบูรพากับเทือกเขาประจิม”

“ข้าน้อยก่วนชิงผิงแห่งจวนขานฟ้า” บัณฑิตถือตะเกียงเริ่มเดินมา เหยียบเข้ามาในเขตแดนปราณกระบี่ของสวีจั้ง น้ำเสียงเขาไม่เร็วและไม่ช้า “เมื่อสิบปีก่อนก็ได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของสวีจั้งแล้ว”

สวีจั้งยิ้มนิดๆ “น่าเสียดายมากที่ข้าไม่เคยได้ยินนามของเจ้า”

ก่วนชิงผิงเอ่ยราบเรียบ “อาจารย์ข้าคือชิงซานซือ”

สีหน้าสวีจั้งวูบไหวเล็กๆ ทันที

หนิงอี้ครุ่นคิด เมื่อสิบปีก่อนเจ้านี่สังหารคนไปเท่าไรกัน สี่สำนักศึกษาใหญ่แห่งต้าสุยต่างพากันออกมาร่วมมือกับเขาศักดิ์สิทธิ์ตามไล่ล่า คนที่มีชื่อเสียงในสำนักศึกษาได้ ไม่เป็นอัจฉริยะที่ติดรายนามดาราไปนานแล้วก็เป็นว่าที่ราชันดาราที่มีหวังทะลวงขอบเขตที่สิบ

ชิงซานซือจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงในจวนขานฟ้าแน่ ดูท่าคงเป็นหนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของสวีจั้งในตอนนั้น

ปรากฏว่าสวีจั้งแสร้งทำเป็น ‘เข้าใจแจ่มแจ้ง’ แล้วก็พูดด้วยความกลัดกลุ้ม “ชิงซานซือรึ ข้าไม่รู้จักหรอก เขามีชื่อเสียงมากหรือ”

ก่วนชิงผิงที่เดินมาได้ครึ่งทางตะลึงงัน จากนั้นใบหน้าพลันเขียวปั้ด ตะเกียงที่ถืออยู่ เปลวเพลิงที่ลุกโชนในนั้นนิ่งไป ก่อนจะลุกโชติช่วงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เขาย่อตัวลงช้าๆ วางตะเกียงลงบนพื้นแล้วลุกขึ้นใหม่ สองแขนเสื้อขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับไว เปลวเพลิงสีแดงรางๆ หมุนม้วนในแขนเสื้อ ประกายไฟวูบไหวถูกขังอยู่ในแขนเสื้อ คั่นกันหนึ่งชั้นกับชั้นผ้า ดูเหมือนไฟภูตผีไหลหลาก

ก่วนชิงผิงพูดเบาๆ “พวกอาจารย์อาในสำนักศึกษาจะมาถึงแล้ว ไม่ใช่แค่จวนขานฟ้าข้า ขุมอำนาจพวกนั้นที่เจ้าไปล่วงเกินในอดีต คนใหญ่โตพวกนั้นที่รอดมาจากเมื่อสิบปีก่อน รอเจ้าสวีจั้งหมดสภาพในวันนี้มาสิบปีแล้ว”

สวีจั้งคลึงระหว่างคิ้ว

บัณฑิตแห่งจวนขานฟ้าไม่บุ่มบ่ามเข้ามา ต่อให้มองออกว่าสวีจั้งเป็นน้ำมันแห้งตะเกียงแล้ว ก็ยังไม่หยั่งเชิงใดๆ เพียงแค่ยกสองแขนขึ้น แขนเสื้อใหญ่ขยับเองแม้ไร้สายลม เปลวเพลิงพุ่งออกมาวนเวียนรอบกาย จากนั้นประนมสองมือ

ตะเกียงที่วางบนพื้นนั้นเกิดเสียงดัง ‘พรึ่บ’ แล้วสั่นไหวอย่างแรง แสงสีแดงพุ่งออกมา ประกายไฟพวยพุ่งขึ้นฟ้า

กางเป็นม่านสีแดงเพลิงบนท้องฟ้า

เผยฝานยืนขึ้น จับชายเสื้อหนิงอี้แน่น กลืนน้ำลายด้วยใบหน้าตึงเครียด

หนิงอี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย

ยามราตรีแห่งเทือกเขาประจิมไม่เงียบสงบอีก

ดอกไม้ไฟมากมายพุ่งขึ้นฟ้า สีขาว สีแดง ปราณกระบี่เฉียบคมดั่งสายฟ้าพุ่งมา

พวกนี้คือคนใหญ่โตที่ถ่อมาถึงเทือกเขาประจิมในคืนนี้รึ

หนิงอี้อยากเจอสวีจั้งช้ากว่านี้หน่อย

และยิ่งเต็มใจที่ตัวเองจะเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ไข่มุกตะวันคร้าน บีบคอตัวเองเอาไข่มุกนั่นออกมา จากนั้นพาเผยฝานหนีไปไกล ไม่ว่าจะไปถึงต้าสุยหรือไม่ ก็คงไม่ต้องมาตายพร้อมกับดาวหายนะแซ่สวีอย่างวันนี้

สวีจั้งยันกระบี่ แน่นิ่งไม่ขยับ

หนิงอี้ไม่เข้าใจ ถึงตอนนี้แล้วเหตุใดเขาถึงหน้าไม่เปลี่ยนสีเลย กระทั่งยังมีความสนุก…เงยหน้ามอง เหมือนกำลังชื่นชมดอกไม้ไฟ

บุรุษคนนี้หรี่ตาลง เอ่ยชมจริงๆ “ดอกไม้ไฟของจวนขานฟ้า…สวยจริงๆ”

หนิงอี้แทบจะซวนเซล้มลง

เขาจับมือเด็กสาวแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมกำลังวังชายี่สิบส่วน

เสียงของบุรุษข้างหลังเย้ยเยาะนิดๆ แถมยังไม่แยแส “วางใจเถอะ ไม่ตายหรอก”

……………………..