(นี่คือมุมมองจากฝั่งของเรเซอ)

ชีวิตของข้านั้นช่างวุ่นวายอย่างยิ่ง เมื่อตอนที่ยังหนุ่ม อายุยังไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ ข้าก็รู้สึกว่าหมู่บ้านที่พวกเราอยู่กันนั้นช่างคับแคบเหลือเกิน ข้าจึงตัดสินใจหลบหนีออกมาโดยไม่บอกกับพ่อแม่ข้า แฝงตัวอยู่กับพวกมนุษย์ และกลายมาเป็นนักผจญภัย

ข้าได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ได้ปราบ [สัตว์อสูร] ที่เป็นอันตรายกับทั้งมนุษย์ทั้งมาร ได้ออกสำรวจดันเจี้ยน ได้คุ้มกันบุคคลสำคัญต่างๆ มันช่างสนุกสนานและได้รับการตอบแทนจากการก้าวข้ามความลำบากไปพร้อมกับเหล่าสหายร่วมทาง

ในฐานะแวมไพร์แล้ว ข้ายึดมั่นกับการไม่แทรกแซงซึ่งกันและกัน ข้าจึงไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ระหว่างกองกำลังของเผ่ามนุษย์กับกองทัพจอมมาร แต่ข้าก็ยังรักในการต่อสู้

ก่อนที่ข้าจะทันรู้ตัว ข้าก็ได้กลายเป็น [ราชันนักสู้] อาชีพระดับสูงใน [ซีรีส์ราชัน] และไต่ระดับไปจนถึงนักผจญภัยระดับ A ด้วย

แต่เวลาเหล่านั้นก็สิ้นสุดลงทันทีในเวลาไม่กี่ทศวรรษนับจากที่ข้าออกมาจากหมู่บ้าน

สหายร่วมทางของข้าเห็นว่าข้าดูไม่แก่ลงเลยนับตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ทำให้พวกเขารู้ว่าข้าเป็นอะไร สายสัมพันธ์ระหว่างเราที่ร่วมสร้างกันมาหลายสิบปีกลับพังทลายลงในพริบตา ข้าถูกรายงานต่อกิลด์นักผจญภัย และถูกตั้งค่าหัว

ข้าอยากให้เหล่าสหายข้าพูดว่า “พวกเรายังเป็นเพื่อนกัน แม้เผ่าพันธุ์เราจะต่างกันก็ตาม” แต่ความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย และพวกมนุษย์ที่แทบทุกคนเป็นพวก ‘มนุษยนิยม’ นั้นย่อมไม่มีทางยอมให้ข้ามีตัวตนอยู่เป็นแน่

 

ข้าจึงตัดสินใจกลับไปยังหมู่บ้าน และไม่มีความคิดจะจากที่นั่นมาอีกเลย

ตอนนี้ ข้าสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าจากพ่อข้า ตกหลุมรักกับมิเนีย หญิงที่ข้ามั่นใจว่างามที่สุดในหมู่บ้าน และยังเป็น [นักบุญ] ที่มีพรสวรรค์ระดับสูงอีกด้วย เราได้แต่งงานกัน และได้มีลูกสาวที่น่ารักที่สุดในโลกอย่าง “ลีน” ด้วยกัน

 

ชีวิตของข้าดำเนินไปอย่างสงบมาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้―――

“เราคือแวมไพร์ลอร์ด! เรเซอ บลัดลอร์ด! หากพวกเจ้ายังต้องการจะเข่นฆ่าผู้คนของเราไปมากกว่านี้ล่ะก็ พวกเจ้าต้องข้ามศพเราไปก่อน!”

 

ข้าเปล่งเสียงตะโกนเพื่อดึงความสนใจจากพวกมนุษย์ทั่วบริเวณนั้นมาที่ตัวข้าเอง ข้าตัดสินใจแล้วว่า ภรรยาและลูกสาวของข้าต้องหนีไปให้ได้

ข้าไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าพวกมนุษย์จะบุกเข้าโจมตีหมู่บ้านของข้า ไม่สิ…ควรจะพูดว่า “มันสงบสุขดีจนข้าไม่ทันจินตนาการถึง” น่าจะเหมาะกว่า ข้านึกว่าหากปราศจากการติดต่อกันไปซักสองสามร้อยปี พวกมนุษย์ก็คงจะลืมเรื่องเกี่ยวกับเผ่าแวมไพร์ไปก็ได้ บางส่วนในจิตใจของข้าหวังให้เป็นเช่นนั้น

 

“แวมไพร์ลอร์ด!”

“ฆ่ามัน! ฆ่ามันซะ! ราชาของเจ้าพวกนอกรีตที่ไม่ศรัทธาในท่านมิซารี่!”

 

…นึกแล้วเชียวว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพธิดามิซารี่ พวกมนุษย์ถูกล้างสมองและถูกสั่งสอนความเชื่อเหล่านั้นมาตั้งแต่ยังเล็ก พวกมันส่วนใหญ่จึงศรัทธาในเทพธิดามิซารี่… ไม่สิ พวกมันบ้าคลั่งกันต่างหาก นั่นคงเป็นเหตุที่ไม่อาจยอมรับพวกเราเผ่ามารที่ศรัทธาในท่านอิซึสึได้

เฮ้อ…พวกมนุษย์ที่น่าเวทนา ถูกล้างสมองโดยเทพธิดามิซารี่แท้ๆ

แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าจึงไม่มีความเห็นใจต่อพวกมันแม้แต่น้อย

โทษของการเข่นฆ่าคนของข้า พวกมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต!

 

“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่- อะไรฟะนั่น!?”

 

ข้าพุ่งเข้าหาชายคนนึงที่ส่งเสียงโหวกเหวกน่ารำคาญมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้ ดูท่าจะเป็นหัวหน้ากองของทหารพวกนี้ ก่อนจะซัดใส่มันด้วยท่าหอกมือ มือของข้าทะลวงผ่านเกราะของมันก่อนจะควักเอาหัวใจของมันออกมา จบชีวิตของมันลงอย่างง่ายดาย

 

“หัวหน้ากอง!”

“แก! ไอ้เผ่าพันธุ์สวะเอ้ย!”

 

…สวะเรอะ? นี่แกกล้าหลุดคำนั่นออกจากปากของแกมาจริงๆ ยังงั้นเรอะ

ข้าไม่สนใจตัวข้าหรอก แต่มันกล้าดูถูกเพื่อนพ้องของข้า ดูถูกครอบครัวของข้ายังงั้นเรอะ

 

“…เมื่อกี้ แกเรียกพวกเราว่าสวะงั้นเรอะ ไอ้ห่านี่!”

“ฮี้! ด- เดี๋ยวก่อน กุอักกก!”

 

ข้าปลิดชีพมันทิ้งอย่างไม่ลังเล

 

“จ- เจ้านั่นมันแข็งแกร่งเป็นบ้า!”

“ไอ้นั่นมันอะไรน่ะ! ไหนว่าแวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์รักสงบ สามารถกำจัดทิ้งได้ง่ายๆ ไงเล่า?!”

 

ดูเหมือนข้อมูลเกี่ยวกับพวกเราจะถูกล่วงรู้สินะ แต่ช่างมันเถอะ

 

“เอ้า! ไม่เข้างั้นเหรอ? พวกเอ็งอยากจะฆ่าข้าไม่ใช่หรือไง?!”

 

อะ ดูเหมือนข้าจะเผลอหลุดภาษาที่เคยใช้สมัยก่อนออกมา แย่จริง ข้าว่าจะปรับปรุงมันตั้งแต่แต่งงานกับมิเนียและขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าแล้วแท้ๆ

 

“…! อย่าได้ใจให้มันมากนักนะเว้ย!”

“พวกเราได้รับการอวยพรจากท่านมิซารี่นะ!”

 

ไอ้ของพรรค์นั้นน่ะ มันไม่มีหรอก ขนาดท่านอิซึสียังเลือกบุคคลที่ท่านจะประทานพรให้เลย ไม่มีทางที่เทพธิดามิซารี่จะส่งพลังลงมาอย่างง่ายๆ หรอก มีแค่ [ผู้กล้า] เท่านั้นแหละที่จะได้รับการอวยพรจากนาง

 

จากนั้น พวกมนุษย์ก็ยังโจมตีใส่ข้ามาเรื่อยๆ และข้าก็ซัดพวกมันกลับไปทั้งหมดเช่นกัน

―――ตอนนี้ ภรรยากับลูกของข้าคงหนีไปถึงในป่าแล้วสินะ ข้าคงซื้อเวลามาเพียงพอแล้ว… คงจะมีเพื่อนพ้องของข้าอยู่ไม่น้อยที่น่าจะหนีไปได้ระหว่างที่ข้าคอยดึงความสนใจพวกมันเอาไว้ล่ะนะ

…พูดตรงๆ ข้าคิดว่าที่นี่จะเป็นที่ตายของข้าแล้ว แต่ดูเหมือนศัตรูพวกนี้จะอ่อนแอกว่าที่ข้าคาดไปหน่อย ไม่ว่าพวกมันจะรุมโจมตีซักกี่คน ข้าก็ไม่รู้สึกเลยซักนิดว่าจะแพ้

 

“…นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

 

แล้วกระแสของการต่อสู้ทั้งหมดเปลี่ยนไปในทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นทางด้านข้างของพวกเรา

พวกมนุษย์ต่างถอยออกไป ที่ตรงนั้นก็ปรากฏร่างๆ หนึ่ง เกราะสีขาวบริสุทธิ์ ผมบลอนด์ถักเป็นเปีย หญิงคนนั้นถือดาบยาวเล่มหนึ่ง พริบตาที่เห็นก็รู้ได้เลยว่าเป็นของชั้นหนึ่งแน่ๆ

 

“โอ้! ท่านอีดิธ…!”

“ท่านอีดิธนี่นา!”

“[12 อัครสาวก] มาถึงแล้ว!”

 

12 อัครสาวก? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่ข้ามั่นใจว่านางต้องเป็นผู้นำของพวกศัตรูเป็นแน่

 

“…หืม เข้าใจแล้ว แวมไพร์ลอร์ดสินะ เจ้าผีดูดเลือดชั้นต่ำที่ทำร้ายคนของฉัน”

“น่าแปลกเสียจริงที่ต้องพูดในสิ่งเดียวกัน เพื่อนพ้องของเราก็ถูกสังหารไปมากมาย หากเจ้าพร้อมจะชักดาบฟันใส่ผู้อื่นแล้ว ก็ควรที่จะเตรียมใจไว้ว่าจะถูกฟันสวนกลับด้วยสิ”

“นั่นมันแค่สำหรับมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่ท่านมิซารี่โปรดปรานต่างหาก พวกอสูรชั้นต่ำอย่างพวกแกควรจะยินดีด้วยซ้ำนะที่มีโอกาสที่จะถูกทำลายและได้ไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์น่ะ”

 

ช่างเป็นความคิดที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ จนอารมณ์ของข้าข้ามความโกรธไปเป็นความประทับใจเลยทีเดียว ข้าคงต้องข่มความโกรธของข้าไว้ก่อนในตอนนี้

―――แต่ด้วยคำต่อไปนั่น

 

“อ้อ แล้วก็ ที่แกพูดว่า “เพื่อนพ้องของเราก็ถูกสังหารไปมากมาย” น่ะ ไม่ใช่ “มากมาย” หรอกนะ ฉันเพิ่งฆ่าพวกมันทั้งหมดเสร็จไปเมื่อครู่นี้เอง”

“…ว่าไงนะ?”

“ละก็…ดูเหมือนจะมีพวกที่หนีไปด้วย น่าจะเป็นลูกเมียของแกสินะ? ฉันมั่นใจว่านอยน์ หนึ่งใน [12 อัครสาวก] เช่นเดียวกับฉัน คงเปลี่ยนพวกมันเป็นเถ้าถ่านไปแล้วล่ะ”

 

―――มันทำให้สติของข้าขาดออกจากโทสะทันที

 

“ก- ก- ก- แกนะแแแแแแแแแก!!!!!!!!!!!”

 

ศัตรูของเผ่าพันธุ์อย่างแก! ข้าไม่มีทางยกโทษให้ผู้หญิงนี่อย่างเด็ดขาด!

 

ข้ารัวหมัดใส่นังนั่นไม่ยั้ง แต่ละหมัดนั้นท้วมท้นไปด้วยความโกรธของข้า แต่ทุกหมัดนั่นกลับไปไม่ถึงตัวมันเลย ทุกหมัดที่ข้าชกออกไปกลับถูกปัดป้องด้วยดาบนั่นทั้งหมด

 

“…จงปราบปลื้มเสียเถิดที่ข้า [12 อัครสาวก] ลำดับที่ 7 อีดิธแห่ง ‘ดาบวิศุทธ์’ จะเป็นผู้สังหารเจ้า”

 

สิ้นเสียงนั้น ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ข้าไม่ได้ล้มลง แต่กลับมองเห็นว่าข้าร่วงลงกับพื้น

ขณะที่กลอกตาไปมาระหว่างที่นอนอยู่กับพื้น ข้าก็…ตกตะลึง…ข้ามองเห็น…ตรงนั้น ข้าเห็นร่างของข้าอยู่ไกลๆ ก่อนจะเข้าใจว่า ข้าถูกตัดหัวโดยไม่ทันรู้ตัวเลย

 

มิเนีย ข้าขอโทษ ข้าตั้งใจจะกลับไปหาเจ้าแท้ๆ แต่ดูท่าข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ซะแล้ว

อย่างน้อย ทั้งเธอทั้งลีน ขอให้พวกเธอปลอดภัยด้วยเถอะ

 

สิ้นสุดความคิดและความปรารถนาสุดท้ายนี้ สติของข้าก็ดับวูบไป…

 

TN: …