ตอนที่ 3 หอมหนึ่งที
ในความทรงจำของป้าหลัว เสี่ยวเฉียวเป็นคนรักสันโดษอย่างยิ่ง ย้ายมาหมู่บ้านซีหนิวได้หนึ่งปีกว่าแล้วแต่พูดคุยกับผู้คนในหมู่บ้านไม่ถึงสิบประโยค สตรีเพียงคนเดียวเช่นนางเลี้ยงดูบุตรสองคน จิตใจย่อมระแวดระวังมากเป็นธรรมดา แต่ระวังตัวมากเกินไปก็กลายเป็นว่าคนจิตใจดีในหมู่บ้านที่เดิมทีอยากช่วยเหลือพวกเขากลับค่อยๆ เลิกติดต่อพวกเขาไป ครั้งนี้หากมิใช่เพราะจิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาดลงเขามาหานาง นางก็คงไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้ใกล้จะหิวตายอยู่แล้ว
ป้าหลัวมองเสี่ยวเฉียวที่ขอบคุณตนเองอย่างจริงใจ แล้วนึกถึงเหตุการณ์ในลานบ้านก่อนหน้านี้ขึ้นมา นางรู้สึกว่าหลังจากล้มป่วย เสี่ยวเฉียวไม่ค่อยจะเหมือนเดิมนัก เสี่ยวเฉียวเมื่อก่อนคงไม่กล้าต่อปากต่อคำกับน้าหลิวเช่นนั้น แล้วก็คงไม่เชิญตนเข้ามานั่งในบ้าน
“เจ้า เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วสินะ” ป้าหลัวพยายามกดความประหลาดใจลงไป
เฉียวเวยแย้มรอยยิ้ม แล้วเอ่ยตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน “ดีขึ้นมากแล้ว ไปเยี่ยมประตูผีมารอบหนึ่งเลยคิดตกมากมายหลายเรื่อง คงจะใช้ชีวิตเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว คนเราอย่างไรก็ต้องมองไปข้างหน้า เพื่อลูกทั้งสองคน ข้าจะหดหู่ต่อไปอีกไม่ได้”
ความจริงนางไม่รู้สักนิดว่าเจ้าของร่างทำอะไรมาบ้าง แต่ดูจากห้องครัวสกปรกสุดจะทนกับกับลานหน้าบ้านที่สภาพคล้ายกันก็พอจะรู้ว่าเจ้าของร่างไม่ได้ใส่ใจกับการใช้ชีวิต ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนละคนกัน การกระทำย่อมแตกต่างจากเจ้าของร่างอย่างสิ้นเชิง จำเป็นต้องมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลสักข้อ
เห็นชัดว่าป้าหลัวยอมรับคำอธิบายนี้ นางตบบนมือเฉียวเวยเบาๆ “เจ้าคิดตกก็ดีแล้ว คิดตกก็ดีแล้ว!”
เฉียวเวยก้มหน้าแล้วเอ่ยอย่างละอายใจยิ่งนัก “ข้าตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตให้ดี แต่ว่ามีเรื่องราวมากมายนักที่ข้าไม่เข้าใจ คงมีช่วงเวลาที่ต้องการคำสั่งสอนของท่านป้า ขอท่านป้าอย่ารังเกียจว่าข้าน่ารำคาญ”
ป้าหลัวเป็นคนจิตใจงาม ตอนแรกที่เฉียวเวยพาเด็กน้อยสองคนระหกระเหินมาถึงที่นี่ นางก็เป็นคนเกลี้ยกล่อมหัวหน้าหมู่บ้านให้รับคนมาอยู่บนภูเขา เมื่อเห็นเฉียวเวยเปิดใจขอคำแนะนำจากนาง นางย่อมไม่คิดปิดบัง
“ก่อนอื่นที่นาผืนนั้นของเจ้าน่ะ…”
ระหว่างที่ได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์จากป้าหลัว เฉียวเวยก็ได้ทำความรู้จักสถานการณ์ของตนเองใหม่ นั่นก็คือ…นาง มี ที่ นา กับ เขา ด้วย!
สิ่งนี้หากเป็นเมื่อชาติก่อน เฉียวเวยคงไม่ชายตาแลแน่นอน แต่ละเดือนนางได้เงินตั้งหลายหมื่น ใครจะสนใจที่นาผืนเดียว แต่ตอนนี้นางกำลังจะอดตาย มีที่ดินผืนหนึ่งให้ทำไร่ไถนาต่อได้ สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องล้ำค่าหายากเพียงไร! นางอยากจะก้มกราบขอบคุณฟ้าดิน!
แน่นอนที่นาผืนนี้ไม่ได้มอบให้แก่เฉียวเวยเปล่าๆ ต้องจ่ายค่าเช่าจำนวนหนึ่ง แต่เรื่องนี้เข้าใจได้ เจ้าไม่ใช่คนในหมู่บ้านเสียหน่อย คิดจะใช้ที่นาในหมู่บ้านโดยไม่จ่ายเงิน จะได้อย่างไรเล่า
ป้าหลัวไม่เพียงบอกเฉียวเวยเรื่องการทำนา ยังเล่าให้เฉียวเวยฟังด้วยว่าคนในหมู่บ้าน คนไหนที่นางควรแวะเวียนไปหาให้มาก คนไหนอยู่ให้ห่างเป็นดีที่สุด “…ย่าของหลิวชุ่ยฮวากับย่าของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พวกเขาสองคนนับขึ้นไปห้ารุ่นมีบรรพบุรุษคนเดียวกัน นางจึงเรียกหัวหน้าหมู่บ้านว่าพี่”
ที่แท้ก็เป็นญาติกับหัวหน้าหมู่บ้าน มิน่าจึงกร่างเช่นนี้
“แต่นางเหมือนจะกลัวท่านมาก” เฉียวเวยเอ่ยขึ้นมา
ป้าหลัวหัวเราะ “ไม่ใช่กลัวข้าหรอก นางเพียงไม่อยากหาเรื่องข้าก็เท่านั้น”
สรุปก็คือข้าต้องเกาะขาใหญ่อย่างท่านให้แน่น
เมื่อใกล้เที่ยงวัน ป้าหลัวจึงลุกขึ้นขอตัวจากไป เฉียวเวยมาส่งคนถึงทางลงเขา ป้าหลัวบอกว่า “พอแล้ว ไม่ต้องส่งแล้ว เด็กๆ หิวแย่แล้วรีบไปทำอาหารเถิด”
โถข้าวสารในห้องครัวว่างเปล่าเสียแล้ว เหลือแป้งอยู่เพียงครึ่งชั่ง เอามาปรุงก็ไม่น่าจะอิ่มท้องนัก เฉียวเวยจึงตัดสินใจไปดูในแปลงนา
“ข้าจะไปด้วย” เฉียวจิ่งอวิ๋นเอ่ยขึ้นมา ครั้งก่อนท่านแม่ก็หกล้มในแปลงนา เขากลัวว่าท่านแม่จะล้มอีกครั้ง เขาต้องปกป้องท่านแม่
เฉียววั่งซูกอดแขนเฉียวเวยไว้ “ท่านแม่ ข้าก็จะไปด้วย”
ทางเดินบนภูเขาเดินไม่สะดวกนัก เฉียวเวยอยากให้เด็กๆ อยู่ในบ้าน แต่เมื่อคิดอีกที ถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็อยู่บนภูเขา หากมีสัตว์ร้ายที่กำลังหาอาหารสักตัวบุกเข้ามา ต่อให้เด็กๆ อ้อนวอนฟ้าดินก็คงไม่มีใครมาช่วย
สุดท้ายนางจึงพาเจ้าตัวน้อยสองคนไปด้วย
เด็กน้อยทั้งสองได้ออกไปข้างนอกกับมารดาจึงเบิกบานใจยิ่งนัก บุตรสาวค่อนข้างร่าเริงมากกว่า นางกระโดดโลดเต้นวิ่งอยู่ด้านหน้าสุด บุตรชายเงียบขรึมอยู่บ้าง เขาทำตัวเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยตามอยู่ข้างกายเฉียวเวย
เฉียวเวยลูบหัวบุตรชาย “ทำไมไม่ไปเล่นกับน้องสาวเล่า”
เฉียวจิ่งอวิ๋นตอบอย่างจริงจัง “ข้าไม่เล่นเป็นเด็กน้อย!”
เฉียวเวยหัวเราะดังพรืด นางถูกความน่ารักยามบุตรชายแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่กระแทกใจอย่างจัง นางอุ้มบุตรชายขึ้นมาแล้วหอมใบหน้าน้อยอันหล่อเหลาของบุตรชายเสียหนึ่งที
ใบหน้าน้อยของเฉียวจิ่งอวิ๋นแดงแปร๊ดในทันใด เขาก้มหน้าอึกอัก “โธ่ ท่าน…ท่านหอมข้าทำอะไรเล่า”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “เจ้าเป็นลูกชายข้า ข้าย่อมต้องหอมเจ้าสิ!”
เฉียววั่งซูเห็นมารดาหอมพี่ชายจึงวิ่งมาขอหอมบ้าง เฉียววั่งซูที่ถูกหอมแก้มดีใจยิ่งนัก กระโดดโลดเต้นวิ่งออกไป
เฉียวจิ่งอวิ๋นไม่พอใจ “เหตุใดน้องสาวจึงได้ด้วยเล่า”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เพราะน้องก็เป็นลูกของแม่เหมือนกัน แม่รักน้องเช่นเดียวกัน”
เฉียวจิ่งอวิ๋นเข้าใจแล้ว มารดาจะหอมแก้มบุตรของตนเท่านั้น
หลายเดือนหลังจากนั้น เฉียวจิ่งอวิ๋นเห็นกับตาว่ามารดาหอมบุรุษอีกคนหนึ่ง บุรุษผู้นั้นร่างกายสูงใหญ่ยิ่งนัก เครื่องหน้าคล้ายกับเขาอยู่บ้าง เขาคิดว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นบุตรของมารดาเป็นแน่ มิเช่นนั้นเหตุใดมารดาจึงหอมเขาเล่า มิเช่นนั้นเหตุใดเขาจึงหน้าตาคล้ายกับตนปานนั้นเล่า เขาจึงเรียกคนผู้นั้นว่าพี่ชายอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนผู้นั้นตีจนน่วม เขาไม่เห็นเข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
เรื่องภายหลังตอนนี้อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเลย เฉียวจิ่งอวิ๋นในเวลานี้กำลังอยู่ในสวนหัวไชเท้า ช่วยกันดึงหัวไชเท้ากับน้องสาว
นาที่หมู่บ้านให้เฉียวเวยเช่าเป็นเนินลาดที่ขอบเขตไม่ใหญ่นักผืนหนึ่งบนไหล่เขา เดินมาไม่ไกล หากฟ้าสว่างใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ[1] หากหิมะตกคงจะนานขึ้นหน่อย ที่นาไม่กว้างนัก ประมาณผ่านสายตาน่าจะราวสองหมู่[2] พื้นที่ทั้งหมดล้วนปลูกหัวไชเท้า หัวไชเท้าปลูกได้ตลอดสี่ฤดู โอกาสโตก็มาก สำหรับคนที่อดตายได้ตลอดเวลา ไม่มีอะไรเหมาะยิ่งกว่าปลูกหัวไชเท้าแล้ว หัวไชเท้ารอบนี้เก็บเกี่ยวได้แล้ว ส่วนที่เหลืออยู่มีไม่มาก เฉียวเวยกับเด็กๆ ถอนอยู่นานเพิ่งจะถอนออกมาได้ยี่สิบกว่าหัว
นี่จะเป็นเสบียงหน้าหนาวของพวกเขาสามแม่ลูก
เมื่อนึกถึงโถข้าวสารที่เห็นก้น แล้วมองเด็กน้อยที่ขาดสารอาหารทั้งสองคน ในใจเฉียวเวยก็รู้สึกยากจะทานทน กำลังอยู่ในวัยกำลังโต ทุกวันกินแต่หัวไชเท้าจะได้อย่างไร นางต้องคิดหาวิธีเพิ่มสารอาหารให้พวกเขาสักหน่อยแล้ว
[1] เค่อ หน่วยเวลาสมัยโบราณ หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที
[2] หมู่ หน่วยวัดพื้นที่สมัยโบราณ หนึ่งหมู่ประมาณ 666 ตารางเมตร