ตอนที่ 4 ล่าสัตว์ครั้งแรก
เฉียวเวยพาเด็กๆ กลับมาถึงลานบ้านตอนเที่ยงตรงพอดี ลมหนาวเย็นยะเยือกพัดผ่าน แต่คนทั้งสามที่เพิ่งออกแรงกลางแสงแดดมากลับเหงื่อซึม
ทั้งสามคนเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้างจึงนั่งพักหายใจบนม้านั่งตัวน้อย เฉียวเวยวางตะกร้าบนหลังลงกับพื้น แล้วตักน้ำมาให้ลูกล้างมือ ล้างเสร็จแล้วนางจึงลูบศีรษะน้อยๆ ของทั้งสองคน “หิวแล้วใช่หรือไม่ แม่จะไปทำอาหารให้”
เฉียวจิ่งอวิ๋นตอบว่า “ข้าจะช่วยท่านแม่ซาวข้าว”
เฉียวเวยไม่กล้าบอกลูกว่าในโถข้าวสารไม่เหลือข้าวแล้ว นางยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่ต้องซาวข้าว แม่จะทำขนมหัวไชเท้าให้พวกเจ้ากิน! ถ้าอยากช่วยแม่จริงๆ ก็ล้างหัวไชเท้าสองสามหัวนี้ให้สะอาด เดี๋ยวแม่ปรุงสักหน่อยแล้วจะทำเป็นแป้งผสมหัวไชเท้า”
เฉียวจิ่งอวิ๋นรับหัวไชเท้าสี่หัวที่เฉียวเวยส่งให้อย่างเบิกบานใจยิ่งนัก เขานั่งอยู่ข้างอ่างน้ำล้างอย่างพิถีพิถัน เฉียววั่งซูเห็นพี่ชายล้างก็ถกแขนเสื้อช่วยงานด้วย
เด็กน้อยเพิ่งจะอายุสี่ขวบเท่านั้น เหตุใดจึงรู้ความเช่นนี้กันนะ เฉียวเวยเหมือนมองเห็นวันเวลาที่ตนอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่นางลำบากเพราะไม่มีพ่อแม่ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูยังมีแม่อยู่ เหตุใดยังต้องทุกข์ยากเช่นนี้เล่า
เฉียวเวยเช็ดขอบตาที่เริ่มแดงระเรื่อ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องครัว ตอนอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้โดยปกติแล้วจะได้กินอิ่ม แต่อยากกินของอร่อยก็ต้องพึ่งโชคกับความสามารถ นางแย่งชิงสู้เด็กโตพวกนั้นไม่ได้ ทว่านางมีวิธีเอาตัวรอดของตัวเอง นางมักไปช่วยงานในครัว ล้างจานเช็ดพื้น ล้างผักหั่นผัก งานอะไรล้วนแย่งทำจนหมด ผู้ใหญ่เห็นนางเป็นเด็กดี ทุกครั้งจึงแอบป้อนเนื้อให้นางสองสามคำ นางเรียนรู้การประจบผู้อื่นตั้งแต่เล็ก แต่นางไม่ชอบใจที่จะให้ลูกของตนเติบโตเป็นคนเช่นนั้น
ล้างหัวไชเท้าจนสะอาด ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นฝอยผสมกับแป้งที่หมักเรียบร้อยดีแล้วจากนั้นปั้นเป็นขนมชิ้นเท่าฝ่ามือแผ่นแล้วแผ่นเล่า หูหลัวปัว[1]ที่เมื่อเช้ากินไม่หมด เฉียวเวยก็หั่นเป็นจันทร์เสี้ยวโค้งมนหลายชิ้นแปะลงบนขนม ขนมหัวไชเท้าทั้งหมดจึงกลายเป็นรูปหน้ายิ้ม
เฉียวเวยทอดขนมหัวไชเท้าหน้ายิ้มในถาดทั้งหมดจนเหลืองกรอบแล้วยกมาที่โต๊ะ เด็กน้อยสองคนร้องว้าวในพริบตา ขนมหัวไชเท้าจริงหรือ ทำไมดูไม่เหมือนหัวไชเท้าสักนิดเลยเล่า ฝีมือทำครัวของเฉียวเวยเดิมทีก็ไม่ย่ำแย่ เมื่อบวกกับภาพหน้ายิ้มน่ารักเช่นนี้ เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองจึงเกือบจะกินลิ้นตัวเองเข้าไปด้วย
เฉียวเวยเห็นเด็กๆ กินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้ก็ทั้งพอใจแล้วปวดใจ “ตอนนี้คงได้แต่กินพวกนี้ แต่เชื่อแม่ ไม่นานก็จะได้กินเนื้อแล้ว”
ตกบ่ายเฉียวเวยตัดสินใจขึ้นเขาเข้าป่าสักครั้งดูซิว่าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่ นางเคยได้ยินป้าหลัวบอกว่าในหมู่บ้านมีนายพรานอยู่คนหนึ่ง เขาล่าสัตว์ตลอดทั้งปี บ่งบอกให้รู้ว่าในป่ามีของให้ล่าอยู่จริง แน่นอนว่าการล่าสัตว์เป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งนัก เฉียวเวยไม่กล้าพาลูกไปด้วย หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งนางจึงพาลูกกับนำขนมหัวไชเท้าติดไม้ติดมือไปที่บ้านของป้าหลัว
ป้าหลัวยินดียิ่งนักที่จะช่วยเฉียวเวยดูแลเด็กๆ แต่นางไม่สนับสนุนให้เฉียวเวยไปล่าสัตว์ “อันตรายเกินไป เจ้าสตรีตัวคนเดียว จะเอาอย่างบุรุษขึ้นเขาไปล่าสัตว์ได้อย่างไรเล่า”
ฤดูหนาวห่วงโซ่อาหารตึงเครียด สัตว์ร้ายตกอยู่ในสภาวะหิวโหยง่าย เมื่อเทียบกับสัตว์ร้ายในฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิ พวกมันอันตรายยิ่งกว่า ความกังวลของป้าหลัวไม่ใช่เรื่องเกินจริง แต่สิ่งที่ป้าหลัวไม่รู้ก็คือเฉียวเวยในตอนนี้ไม่ใช่หญิงชาวบ้านอ่อนแอที่ทำสิ่งใดไม่เป็นสักอย่างคนก่อนหน้านั้นอีกแล้ว
ป้าหลัวรั้นสู้เฉียวเวยไม่ได้จึงต้องถอยก้าวหนึ่งบอกว่า “เจ้าจะไปล่าสัตว์ข้าก็ไม่ว่า แต่เจ้ารอต้าจ้วงกลับมาก่อน ข้าจะให้เขาพาเจ้าไป เขาไปขายกระต่ายป่าในเมือง คืนนี้ถึงจะกลับ”
สวีต้าจ้วงก็คือนายพรานในหมู่บ้าน
เฉียวเวยไม่อยากติดค้างน้ำใจผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็ไม่ใช่ว่าจะทำเองไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเอ่ยอ้อมค้อมปฏิเสธความหวังดีของป้าหลัวแล้วเข้าป่าไปตามลำพัง เฉียวเวยมีเครื่องมือไม่มาก เริ่มแรกจึงไม่ตั้งเป้าหมายไว้สูงนัก จับไก่ป่าหรือกระต่ายป่าได้สักตัวก็พอใจแล้ว
เฉียวเวยแกะรอยเท้าบนหิมะจนมาพบสถานที่ซ่อนเร้นที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง นางเปิดกรงดักที่ทำมาล่วงหน้า จากนั้นวางหูหลัวปัวกับไส้เดือนที่ใช้เป็นเหยื่อเข้าไป สิ่งเหล่านี้ใช้ล่อกระต่ายป่ากับไก่ป่าได้ รอดูว่าตัวไหนจะมาติดกับก่อน เฉียวเวยหาต้นไม้ใหญ่เหมาะๆ ต้นหนึ่งแล้วปีนขึ้นไปเฝ้ารอบนกิ่งไม้
ดูท่าวันนี้จะโชคดีไม่เลว ก้นนางยังไม่ทันร้อนก็เห็นกระต่ายโง่ตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาในกรง ปั่บ! หลังจากนั้นประตูกรงก็ปิดลง
เฉียวเวยปีนลงไปจับกระต่ายโง่ใส่เข้าไปในถุงผ้าที่เตรียมไว้
ผ่านไปพักหนึ่งก็มีกระต่ายโง่อีกตัวเข้ามาติดกับ เฉียวเวยเก็บกระต่ายด้วยวิธีเดิม หลังจากจับกระต่ายป่าได้ติดกันสามตัวก็ไม่มีกระต่ายมาติดกับแล้ว เฉียวเวยเห็นว่าฟ้ายังสว่างอยู่จึงคิดจะเปลี่ยนไปล่าตำแหน่งอื่น นางตามหารอยเท้าไก่ป่าบนพื้นหิมะ มองหาอยู่ครึ่งชั่วยามก็พลันได้ยินเสียงสัตว์ร้ายคำรามดั่งเสียงฟ้าร้อง หัวใจของนางสั่นสะท้าน นางรับรู้ถึงอันตรายใหญ่หลวงได้โดยสัญชาตญาณจึงทิ้งกรงไว้บนพื้นแล้วแบกถุงผ้าปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ทันที
เสือสีเหลืองโตเต็มวัยตัวหนึ่งพุ่งพรวดออกมา มันกำลังไล่ตามก้อนน้อยสีขาวที่ยาวไม่ถึงครึ่งเมตร เจ้าก้อนน้อยสีขาวนั่นทั้งรวดเร็วทั้งว่องไว ไม่ว่าเสือกระโจนใส่อย่างไรก็จับมันไม่ได้เสียที ตรงกันข้ามมันกลับกระโดดง้างกรงเล็บตะปบจนใบหน้าของเสือถูกกรีดเป็นรอยเลือดหลายเส้น
เสือร้ายโกรธถึงขีดสุด มันคำรามก้องจนหมู่วิหคในสุมทุมพุ่มไม้ตกใจบินกระเจิง ก้อนสีขาวนั่นก็ตกใจกลัวเช่นเดียวกัน ร่างกายชะงักไปหนึ่งวินาที แต่หนึ่งวินาทีนี้ที่มันหยุดนิ่งกลับทำให้เสือได้โอกาสตบอุ้งเท้าใส่ เจ้าก้อนน้อยสีขาวถูกตบกระเด็นปลิวมากระแทกต้นไม้อย่างหนักหน่วงแล้วร่วงลงไปบนพื้นหิมะอย่างแรงจนลุกไม่ขึ้น
สภาพของเสือก็ไม่ได้ดีนัก เมื่อครู่มันวิ่งอย่างรวดเร็วอยู่ เฉียวเวยจึงเห็นไม่ชัด ตอนนี้เมื่อมันอยู่นิ่ง เฉียวเวยจึงเพิ่งพบว่าสองขาหลังของมันบาดเจ็บ มิน่าจึงถูกเจ้าก้อนน้อยสีขาวตัวหนึ่งหลอกล่อจนหัวหมุน เมื่อมันได้แก้แค้นแล้ว อารมณ์ก็สงบลงมาเล็กน้อย มันเยื้องย่างเข้ามาหาเจ้าก้อนสีขาว
เจ้าก้อนน้อยสีขาวน่าจะไม่รอดแล้ว เฉียวเวยคิด
ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมา เจ้าก้อนน้อยสีขาวที่ ‘ตาย’ ไปแล้วกลับกระโดดผลุง เผ่นแผล็วขึ้นมาบนต้นไม้
เฉียวเวยสบถลั่นในใจ สหาย ต้นไม้มีมากมาย ทำไมมาปีนต้นที่ข้าอยู่เล่า
แค่ปีนขึ้นมายังไม่พอ เจ้าก้อนน้อยสีขาวยังกระโจนเข้ามาในอ้อมแขนของเฉียวเวยอีก กรงเล็บน้อยเกาะเสื้อของเฉียวเวยแน่น ดึงอย่างไรก็ดึงไม่หลุด
เสือร้ายพบว่าบนต้นไม้มี ‘พวกเดียวกัน’ อีกก็คำรามอย่างเดือดดาลพุ่งกระแทกต้นไม้ใหญ่ทันที
โธ่เว๊ย พี่ใหญ่ ท่านเลิกชนเถอะ ชนอีกเดี๋ยวก็ตกลงไปพอดี!
เจ้าเสือชนอยู่พักหนึ่งก็ไม่ได้ผล มันจึงเริ่มปีน
เฉียวเวยใกล้จะสติแตกแล้ว ไหนว่าเสือปีนต้นไม้ไม่เป็น ไฉนพี่ใหญ่ตัวนี้ปีนขึ้นมาได้เล่า
ขาหลังของเสือบาดเจ็บอยู่ มันจึงปีนลำบากยิ่งนัก แต่สุดท้ายก็ปีนขึ้นมาได้ หนึ่งเมตร สองเมตร…
[1] หูหลัวปัว แคร์รอต