เมื่อออกจากห้องสไตล์ญี่ปุ่น คาซูกิก็ถูกเอริกะพามายังที่สวน ที่ซึ่งมันถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี

เอริกะ ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาสวมเกี๊ยะสีดำ เธอเดินนำอยู่ที่ด้านหน้าของเขา พลางทำเสียงที่เกิดจากการเดินดัง “เตาะแตะๆ”

     เธอได้มาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดูเหมือนมันจะสูงเกิน 20 เมตรได้ ภายใต้ทิวทัศน์แห่งนี้ที่ล้อมรอบไปด้วยกลีบดอกซากุระพริ้วไสวดูราวกับภาพมายา ในที่สุดเธอก็หันกลับมาหาคาซูกิ

 

[ ดิฉันขอแนะนำตัวอีกครั้งค่ะ ดิฉัน คือลูกสาวของ ทาซูคุ ซูเมะรากิ เอริกะ ซูเมะรากิ ค่ะ ]

[ ฮาโรลด์ สโตร์ก ]

 

     การแนะนำตัวของพวกเขาจบลงอย่างรวดเร็ว และแล้วความเงียบก็ได้เข้าปกคลุมอีกครั้ง . . 

ฮาโรลด์นั้นไม่ได้กล่าวแนะนำตัวที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรเลยซักนิด

 

( หรือว่า . .  คำพูดเรากลับมาเป็นแบบเดิมอีกแล้ว)

 

     เมื่อมาคิดๆดูแล้ว แม้ตอนอยู่ในเนื้อเรื่องของเกมส์ ฮาโรลด์นั้นจะพูดกับเอริกะด้วยน้ำเสียงดุร้ายอยู่ตลอด บางที ที่เขาสามารถพูดภาษาสุภาพได้คงแค่อยู่ต่อหน้าผู้ที่สถานะสูงกว่าเขาเท่านั้น

 

[ ต้นไม้ต้นนี้ถูกเรียกว่า “ซากุระ” ค่ะ และดอกของมันแสดงถึงความเป็นพวกเรา,บ้านเกิดของพวกเรา,  ซูเมะรากิ จริงๆมันไม่ได้มีอยู่ที่ดินแดนนี้ตั้งแต่แรกหรอกนะคะ แต่ดูเหมือนว่า เมื่อตอนที่ท่านลอร์ดย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ ท่านได้ปลูกต้นอ่อนที่นำติดตัวกับท่านมาด้วย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 500 ปีก่อนค่ะ แต่สำหรับตอนนี้ มันได้กลายเป็นสัญลักณ์ของตระกูลซูเมะรากิไปแล้ว ]

 

     ขณะที่คาซูกิกำลังเศร้าเนื่องจากกลับมาเป็นฮาโรลด์ปากหมาอีกครั้ง เขาก็ได้รับฟังเรื่องราวความเป็นมาของตระกูลซูเมะรากิ

     คงเพราะซักพักเธอรู้สึกรำคาญกับความเงียบ เอริกะจึงเริ่มที่จะอธิบายเกี่ยวกับต้นซากุระที่อยู่ตรงหน้าเธอ มันช่างหน้าชื่นชมแม้ว่าสภาพจิตใจของเธอตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่ความตั้งใจที่จะพาเที่ยวชมรอบๆกับไม่ลดลงเลยซักนิด

     หากจะให้พูดตรงๆ หัวข้อที่พวกเขากำลังคุยกันนั้นมันค่อนข้างแปลกเกินไปสำหรับเด็กๆคุยกัน แต่สำหรับคาซูกิผู้คุ้นเคยกับดอกซากุระอยู่แล้ว มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา

 

[ มันต่างจาก “ซากุระ” ที่ข้ารู้มา ]

 

     ชื่อของต้นไม้นี้ยังไม่แน่ชัดภายในเกมส์ แต่ว่าทั้งรูปร่าง กลีบดอก และการผลิบานของดอกนั้น มันต่างจาก Somei Yoshino (TL: ชื่อพันธุ์ของต้นซากุระที่แพร่หลายในญี่ปุ่น) ที่พบเห็นได้ทั่วไปในญี่ปุ่น อาจเพราะสีของมันเข้มกว่ามั้ง

     ดังนั้น “มันมีซากุระพันธุ์นี้อยู่จริงๆนะหรือ?” แม้ว่าเขาจะคิดถึงมันซักเท่าไร เขาก็ไม่ได้ใกล้ที่จะหาคำตอบได้

 

[ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับซากุระหรือคะ ? ]

 

     แม้ว่าเอริกะเธอจะแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึกมาโดยตลอด แต่เพราะเมื่อซักครู่ ดวงตาของถึงกับเธอสั่นไหวเพียงเล็กน้อยกับสิ่งที่เขาตอบกลับมา

 

[ ไม่ , มันอาจจะเป็นสิ่งที่แตกต่างกันที่ดันคล้ายๆกันก็ได้ แต่ก็เอาเถอะ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร ]

 

     เขาแค่คิดเพียงว่าจะเปลี่ยนหัวข้อเรื่องเท่านั้น ปากของเขาก็พูดตัดบทกับคำถามของเอริกะอย่างไม่ใยดี รู้สึกว่าวันนี้ปากของเขาจะทำงานได้ดีเยี่ยมกว่าทุกวันนะ . . 

     อาจเพราะถูกตอบกลับมาอย่างเย็นฉา การแสดงออกของเอริกะก็กลับมาเงียบขรึมจนน่ากลัว เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่แสดงออกมานั้นมันเพราะเกลียดหรือความระแวงกันแน่

 

(มาคิดๆดูแล้ว เหล่าตัวละครมากมายที่ปรากฎอยู่ในเรื่อง มีเพียงคนเดียวที่เอริกะเกลียดเข้าไส้นั้นก็คือผมนี่นา )

 

     เอริกะ หากจะให้อธิบายเกี่ยวกับเธอให้เข้าใจง่ายๆแล้วล่ะก็  เธอเหมือนกับ “ยามาโตะ นาเดชิโกะ” (TL:บุปผางามแห่งแดนอาทิตย์อุทัย)  แม้ว่าเธอจะเป็นลูกสาวของตระกูลขุนนางชั้นสูงที่โดดเด่น แต่เธอก็ไม่เคยมีท่าทีแบ่งแยกชนชั้น เธอมักจะยิ้มและสุภาพกับทุกๆคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือแม้กระทั้งศัตรูก็ตาม เธอนั้นมีความอดทนเป็นอย่างมากและคอยช่วยเหล่าตัวเอกอย่างเงียบๆ ผู้เล่นจำนวนมากต่างรู้สึกได้เยียวยาหัวใจโดยเธอคนนี้ ผู้ที่รักษาท่าทีสงบอยู่โดยตลอดเวลา

     และมีเพียงคนเดียวที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้เดือดดาลถึงขั้นลงมือตบเขาได้ 

จะใครซะอีกนอกจากฮาโรลด์

     การที่สามารถทำให้เธอทำอะไรแบบนั้น หากพูดตามตรง มันถือเป็นความสำเร็จเลยก็ว่าได้ 

และถึงขนาดมีเหล่าผู้เล่นบางคนตั้งชื่อให้กับฉากที่เอริกะตบฮาโรลด์ว่า “มันคือรางวัล” และพวกเขาต่างเอารีเพลฉากนั้นมาเป็นอีเว้นท์เปิดดูกันอีกบ่อยครั้ง

 

[ อีกนัยก็คือ . . คุณไม่ได้สนใจอะไรในตระกูลซูเมะรากิสินะคะ ? ]

[ เธอจะตีความแบบไหนก็แล้วแต่เธอ ]

[ . . . งั้นสินะคะ . . .สิ่งเดียวที่คนของคุณต้องการก็คงมีแค่ชื่อของตระกูลซูเมะรากิ สินะ ? ]

[ เหอะ ก็เธอมันก็ไม่มีค่าอะไรเลยนอกจากเพียงแค่ชื่อของเธออยู่แล้ว . . ไม่ใช่ว่าเธอกำลังเข้าใจอะไรผิดหรอกนะ? นอกจากชื่อเสียงตระกูลแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเลยที่ตระกูลสโตร์กจะด้อยไปกว่าพวกเธอ  . . แม้ว่าคนของเธอจะสรรเสริญพวกเธอว่ามีชื่อเสียงและเป็นขุนนางที่มีเกียรติเพียงใด ฮึ มันน่าสมเพชยิ่งนักที่เธอทำได้เพียงแค่นั่งเฉยๆและร้องให้คนเดียวเงียบๆอยู่ในคฤหาสน์ ]

 

     มันช่างน่าอัศจรรย์มาก ที่ปากของเขาพูดออกไปเองรัวๆ

คิดๆดูแล้วมันช่างสะดวกสบายเสียจริงที่เกลียดอะไรก็พ่นคำพูดไม่สุภาพนิดๆหน่อยออกให้ไปเอง

ไม่สิ, มันเลยกับคำว่านิดๆหน่อยไปไกลแล้ว มันควรจะเรียกว่าปากหมาชัดๆ 

และเขาไม่สามารถจะปฎิเสธความจริงนี้ได้เลย

 

[ นายจะไปรู้อะไร . . ! ]

 

     เอริกะถึงกับพึมพัมออกมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีก่อนที่เกมส์จะเริ่มขึ้น และดูเหมือนว่าในตอนที่เธอยังคงเป็นเด็ก จุดเดือดเธอคงจะต่ำพอควร

     เธอซ่อนใบหน้าของเธอโดยการมองต่ำลง แค่มันก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเธอนั้นกำลังโกรธ มันคงจะแย่แน่ถ้าหากเขายังจะสุมไฟมากไปกว่านี้ 

     คงต้องหยุดการทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูแย่ลงไว้เพียงเท่านี้ เขาจึงเอาจดหมาดปิดผนึกออกมาส่งให้กับเอริกะ

 

[ . . . .  สิ่งนี้คือ ? ]

[ หุบปากแล้วรับๆไป หลังจากที่พวกข้าไปแล้ว ส่งมันให้พ่อเธอซะ ]

[ ดิฉันขอปฎิเสธ ]

 

     สิ่งนี้คงเรียกว่าทำสิ่งใดไว้ก็ได้รับผลตอบแทนแบบเดียวกันสินะ. . 

เอริกะเธอหันหลังกลับพร้อมเริ่มที่จะเดินจากไป

 

[ อ่า เอาแบบนั้นก็ได้นะ , ถ้าหากเธอต้องการที่จะปล่อยให้ผู้คนในดินแดนของเธอที่กำลังทุกข์ทรมานให้ตายๆไปซะล่ะก็ , เอาแบบนั้นก็ได้ ]

 

     ด้วยคำพูดพวกนั้น เธอถึงกับหยุดเดินอย่างไม่ได้ตั้งใจ

เพราะ จากสิ่งที่ฮาโรลด์ดูพูดมา มันเหมือนจะมีหนทาง—-

 

[ . . . สิ่งนี้คือหนทางที่จะช่วยพวกเขารึคะ ? ]

[ มันคงไม่สามารถพูดแบบนั้นได้หรอก แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองไม่ใช่รึ ]

 

     เอริกะมองไปยังจดหมายฉบับนั้น

มันดูราวกับว่าเธอกำลังลังเล แต่คาซูกิเชื่อว่าเธอจะรับมันเอาไว้

     จริงๆแล้วเธอนั้นเป็นคนที่ใจดี อีกความหมายคือ เธอเป็นผู้หญิงที่ใจอ่อน เธอนั้นไม่มีทางที่จะละทิ้งประชาชนผู้ที่กำลังทุกข์ทรมานได้หรอก

เชื่อรึปล่าว ในเกมส์นั้น มันมีฉากของเธอที่กำลังเจ็บปวดเพราะเหล่ามอนเตอร์ที่กำลังตายลงด้วย

     ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อทราบถึงวิธีที่จะช่วยเหลือผู้คนของเธอที่กำลังนอนรอความตายอยู่บนเตียง

แม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือซักเพียงใด , แม้ว่ามันจะเป็นข้อเสนอที่มาจากคนแบบนี้ ผู้ที่เป็นพวกสนับสนุนเหล่าสายเลือดบริสุทธิ์ ผู้มีคติตรงข้ามกับเธอ เธอก็ไม่สามารถที่จะเพิกเฉยโดยที่ไม่รับฟังมันได้

     สายลมที่พัดผ่าน มันทำให้กลีบดอกซากุระร่วงโรยอยู่รายรอบคนทั้ง 2 หลังจากสบตากันอยู่สักพัก

ผู้ที่เริ่มเคลื่อนไหวก่อนก็คือเอริกะ

 

[ มันไม่ใช่ว่าดิฉันจะเชื่อในคำพูดของคุณ แต่ . . . ]

 

     แม้ว่าเธอจะยังแสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่ แต่เธอก็ยังกำจดหมายจากคาซูกินั้นไว้แน่น

สำหรับคาซูกิ แค่นี้ก็ถือมากเกินพอแล้ว

เหลือเพียงแค่ เธอส่งมันให้กับทาซูคุ แค่นี้ก็เป็นไปตามที่คาซูกิต้องการ

 

[ ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อโดยไม่มีเหตุผล ค่อยตัดสินมันจากผลลัพธ์ก็พอ ]

 

     ไม่รู้ว่าทาซูคุจะเชื่อข้อความไร้สาระในจดหมายที่ถูกเขียนขึ้นโดยเด็กอายุ 10 ขวบหรือไม่ เอาเถอะ ต่อให้แผนการนี้เกิดผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ เขาก็ได้คิดแผนสำรองเอาไว้แล้ว

แทนที่จะถอนให้ใจเหมือนอย่างเคย 

คาซูกิกับมองขึ้นไปยังต้นซากุระและท้องฟ้าสีครามที่ถูกก้อนเมฆบดบัง. . .

 

◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇◇

  

   เมื่อรถม้าของตระกูลสโตร์กเดินทางออกไป 

มันก็เป็นช่วงที่แสดงอาทิตย์ค่อยๆอ่อนลงและเริ่มจางหายไป ขณะที่มองดูภาพเหล่านั้น ตรงกันข้ามกับบรรยากาศที่ดูสงบ ก้อนเมฆสีดำเริ่มที่จะก่อตัวภายในใจของเอริกะ

สิ่งนั้นก็คือเรื่องการหมั้นหมายกับฮาโรลด์

     เอริกะนั้นเข้าใจดีว่าเธอนั้นไม่ได้มีสถานะทางสังคมต่ำต้อยอะไร เธอจึงไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าจะได้แต่งงานตามคู่ครองที่เธอสามารถเลือกได้เอง ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีใครซักคนที่อยู่ภายในใจของเธอก็ตาม

     แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะโตพอที่จะหมดหวังในชีวิตของตัวเองและรู้สึกยินดีในความเสียสละของเธอที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหน้าด้านที่บังคับคนอื่นหมั้นหมายโดยใช้จุดอ่อนของผู้อื่นได้หรอกนะ

     และเมื่อเธอได้ยินเกี่ยวกับผู้นำตระกูลสโตร์กเป็นคตินิยมพวกเลือดบริสุทธิ์ เขานั้นปฎิบัติต่อผู้คนที่ไม่ใช่สายเลือดขุนนางราวกับเป็นสิ่งของ 

     ความคิดนี้มันยากเธอที่จะยอมรับได้ แต่ว่าสำหรับพวกคนเหล่านั้น พวกเขาต่างมองว่าสายเลือดของตระกูลซูเมะรากินั้นมีค่าเป็นอย่างมาก

     เธอนั้นผิดหวังกับคนพวกนั้นที่เลือกปฎิบัติกับคนอื่น มันมีแต่จะสร้างผู้รับเคราะห์ไปทั่ว มันทำให้เธอรู้สึกเกลียดตัวเองที่เธอนั้นไม่มีพลังมากพอที่จะช่วยอะไรเพื่อตระกูลซูเมะรากิหรือเหล่าผู้คนในดินแดนได้เลย นั้นมันเป็นเรื่องยากที่เธอจะทนได้

     แต่เอริกะ แม้ว่าเธอจะยังเด็ก แต่เธอก็เข้าใจดีว่าเธอนั้นจะต้องแต่งงานเข้ากับตระกูลสายเลือดบริสุทธิ์ เพราะนั้นจะเป็นการทำให้อีกหลายชีวิตถูกช่วยไว้

     โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดถึงความทุกข์ของเอริกะ ฮาโรลด์ก็ยังพูดจาไม่ดีกับตระกูลซูเมะรากิ และนั้นมันเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถจะให้อภัยได้

     จดหมายที่ได้รับจากคนเช่นนั้น มันอยู่ในมือของเอริกะ เธออยากจะฉีกมันสะเดียวนี้และขว้างมันทิ้งไปดั่งใจเธอต้องการ แต่เพราะสัญญาด้วยวาจานั้น เธอจึงยังไม่ทำลายมัน

     ทั้งหมิ่นเกียรติของซูเมะรากิ และอีกหลายๆสิ่ง เมื่อเทียบกับยอมทอดทิ้งวิธีที่จะช่วยเหล่าผู้คนในดินแดนนี้ ผู้ที่กำลังทุกข์ทรมาน เธอมีสปิริตมากพอที่จะยอมกลืนความอัปยศเหล่านั้น

 

[ อภัยให้พ่อด้วย เอริกะ . . ]

 

     คำพูดที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนเศร้าของทาซูคุ  ผู้ที่กำลังยืนอยู่ข้างๆเธอที่กำลังมองดูรถม้าออกจากที่นี้ไป พูดตรงๆเขาไม่ได้รู้สึกยินดีเลยซักนิดที่ต้องให้เธอแต่งงานกับใครคนนั้นที่เธอไม่ต้องการ

     แต่ว่า ถ้าหากทางเลือกที่น่าเศร้าทางนี้ สามารถปกป้องชีวิตผู้คนและที่อยู่อาศัยของคนอีกหลายหมื่นคน ณ ที่นี้ได้ล่ะก็. .  . มันก็เป็นหน้าที่ของผู้นำตระกูลอย่างเขาจะต้องทำ. . 

 

[ ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ท่านพ่อ สิ่งนี้ก็เพื่อตระกูลซูเมะรากิและผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ ดินแดนนี้ค่ะ ]

 

ไม่มีคำโกหกใดๆในความรู้สึกเหล่านั้น

แต่ว่าสำหรับตอนนั้น เธอเพียงแค่ต้องการเวลาที่จะปลอบโยนหัวใจของเธอ

 

[ ท่านพ่อคะ นี่ค่ะ ท่านฮาโรลด์รบกวนหนูส่งมอบมันให้กับท่านพ่อหลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วค่ะ ]

 

เธอดึงจดหมายออกมาและส่งมันให้กับทาซูคุ

 

[ จากฮาโรลด์คุง? ]

 

เขารับจดหมายฉบับนี้พลางคิดว่าเขาคงได้รับคำสั่งจากพ่อของเขาให้ส่งมันมาเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นหมาย แต่ว่า ทำไมถึงต้องส่งผ่านมันทางเอริกะ และยังเรื่องแปลกๆที่ฮาโรลด์สั่งให้มอบมันให้กับเขาเมื่อฮาโรลด์จากไปแล้วอีกด้วย

 

[ ถ้างั้น หนูจะกลับไปที่ห้องก่อนนะคะ ]

[ อ่า พักผ่อนเสียเถิด ]

 

     หลังจากก้มโค้งให้กับทาซูคุ ที่กำลังยิ้ม

อย่างเห็นอกเห็นใจ เอริกะก็จากสถานที่นี้ไปโดยเร็ว

ทาซูคุและโคโยมิรู้เกี่ยวกับความกังวลในจิตใจของพวกเขาดี ยิ่งพวกเขาเห็นอกเห็นใจมากเพียงใดสุดท้ายมันก็เป็นแค่เพียงความเจ็บปวดสำหรับเธอ

     ภาพที่เห็นลูกสาวของเขาที่มีท่าทีที่จริงจัง ทาซูคุได้แต่โทษตัวเองที่ต้องทำให้เธอแบกรับภาระหนักหนาขนาดนั้น

     เขาทำได้เพียงแค่คิดว่า พอจะมีวิธีอื่นๆอีกบ้างมั้ย ที่จะสามารถหยุดเรื่องที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดแบบนี้

 

[ . . . . แม้จะมาคิดตอนนี้มันก็สายไปแล้ว ]

 

     ทุกๆสิ่ง ที่ทำให้สถานการณ์มันกลายมาเป็นแบบนี้นั้นเพราะความไร้พลังของเขาเอง และเพราะอย่างงั้น มันจึงทำให้เอริกะและคนอื่นต้องมาแบกรับภาระมากมายขนาดนี้

เขานั้นไม่ได้อยากจะมาเยาะเย้ยตัวเองแบบนี้เลยสักนิด

     ด้วยหัวใจที่มืดหม่น เขาได้เปิดจดหมายของฮาโรลด์ออก

จดหมายนี้มันเริ่มต้นด้วยคำกล่าวทักทายตามปกติ ถึงแม้มันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เด็กเขียนก็ตาม แต่ด้วยนี่ ทาซูคุก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรกับฮาโรลด์ แต่ว่าเมื่อเขาอ่านต่อไปเรื่อยๆ ความรู้สึกดีๆที่มีอยู่เมื่อซักครู่ถึงกับกระเจิงหายไปหมด

     เขาถึงกับเผลอกำจัดจดหมายที่อยู่ในมือไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว และเมื่อเขาอ่านมันจนจบ จดหมายนี้ถึงกับยับยู่

 

[ มีใครอยู่ที่นี่บ้าง !!!!!! ตามคิริยุมาเดี่ยวนี้ !!! ]

 

     ทาซูคุส่งเสียงดังออกมาจนดังก้องไปทั่วคฤหาสน์ อาจเพราะรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ เหล่าคนรับใช้ที่กำลังทำงานอยู่ในคฤหาสน์จึงรีบหาตัวคิริยุกันหมด 

     และไม่นาน ร่างของคนๆนั้นก็ปรากฎขึ้นพลางเดินมาด้วยความเร่งรีบ เขาเป็นชายสูงอายุ ผู้ที่รอคอยการมาถึงของฮาโรลด์และพ่อของเขา ที่หน้าประตูเมื่อตอนนั้น

 

[ เกิดอะไรขึ้นขอรับ นายท่าน ]

[ พวกเราคุยเรื่องนี้กันที่นี่ไม่ได้ ตามมา ]

 

     สถานที่ที่ทาซูคุเลือกนั้นคือภายในห้องทำงาน ที่ซึ่งไม่มีผู้ใดอยู่ และเหตุผลนั้น เขาก็ให้คิริยุอ่านจดหมายที่ได้รับมาจากฮาโรลด์

และเมื่อคิริยุอ่านจนจบ ทาซูคุก็ได้เริ่มพูดขึ้น

 

[ จดหมายนี้มาจากฮาโรลด์คุง นายมีความคิดอย่างไรบ้าง? ]

[ . . . ถ้าจะให้กระผมพูดตรงๆล่ะก็ กระผมคิดว่าสิ่งนี้มันน่าสงสัยเกินไป ]

[ ก็จริง แต่ไม่ว่ามันจะจริงหรือเท็จ มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักนิดกับตระกูลสโตร์ก ]

[ ถ้ากระนั้น รึว่านี้จะเป็นฝีมือของบุคคลที่ 3 ขอรับ ? อย่างน้อยที่สุด มันก็ยากที่จะคิดว่ามันถูกเขียนขึ้นโดยเด็กชายเพียงตัวคนเดียว ]

[ ไม่ก็ ก็มีคนใช้เขาเป็นคนกลางอีกทีสินะ ]

 

     แนวความคิดพวกนี้คือคำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุด นั้นเพราะ เนื้อหาในจดหมายนั้นมันไม่ใช้อะไรที่เด็ก 10 ขวบจะสามารถเขียนลงไปได้ แต่ว่าในกรณีนี้ ยังมีคำถามขนาดใหญ่ที่ยังไม่ถูกคลายให้หายสงสัย 

 

[ ปัญหาก็คือ มันเป็นฝีมือของใครขอรับ และถ้าหากมันมาจากผู้ที่สนับสนุนตระกูลซูเมะรากิแล้วล่ะก็ มันก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องเลือกใช้วิธีที่อ้อมค้อมแบบนี้ ]

[ รึว่า มันเป็นฝีมือของใครบางคนที่ต่อต้านตระกูลสโตร์ก ? ]

[ นั้นมันก็เกินไปหน่อยขอรับ เพราะคนๆนั้นจะต้องใกล้ชิดกับฮาโรลด์และสามารถทำให้เขายอมรับคำขอร้องนี้ได้ ไม่ก็คนๆนั้นคงจะต้องทำอะไรซักอย่าง ที่สามารถล้างสมองฮาโรลด์คุงได้เท่านั้นขอรับ ]

 

     ถ้าหากมันไม่ใช่กรณีเหล่านี้ มันก็ไม่มีทางที่จดหมายฉบับนี้จะส่งถึงทาซูคุ และปมในการเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมายังไม่สมเหตุสมผล

     เป้าหมายที่แท้จริงของอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้เขาคงหวังผลกับการล้มสลายของตระกูลสโตร์กหรืออะไรบางสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้  และเพื่อที่จะคาดเดาเป้าหมายจริงๆได้นั้น ข้อมูลในตอนนี้ยังคงน้อยเกินไป

 

[ มันคงส่งผลเสียกับตระกูลซูเมะรากิแน่ถ้าหากพวกเราพยายามที่จะขุดคุ้ยเรื่องพวกนี้แต่ . . . ]

[ ถ้าพวกเราทำเช่นนั้น เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราจะได้รับมันยังเสี่ยงจนเกินไปกับคำพูดเพียงไม่กี่คำ , ตอนนี้ ซูเมะรากิกำลังเผชิญเรื่องฉุกเฉินอยู่ ดังพวกเราควรมองดูอย่างระมัดระวัง อย่างไม่รีบร้อน แล้วมันก็จะเผยในสิ่งที่เราต้องการออกมาเองขอรับ ]

 

     มันเป็นอย่างที่คิริยุกล่าว ตราบเท่ายังหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้ ตระกูลซูเมะรากิคงต้องสิ้นสลายไปโดยที่ไม่มีผู้ใดสนับสนุนด้านการเงิน

 

[ ในอีกความหมาย มันคือสิ่งที่ผู้ส่งจดหมายฉบับนี้ไม่ต้องการให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นสินะ . . . ]

[ มันมีความเป็นไปได้สูงที่เนื้อหาในจดหมายนี้จะเป็นความจริงขอรับ ]

 

แม้นี้มันจะยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

แต่ว่าถ้ามันได้ผลจริงๆ เวลาที่เสียไปกับการหาวิธีแก้ปัญหาก็จะกลายเป็นการผลิตแทน 

ถ้าสิ่งในจดหมายใช้ได้จริง มันก็อาจเป็นไปได้ที่จะยกเลิกการหมั้นหมายและสามารถปลดปล่อยเอริกะเป็นอิสระ

 

[ คิริยุ ไปรวบรวมสิ่งที่จำเป็นต้องใช้มาเดี่ยวนี้ และหลังจากอธิบายถึงความเสี่ยงพวกนี้แล้ว แจกจ่ายมันให้กับพวกที่ยังพอมีหวังได้เลย ]

 

     แม้ว่ามันจะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่บ่งบอกว่าข้อความในจดหมายนั้นเป็นความจริง แต่ว่าแสงสว่างก็เริ่มที่จะมองเห็นในหมอกครั้งนี้แล้ว 

แม้ว่าเขาจะกำลังเต้นอยู่บนมือของใครสักคน 

ทาซูคุก็ตัดสินใจแล้วที่จะลองเสี่ยงกับโอกาสนี้ดูสักครั้ง. . .