บทที่ 3 หมัวเทียนแห่งสำนักฟ้าประทาน

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 3 หมัวเทียนแห่งสำนักฟ้าประทาน

บทที่ 3 หมัวเทียนแห่งสำนักฟ้าประทาน

หลังจากได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ ลู่หยวนก็มองไปยังซวี่รั่วหลิงด้วยความประหลาดใจ

ทำไมอารมณ์ของสาวน้อยคนนี้ถึงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน?

แต่เขาเองก็ไม่ได้ต้องการจะไปเจาะรายละเอียดอะไร ด้วยค่าชะตา 100 แต้มที่ได้รับมา ทำให้เขาสามารถเข้าไปในร้านค้าของระบบได้

ผู้อาวุโสอีกจำนวนมากในห้องประชุมกำลังแย่งชิงตำแหน่งสุดท้ายที่เหลือว่าง ทว่าลู่หยวนกำลังเยี่ยมชมร้านค้าของระบบอย่างสบายใจ

‘คัมภีร์แปดอสนีบาตแดนร้าง สามารถบงการอัสนีสวรรค์ได้’

‘ทรัพยากรชั้นยอด ชีพจรเพลิงทมิฬสามารถบังคับไฟนับหมื่นให้ศิโรราบด้วยความครั่นคร้าม’

‘ไข่เทพอสูร สามารถฟักลูกเทพอสูรโบราณออกมาได้’

ลู่หยวนผิวปาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดในร้านค้าระบบ หากนำออกมาก็ล้วนสามารถสร้างปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงได้!

ทว่าค่าชะตา 100 แต้มของเขานั้น กระทั่งสมบัติเพียงหนึ่งชิ้นก็ยังไม่อาจซื้อได้

เห็นทีต้องหาหนทางให้ได้รับค่าชะตาโดยเร็ว!

เมฆเคลื่อนคล้อย เวลาไหลผ่าน ที่นั่งในหอชมอรุณของเมืองเมฆาเต็มไปด้วยบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้หยิ่งผยองของแดนเหนือ

คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอัญมณีที่กองกำลังต่าง ๆ ครอบครองอยู่ เป็นทั้งอนาคตของสำนัก และความหวังของครอบครัว

ตอนนี้ล่วงเข้ายามโย่ว*[1] มากว่าสามเค่อ ทว่าหลานชายตระกูลอวิ๋นในฐานะเจ้าภาพ อวิ๋นหลิง กลับยังคงไม่ประกาศเริ่มการประชุม

ในขณะที่ทุกคนเริ่มจะหมดความอดทน อวิ๋นหลิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือคำนับ แล้วพูดออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “โปรดรอสักครู่ ยังมีแขกผู้มีเกียรติบางท่านยังมาไม่ถึง”

มีหนึ่งเสียงเย็น ๆ ดังขึ้นมา “ข้ารอมานานแล้ว แต่นายน้อยใหญ่อวิ๋นกลับเพียงเอ่ยว่า ‘แขกผู้มีเกียรติบางท่านยังมาไม่ถึง?’ คิดว่าอาวุธในมือข้ามีไว้ประดับหรืออย่างไร?”

คนที่เหลือเริ่มส่งเสียงเห็นด้วย ทุกคนคล้ายกับกำลังกดดันให้อวิ๋นหลิงเริ่มการประชุมในทันที

อวิ๋นหลิงเห็นเช่นนั้นแล้วก็อดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้ ในใจอยากจะกู่ร้องออกมา ขณะที่ปากเอ่ยปลอบทุกคนให้ใจเย็นลง

ผู้ที่มาชุมนุมกันในวันนี้ คนจำนวนมากมาจากกองกำลังที่ตระกูลอวิ๋นไม่ต้องการยั่วยุ หากมีปัญหาขึ้นมา ย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเป็นแน่!

คิดได้เช่นนี้แล้ว อวิ๋นหลิงก็มองออกไปด้านนอกห้องโถงด้วยความร้อนรนที่เพิ่มมากขึ้น รอคอยให้แขกผู้มีเกียรติท่านนั้นมาถึง

“ข้าให้พี่อวิ๋นรอนานเสียแล้ว!”

เสียงหัวเราะเบิกบากดังมาจากด้านนอกห้องโถง ตามมาด้วยร่างของชายหนุ่มในชุดสีดำ เดินมาอย่างสบายใจพร้อมพัดด้ามจิ้วในมือ ทว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมาราวกับภูเขากดทับทำให้ทุกคนแทบจะลืมหายใจ

ไม่มีใครกล้าดูหมิ่นชายในชุดดำ ทุกคนต่างพากันคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายภายในใจ

ส่วนอวิ๋นหลิงนั้นรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง เขาประสานมือคำนับชายชุดดำ “พี่หมัวเทียน ไม่ได้พบกันเสียนาน”

เมื่อทราบตัวตนของผู้ที่เพิ่งมา ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้นในห้องโถง

“หมัวเทียน?! คนผู้นั้นคือบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักฟ้าประทาน หมัวเทียน?!”

“ข้าได้ยินมาว่าเขาเคยต่อกรกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับเหนือกว่าตนมานับไม่ถ้วน ในหมู่คนรุ่นเดียวกันไร้ผู้เทียบเคียง!”

“ไม่น่าแปลกใจที่มีแรงกดดันอันหนักหน่วงเช่นนี้!”

“คาดว่าแขกผู้มีเกียรติที่อวิ๋นหลิงพูดถึงก็คือเขา!”

เมื่อฟังความเห็นของทุกคนเกี่ยวกับตัวเองแล้ว ภายในใจหมัวเทียนก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ บนใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะประสานมือคารวะซ้ายขวา “ทุกท่าน ข้าติดธุระส่วนตัวจึงมาสาย ต้องอภัยจริง ๆ”

ทุกคนรีบยืนขึ้นประสานมือคำนับตอบ ไม่กล้าบ่นอะไรออกมาอีก

หมัวเทียนก้าวเดินเตรียมจะไปยังที่นั่งหลักในการชุมนุมครั้งนี้ สำนักฟ้าประทานของเขาเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสำนักและตระกูลทั้งหลายในที่แห่งนี้ ย่อมต้องเป็นเขาที่สมควรจะนั่งตำแหน่งหลักในฐานะตัวแทนจากสำนักฟ้าประทาน

ทว่าเขาเพิ่งจะเดินไปได้เพียงสองก้าว ก็ถูกอวิ๋นหลิงหยุดเอาไว้ “พี่หมัวเทียน ที่นั่งของท่านอยู่ลำดับที่หนึ่งทางทิศตะวันออก”

รอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าของหมัวเทียนหายวับไปทันใด

ตำแหน่งของเขาไม่สมควรเป็นที่นั่งหลักหรอกหรือ?!

ใบหน้าของหมัวเทียนครึ้มลง “พี่อวิ๋นหลิงหมายความว่าอย่างไร?”

เขามาที่นี่ด้วยฐานะตัวแทนของสำนักฟ้าประทาน ในบรรดาสำนักตระกูลต่าง ๆ ที่มาในวันนี้ สำนักฟ้าประทานของเขานับว่าเป็นอันดับที่หนึ่ง ครั้งที่ผ่านมาพวกเขาล้วนได้แต่มองดูและไม่กล้ายั่วยุ

ถ้าไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นผู้ใดกันที่สามารถนั่งตำแหน่งหลักได้?!

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ของตัวหมัวเทียนเอง เทียบกับผู้ที่ถูกเรียกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เขานั้นแข็งแกร่งกว่ามาก!

หากหมัวเทียนไม่ได้นั่ง แล้วผู้ใดยังจะกล้านั่งอีก?!

อวิ๋นหลิงประสานมือเข้าหากัน “พี่หมัวเทียน วันนี้มีแขกคนสำคัญมาเยือน”

“แขกคนสำคัญ? แขกคนสำคัญคือผู้ใดกัน?”

หมัวเทียนยังไม่ทันจะพูดจบดี พลันมีเสียงแว่วมาจากบนท้องฟ้าไกลออกไป

ตู้ม!

หมู่เมฆม้วนตัวเหนือหอชมอรุณ กิเลนอสรพิษฟ้าสามตัวร่อนลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับลมกระโชกและเสียงระเบิดคล้ายฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว

มีรถม้าที่ถูกทำจากหยกดำทั้งคันถูกเทียมไว้กับกิเลนอสรพิษฟ้าสามตัวด้วยเชือกโลหะทมิฬ ด้านหลังสุดเป็นเหล่าชายฉกรรจ์หลายคนในชุดคลุมสีดำตามมาติด ๆ

ทุกสายตาถูกสะกดให้จับจ้อง ทว่าผ้าโปร่งที่อยู่รอบรถม้ากลับทำให้เห็นเพียงสองร่างเรือนราง

เมื่ออวิ๋นหลิงเห็นแล้วก็รีบเดินออกจากหอชมอรุณ แล้วคุกเข่าลงทำความเคารพรถม้าบนท้องฟ้า “คำนับบุตรศักดิ์สิทธิ์!”

ทุกคนในห้องโถงต่างตกตะลึง

แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะเป็นแกนหลักของกำลัง ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยพบเคยเห็นฉากนี้มาก่อน

กิเลนอสรพิษฟ้าเป็นสัตว์อสูรที่สืบสายเลือดมาจากเทพอสูรบรรพกาล พวกมันทั้งทรงพลังและมีหลักแหล่งที่อยู่ไม่แน่นอน ยากแก่การพบเห็น

สัตว์อสูรที่ทรงพลังเช่นนี้ พวกเขาต้องใช้กำลังของตระกูลหรือสำนักแทบทั้งหมดเพื่อจับมันกลับมาเลี้ยงให้เป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์ จะมีผู้ใดสามารถนำมาเทียมเกวียนได้เช่นนี้กัน?!

ม่านโปร่งค่อย ๆ เลิกขึ้น ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวจะเดินออกมาจากรถม้าโดยโอบแขนรอบหญิงสาวอีกคน ชายผู้นั้นมีคิ้วเฉียบคมดุจกระบี่ ดวงตาราวดาราสุกสกาว ใบหน้าหล่อเหลายิ่ง แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมต้องเป็นลู่หยวน

ส่วนสตรีอีกคนสวมเสื้อสีคราม เส้นผมสยายลงมาราวกับม่านของน้ำตก ผิวขาวผ่องดังหิมะ คิ้วได้รูปงดงาม แม้ใบหน้าจะซ่อนอยู่หลังผ้าโปร่ง ทว่าก็ยังทำให้หัวใจของผู้คนสั่นไหว นางคือซวี่รั่วหลิง

ลู่หยวนยังคงสีหน้าเรียบเฉย “ลุกขึ้นเถอะ”

“คุณชายลู่เดินทางมาเหนื่อยแล้ว เชิญเถิด” อวิ๋นหลิงลุกขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มประจบประแจง ก่อนนำลู่หยวนเข้าไปยังหอชมอรุณ

เหล่าคนที่อยู่ในห้องโถง เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ต่างก็พากันลุกขึ้นทำความเคารพ

ลู่หยวนเดินผ่านทุกคนตรงไปยังที่นั่งหลักโดยมีซี่รั่วหลิงยืนอยู่ข้าง ๆ ขณะที่นั่งของคนอื่น ๆ ในตระกูลลู่ก็ถูกจัดเอาไว้ไม่ไกลไปจากเขา

หลังจากนั้นอวิ๋นหลิงจึงแนะนำเขาให้กับทุกคน “ท่านนี้คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่แห่งตำหนักธารสุญญะ!”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ธารสุญญะ’ ทุกคนก็มองเขาด้วยความตกตะลึง

แผ่นดินหยวนหงสามารถแบ่งอาณาเขตทรงอิทธิพลออกเป็นห้าแห่งได้แก่ แดนเหนือ ทะเลใต้อาณาจักรประจิม เขาบูรพา และแดนมัชฌิม

แปดถึงเก้าส่วนของยอดฝีมือในแดนเหนือมาจากกลุ่มตำหนักธารสุญญะ ทางด้านตระกูลลู่แห่งกลุ่มตำหนักธารสุญญะนั้นสืบทอดมาอย่างยาวนานกว่าแสนปี ทำให้มียอดฝีมืออยู่เป็นจำนวนมาก! ซึ่งมีสามคนอยู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ มีเจ็ดคนอยู่ขั้นเทียมเซียน

พลังความแข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่เช่นนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการถึงได้!

เพียงแค่ชุมนุมเล็ก ๆ ของตระกูลอวิ๋นจะสามารถดึงดูดบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ให้มาถึงที่นี่ด้วยตัวเองได้อย่างไร?

เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีโชคครั้งใหญ่ในการชุมนุมครั้งนี้?!

ทว่าหมัวเทียนนั้นไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า… สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปทางที่นั่งหลัก

เขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ แต่สตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างอีกฝ่าย…

ไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงซวี่รั่วหลิงที่เขาคิดถึงทุกวันคืนหรอกหรือ?!

[1] ยามโหย่ว 酉 คือ 17.00 – 18.59 น.