บทที่ 4 บุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียน (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 4 บุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียน (ต้น)

บทที่ 4 บุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียน (ต้น)

เมื่อมองไปยังซวี่รั่วหลิงที่ยืนอยู่ด้านข้างลู่หยวนอย่างว่าง่าย หมัวเทียนก็ขบฟันแน่น

เมื่อวันก่อนที่เขาเพิ่งออกจากการบ่มเพาะ ก็พบว่าศิษย์พี่หญิงของเขาถูกลักพาตัวไป หมัวเทียนบุกเข้าไปในห้องของประมุขพร้อมกระบี่ในมือ ก่อนให้สัตย์สาบานว่าจะตามหาและสังหารผู้ที่ลักพาตัวศิษย์พี่หญิงของเขาไป

ประมุขและผู้อาวุโสอีกหลายคนต่างพร้อมใจกันเกลี้ยกล่อมหมัวเทียน โดยบอกว่าเบื้องหลังอีกฝ่ายนั้นเกินกำลังกว่าที่พวกเขาจะสามารถสั่นคลอนได้ จึงขอให้หมัวเทียนเก็บตัวฝึกฝนอย่างหนัก จึงจะสามารถช่วยเหลือศิษย์พี่ได้เร็วที่สุด

หมัวเทียนรู้เพียงแค่ว่าคนที่ลักพาตัวศิษย์พี่หญิงมาจากตำหนักธารสุญญะแห่งแดนเหนือ ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะพบอีกฝ่ายที่นี่

ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา!*[1]

“คุณชายลู่!” หมัวเทียนพูดโดยเน้นทุกคำ “ขอบังอาจถามว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ คุณชายลู่คือซวี่รั่วหลิงจากสำนักฟ้าประทานใช่หรือไม่?!”

ร่างบอบบางของซวี่รั่วหลิงสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ดวงตาของนางหลุบลงไม่กล้าจะมองไปยังศิษย์น้องของตน

ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้นางได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตระกูลลู่ ทำให้แม้แต่ตัวนางเองที่ต้องการกลับไปยังสำนักฟ้าประทานก็ไม่กล้าทำตามใจปรารถนา เนื่องจากลู่หยวนย่อมไม่เห็นด้วย หากเขารำคาญใจขึ้นมาสำนักฟ้าประทานก็ยากที่จะยืนหยัดได้ในดินแดนเหนือแล้ว

ลู่หยวนมองไปทางสองศิษย์พี่ศิษย์น้อง คนหนึ่งกำลังมองมาทางตนด้วยความโกรธแค้น อีกคนก็ยืนตัวสั่นก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างเขา ราวกับลู่หยวนบังคับให้ซวี่รั่วหลิงมาปรนนิบัติตรงหน้า นี่มันเหมือนกับพล็อตเรื่องคลาสสิคที่เขาเคยดูเมื่อชาติที่แล้วไม่ใช่หรือ?

[ตรวจพบบุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียน มีค่าชะตาทั้งสิ้น 3,000 แต้ม! หลังจากแย่งชิงค่าชะตาและสังหารอีกฝ่ายแล้ว จะได้รับเนตรศักดิ์สิทธิ์!]

ดวงตาของลู่หยวนเป็นประกาย หมัวเทียนผู้นี้เป็นบุตรแห่งโชคชะตาจริง ๆ!

หลังจากสังหารเขาแล้ว ยังสามารถได้รับเนตรศักดิ์สิทธิ์อีก!

จิตสังหารบังเกิดขึ้นทันที ก่อนที่เสียงของระบบจะดังขึ้นมาในหูของเขา

[คำเตือน! บุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียนมีค่าชะตาสูงเกินไป หากท่านฝืนสังหารเขาอาจเกิดผลสะท้อนกลับได้! ท่านโปรดระมัดระวัง!]

ไม่สามารถสังหารได้โดยตรง โปรดแย่งชิงค่าชะตาของเป้าหมายมาก่อน!

ประกายในดวงตาลู่หยวนดับลงทันที ทุกคนในห้องโถงต่างคิดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้กำลังโกรธ จึงพากันหวาดกลัวและมองไปทางหมัวเทียนด้วยความเย้ยหยัน

ชายผู้นี้มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าพวกเขาก็จริง ทว่าต่อหน้าบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ยังกล้าอวดดี ผลลัพธ์ที่ตามมาจะต้องไม่น้อยแน่!

พวกเขาเฝ้ารออัจฉริยะในรอบพันปีของสำนักฟ้าประทานคุกเข่าลงและขอความเมตตาอย่างใจจดใจจ่อ!

ลู่หยวนพิงหลังกับพนักด้วยความเกียจคร้าน ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ถ้าใช่แล้วจะทำไม? ถ้าไม่ใช่แล้วจะทำไม?”

หมัวเทียนเปี่ยมไปด้วยโทสะ “หากสตรีผู้นั้นคือซวี่รั่วหลิงของสำนักฟ้าประทาน ข้าก็จะพานางกลับไปด้วยในวันนี้!”

ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ประกายในดวงตาเย็นวาบ “แล้วถ้าข้าไม่ยอมล่ะ?”

หมัวเทียนชี้ไปทางโจรลักพาตัว แล้วเอ่ยออกมาดั่งพระเอกผู้ผดุงธรรม “นี่หรือตำหนักธารสุญญะแห่งแดนเหนือ? เบื้องหน้าธำรงธรรมสูงศักดิ์ เบื้องหลังกลับลักพาตัวศิษย์สำนักอื่น!”

“ได้ยินชื่อเสียงมาก็มาก กลุ่มที่รวบรวมตระกูลอันดับหนึ่งอะไรกัน ที่แท้ก็เป็นเพียงกลุ่มคนที่อาศัยอิทธิพลข่มเหงผู้อื่น!”

“ตระกูลลู่สืบทอดมานานนับหมื่น ๆ ปีกลับให้กำเนิดสุนัขอย่างเจ้าเป็นเชื้อสาย หากข้าเป็นบรรพชนตระกูลลู่ คงฆ่าตัวตายหลังจากเห็นลูกหลานเช่นเจ้าเพื่อไม่ให้อายฟ้าดิน!”

โถงใหญ่ของหอชมอรุณเงียบกริบจนสามารถได้ยินกระทั่งเสียงเข็มหล่น… พวกเขาไม่กล้ากระทั่งส่งเสียงหายใจหรือเช็ดเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลลงมา เนื่องจากเกรงว่าหากขยับแม้แต่เพียงนิดจะดึงดูดความสนใจและโทสะจากคุณชายลู่

“แม้ว่าวันนี้ข้า หมัวเทียน จะต้องตาย ก็จะช่วยศิษย์พี่หญิงให้ได้!”

เสียงอันแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมของหมัวเทียนดังก้องในโถงของหอชมอรุณ หากไม่ใช่เพราะใบหน้าของลู่หยวนที่เย็นเยือกราวกับน้ำแข็งในตอนนี้ พวกเขาคงพากันลุกขึ้นไปฉีกปากเน่า ๆ ของหมัวเทียนออกจากกันแล้ว!

เจ้าหนุ่มนั่นพร้อมจะตาย แต่คนอื่นยังอยากมีชีวิตอยู่!

อยากด่าก็ด่าไปสิ เหตุใดจึงต้องมาด่าที่นี่ด้วย! ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของลู่หยวนมาก่อนหรืออย่างไร?! หากเขาบันดาลโทสะขึ้นมาก็จะไม่มีใครสามารถรอดออกไปได้!

หมัวเทียน หากพวกข้าตายลงที่นี่ในวันนี้ แม้ว่าจะกลายเป็นผีพวกข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป!

อวิ๋นหลิงเป็นหนึ่งในคนที่สาปแช่งหมัวเทียนอยู่ภายในใจ ยามที่เขาได้ยินคำด่าของหมัวเทียน หัวใจก็แทบจะหยุดเต้นไปเสียแล้ว เสื้อผ้าเองก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ

ก่อนจะถึงวันชุมนุม ผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นได้บอกให้เขาผูกมิตรกับตระกูลลู่ครั้งแล้วครั้งเล่า หากสามารถชนะใจของบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ได้ ตระกูลอวิ๋นก็จะมีที่พึ่งพิง ทำให้ตระกูลและสำนักอื่น ๆ ไม่กล้าดูหมิ่นตระกูลอวิ๋นในอนาคต

ถึงแม้จะผูกมิตรล้มเหลว ก็ห้ามไปทำให้คนจากตระลู่ขุ่นเคืองใจเป็นอันขาด มิเช่นนั้นตระกูลอวิ๋นคงถึงคราวสิ้นสุด ไร้ผู้สืบทอดแซ่สกุลต่อไปในวันหน้า

ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ผูกสัมพันธ์อันดี ลู่หยวนยังโดนดุด่าในโถงของหอชมอรุณตระกูลอวิ๋นอีกด้วย

หากตระกูลลู่ต้องการจะกล่าวโทษขึ้นมา เกรงว่าร้อยชีวิตของคนตระกูลอวิ๋นยังไม่เพียงพอต่อการชดใช้!

เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของตระกูลลู่ที่สามารถบดขยี้ตระกูลอวิ๋นได้ราวกับมดปลวก ใบหน้าของอวิ๋นหลิงก็ซีดเผือด หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ตระกูลอวิ๋นคงถึงคราวจบสิ้นจริง ๆ!

“ศิษย์พี่หญิงไม่ต้องกลัวไป ศิษย์น้องจะช่วยท่านจากโจรชั่วเอง!”

“บังอาจ!”

อวิ๋นหลิงกำหมัดแน่น เขาเดินออกมาด้านหน้าแล้วตวาดออกมาเสียงดังด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นอะไรไปหมัวเทียน? กล้าดีอย่างไรมาทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าคุณชายลู่!”

เขาเอ่ยตำหนิออกมาอย่างไม่ไว้หน้า ราวกับเมื่อครู่ไม่เคยเรียกขานหมัวเทียนว่าพี่

ช่างความเป็นสหายเสียเถอะ!

ในตอนนี้เขาเพียงแต่ต้องการจะทำให้ลู่หยวนเห็นว่าตนอยู่ข้างตระกูลลู่!

ต้องไม่ปล่อยให้บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่โกรธเคืองตระกูลอวิ๋นเพราะคนโง่เขลาอย่างหมัวเทียน!

หมัวเทียนผงะไปครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดต่อกับอวิ๋นหลิงมากนัก แต่ก็ยังเคยสนทนากันหลายครา นับได้ว่าเป็นสหายผู้หนึ่ง ทว่าไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยืนอยู่ข้างตระกูลลู่ ไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี ถ้าเช่นนั้นก็อย่าหาว่าหมัวเทียนผู้นี้ไม่ไว้ไมตรี!

หมัวเทียนเปิดปากโต้กลับเย้ยหยันอีกฝ่าย “อะไรกัน? เจ้าของยังไม่เอ่ยคำใด แต่สุนัขกลับรีบร้อนเห่าหอน?!”

“เจ้า!”

เส้นเลือดบนหน้าผากอวิ๋นหลิงปูดโปนขึ้น เขายกกระบี่ขึ้นมาชี้อีกฝ่าย

ถึงเขาจะอยู่ในขั้นยอดยุทธ์ระดับสูง เทียบกับหมัวเทียนที่อยู่ขั้นยอดยุทธ์ระดับสมบูรณ์แล้วยังคงมีความต่างระดับอยู่บ้างเล็กน้อยระหว่างทั้งสอง ทว่าอวิ๋นหลิงได้สืบทอดปราณกระบี่บรรพกาลที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูล ทำให้ต่อกรได้แม้กระทั่งผู้อยู่ในครึ่งก้าวสู่ขั้นราชันยุทธ์!

ดังนั้นการเผชิญหน้ากับหมัวเทียน เขายังมั่นใจว่าตนจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ!

กระบี่ในมือของอวิ๋นหลิงเปล่งแสงสีรุ้ง ก่อนที่เขาจะพุ่งออกไป

หมัวเทียนเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ตระกูลอวิ๋นขึ้นชื่อว่ายึดคุณธรรมอย่างหาพบได้ยาก ทว่าแท้จริงแล้วกลับกลายเป็นเพียงสุนัขจอมประจบสอพลอ!”

หมัวเทียนกำหมัดแน่นก่อนพุ่งออกไปด้านหน้า

ตู้ม!

ชั่วพริบตาเดียว ร่างทั้งสองก็เข้าปะทะกันกลางอากาศ เพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกเขาก็ประมือกันไปแล้วหลายสิบครั้ง

ลู่หยวนยังคงเอนพิงเบาะอย่างเกียจคร้าน ภายในใจหัวเราะเยาะเย้ย

เขาช่างเป็นวายร้ายอย่างสมภาคภูมิ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยวาจาใด สุนัขบางตัวก็มาพันแข้งพันขาลุกขึ้นมาต่อสู้กับบุตรแห่งโชคชะตาแทนเสียแล้ว

ลู่หยวนเบนสายตามองไปยังซวี่รั่วหลิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยามนี้สตรีตัวน้อยกำลังจับจ้องไปทางสองร่างที่กำลังต่อสู้กันบนอากาศตาไม่กะพริบ คิ้วของนางขมวดราวกับกำลังเป็นห่วงใครสักคน

นางจะเป็นห่วงใครได้อีก?

ย่อมต้องเป็นหมัวเทียน… ศิษย์น้องคนดีของนาง!

[1] หมายถึง พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่าย ๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น