บทที่ 5 บุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียน (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 5 บุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียน (ปลาย)

บทที่ 5 บุตรแห่งโชคชะตาหมัวเทียน (ปลาย)

ความแข็งแกร่งของหมัวเทียนผู้นี้อยู่เพียงระดับจอมยุทธ์ กลับกล้าจะกล่าวคำหยาบคายต่อหน้าเขาเพื่อซวี่รั่วหลิง ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชอบศิษย์พี่หญิงคนนี้เป็นอย่างมาก

“เติมชา”

เสียงไม่แยแสของลู่หยวนดึงสายตาของซวี่รั่วหลิงออกมาจากการต่อสู้ นางยกมือเรียวขึ้นรินชาร้อนเติมให้กับลู่หยวน

ชายหนุ่มยกชาขึ้นจิบ ก่อนจะวางถ้วยลง

หญิงสาวเติมชาร้อนอีกถ้วย ในขณะที่ลู่หยวนกล่าวออกมา “ข้าจำได้ว่า เจ้าอยู่ที่ตระกูลลู่มาได้ครึ่งเดือนแล้ว”

ซวี่รั่วหลิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบรับ

“ศิษย์น้องของเจ้าไม่เลวเลย ถึงตอนนี้ก็ยังคงมีใจคิดถึงเจ้าอยู่”

ซวี่รั่วหลิงชะงักไปอีกครั้ง ในใจหวนนึกถึงวันวานที่ผ่านมายามได้ร่วมฝึกฝนกับหมัวเทียน ริมฝีปากของนางขยับออกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

ใช่แล้ว ในสำนักมีเพียงศิษย์น้องที่สนิทสนมมากที่สุด แม้กระทั่งในสถานการณ์เช่นนี้ เขายังกล้าจะพูดเพื่อตนเอง ไม่เสียแรงที่ดูแลอีกฝ่ายมาอย่างดี ถ้าหากสามารถกลับไปยังสำนักได้ละก็ นางก็อยากจะกลับไปใช้ชีวิตดังเก่าร่วมกับศิษย์น้อง

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว… รอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าของซวี่รั่วหลิงก็พลันหายวับ

สำนักฟ้าประทาน

ในวันนั้นที่ตนถูกลักพาตัวมา ไม่มีผู้ใดจากสำนักฟ้าประทานมาทวงถาม เกรงว่าตัวนางคงถูกสำนักทอดทิ้งเสียแล้ว

[ ระบบแจ้งเตือนว่าอารมณ์ของซวี่รั่วหลิงเกิดการเปลี่ยนแปลง ค่าชะตาวายร้ายของท่านเพิ่มขึ้น 200 แต้ม! ]

[ จำนวนค่าชะตาวายร้ายของท่านในปัจจุบันคือ 300 แต้ม! ]

ลู่หยวนขมวดคิ้ว สาวน้อยคนนี้เป็นอะไรไป? ตนเองแค่ถามคำถามไปส่ง ๆ สองสามคำกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์?

ระบบตอบกลับมาว่า [ ซวี่รั่วหลิงได้รับค่าชะตามาจากสำนักฟ้าประทาน ดังนั้นเมื่อซวี่รั่วหลิงเริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจในสำนักฟ้าประทาน จึงทำให้ท่านได้รับค่าชะตาเพิ่มขึ้น! ]

ลู่หยวนนิ่งไปชั่วครู่ คาดไม่ถึงเลยว่าด้วยวิธีเช่นนี้จะเป็นการเพิ่มค่าโชคชะตาให้เขา

กลางห้องโถงใหญ่ การต่อสู้ระหว่างหมัวเทียนและอวิ๋นหลิงก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น

อวิ๋นหลิงถือกระบี่พร้อมระดมพลังจนปราณกระบี่ไหลเวียนทั่วกายเขา ส่วนทางด้านหมัวเทียนนั้นมีเปลวเพลิงงามวิจิตรลุกโชนอยู่บนฝ่ามือ

ดวงตาของทั่งคู่เป็นประกายวาววับ พลังรอบตัวพวกเขาพุ่งสูงขึ้น ก่อนจะเข้าปะทะกันอีกครั้ง พลังที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสองฝั่งพุ่งเข้าใส่กันทำให้เกิดคลื่นลมแผ่กระจาย หลายคนในห้องโถงที่มีระดับการฝึกยุทธ์ไม่สูงนักถึงกับโดนแรงกระแทกจนเจ็บหน้าอก

“ผลแพ้ชนะถูกตัดสินแล้ว”

ลู่หยวนเอ่ยออกมาอย่างเนิบนาบ ขณะที่ซวี่รั่วหลิงพยายามสงบใจยามจับจ้องไปทางคนสองคนที่อยู่กลางห้องโถง

หลังจากเสียงระเบิดและแสงสีขาวสว่างวาบ ร่างหนึ่งก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศกระแทกพื้นอย่างแรง กระบี่เล่มหนึ่งร่วงตามลงมาส่งเสียงกระทบพื้นดังสนั่น

เป็นอวิ๋นหลิงที่พ่ายแพ้

ส่วนหมัวเทียนนั้นยังคงยืนอยู่กลางกาศ อาภรณ์สีดำสะบัดไหวแม้ไร้ลม ราวกับเซียนที่ถูกจุติลงมายังโลกมนุษย์

ทุกคนในห้องโถงเกิดความประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่เพลงกระบี่ที่อวิ๋นหลิงใช้ในตอนท้ายนั้นได้รับการสืบทอดกันมาในตระกูลอวิ๋น

แม้ระดับการฝึกยุทธ์ของอวิ๋นหลิงจะต่ำกว่า ทว่าเมื่อกระบี่ถูกฟันลงมา กระทั่งระดับราชันยุทธ์ยังยากจะต้านรับ ทว่าหมัวเทียนกลับสามารถหยุดมันเอาไว้ได้ด้วยมือเปล่า แถมนอกจากสามารถทำลายปราณกระบี่แล้ว ยังสามารถโจมตีอวิ๋นหลิงกลับด้วยหมัด

ความแข็งแกร่งของหมัวเทียนช่างยอดเยี่ยมนัก!

“ตระกูลลู่ จะส่งใครมาอีกหรือไม่?!”

หมัวเทียนที่ยืนอยู่กลางอากาศพูดออกมาอย่างแช่มช้า เปลวเพลิงในมือเขาไม่ได้ดับลง แต่กลับยังทวีความรุนแรงพร้อมที่จะต่อสู้อีกครั้ง

ทุกคนในห้องโถงพากันกลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมา

“คุณชาย ข้าน้อยพบแล้ว” เสียงของเฉาหงดังขึ้นมาในหูของลู่หยวน “อย่างที่คุณชายได้คาดเอาไว้ ข้าน้อยสัมผัสได้ถึงความผันผวนของวิญญาณอื่นในร่างของหมัวเทียน!

สีหน้าของลู่หยวนยังคงสงบ ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วร่างของหมัวเทียนก่อนจะไปหยุดยังหยกโบราณที่แขวนอยู่ตรงหน้าอกของอีกฝ่าย

เมื่อลู่หยวนออกเดินทางมา นอกจากเหล่าคนตระกูลลู่จะตามมาด้วยแล้ว เฉาหงยังคงติดตามมาอย่างลับ ๆ เพื่อปกป้องเขาด้วย

นับตั้งแต่ที่ลู่หยวนเห็นหมัวเทียน เขาก็ได้ส่งเสียงไปหาเฉาหงให้ลอบสังเกตหมัวเทียนแล้ว

หึ เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด ที่เด็กคนนี้ไร้ซึ่งความกลัวก็เพราะเบื้องหลังของเขามีวิญญาณที่ทรงพลังสนับสนุนอยู่

เหอะ เป็นไปตามพล็อตเก่า ๆ ของนิยายกำลังภายใน

“คุณชาย ท่านต้องการให้ข้าน้อยลงมือจัดการวิญญาณตนนั้นหรือไม่?”

“ไม่ต้อง เจ้าแค่ทำให้วิญญาณดวงนั้นสงบนิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหวก็พอ”

“ขอรับ!”

เมื่อหมัวเทียนเห็นว่าผ่านมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ลู่หยวนยังคงไม่พูดจา จึงเกิดความงงงวยขึ้นเล็กน้อย

หรือว่าจะมีเล่ห์กลอะไรอีก?

แต่หลังจากขบคิดดูแล้ว ตนเองยังคงมีอาจารย์คอยช่วยเหลือ แม้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่จะอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่ใช่ปัญหา!

“เจ้าคนแซ่ลู่ ส่งศิษย์พี่ข้าคืนมา!”

หลังจากพูดจบ หมัวเทียนก็ประสานสองมือเข้าหากัน เปลวไฟงามวิจิตรลุกโชนขึ้นมาจากฝ่ามือของเขา ก่อนจะกลายเป็นกระบี่เพลิงหนึ่งเล่ม

วึ้ง!

คล้ายเสียงกระซิบดังมาจากส่วนลึกของวิญญาณ ทุกสายตาถูกเรียกให้จับจ้องไปทางดวงตาที่ลุกโชนราวกับเปลวเพลิงของหมัวเทียน รูม่านตาของเขาค่อย ๆ ขยายออก พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างด้านหลังของหมัวเทียนคล้ายมีภาพลวงตาเป็นเนตรโลหิตคู่หนึ่งจับจ้องกลับมา สร้างความกดดันเป็นอย่างมาก

บางคนที่อยู่ใกล้กับหมัวเทียนถึงกับกระอักเลือดออกมา ต้องรีบระดมพลังปราณมาต่อต้านอย่างร้อนรน

คนจากตระกูลลู่ทั้งหมดยืนขึ้นราวกับต้องการจะพุ่งเข้าไปสังหารเจ้าเด็กที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเบื้องหน้า

“เจ้าคนแซ่ลู่ เจ้าทำเป็นเพียงแต่หลบอยู่หลังผู้อื่นหรอกหรือ ถ้าแน่จริงก็มาสู้ตัวต่อตัวกับข้า!”

“เจ้าเด็กนี่ช่างโอหังนัก!”

คนจากตระกูลลู่หลายคนกำลังจะเรียกอาวุธวิเศษออกมา ทว่ากลับถูกลู่หยวนหยุดไว้

“เหอะ”

ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาเหยียดมองต่ำ ประหนึ่งจักรพรรดิแห่งโลกหล้ามองลงมายังสรรพสัตว์ “หมัวเทียน เจ้าช่างไม่ประมาณตน”

ปราณของหมัวเทียนยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระดับการฝึกยุทธ์เพิ่มขึ้นมาหลายขั้นในทันที “ถ้าเจ้าแน่จริงก็มาสู้กับข้าเสีย!”

ลู่หยวนยิ้มเหยียดหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความดูแคลน “หมัวเทียนเอ๋ย หมัวเทียน วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นว่าสวรรค์และผืนดินแตกต่างกันแค่ไหน”

“เมื่อครู่เจ้าลองรับปราณกระบี่ของอวิ๋นหลิงไปหลายครั้งแล้ว ไหนเจ้าลองรับของข้าดูบ้าง!”

ไม่ทันจะสิ้นเสียงดี สายลมก็พลันพัดกระโชก บนท้องฟ้าเมฆดำทะมึนม้วนตัวเข้าหากันจนนภามืดมิดราวถูกย้อมด้วยหมึกดำ เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องจนทำให้หลายคนศีรษะชาวาบ อสนีบาตโลดแล่นในหมู่เมฆอย่างเริงร่าราวกับกำลังสำแดงเดชออกมาอย่างเต็มที่!

หมู่เมฆและสายฟ้าก่อตัวจนกลายเป็นกระบี่เมฆาตระหง่านบนท้องนภาภายในชั่วพริบตา

เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้แล้ว สีหน้าแต่ละคนก็พากันซีดเซียว รีบระดมพลังปราณออกมาพาตัวเองหนีไปให้ไกลอย่างสุดชีวิต

พวกเขาไม่ได้โง่งม หากถูกกระบี่นี้ฟาดลงมา เกรงว่าทั้งบริเวณจะต้องกลายเป็นธุลีอย่างแน่นอน!

ด้วยระดับการฝึกฝนของพวกเขาแล้ว หากยังไม่รีบหนีออกไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการรั้งรอความตาย!

กระบี่เมฆาชี้ตรงไปทางหมัวเทียน ในตอนนี้พลังของมันถูกอัดแน่นจนถึงจุดสูงสุด

หมัวเทียนรู้สึกหนักอึ้งราวกับมีภูเขากดทับลงมาบนหลัง เขารีบระดมปราณทั้งหมดออกมาต่อต้าน เขาจึงยังสามารถยืนอยู่กลางอากาศได้

“เหอะ”

ลู่หยวนกระดิกนิ้วเบา ๆ เรียกให้กระบี่เมฆาบนท้องนภาค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมา

ตู้ม!

พลังที่อัดแน่นทวีขึ้นนับสิบเท่า เมื่อกระบี่เมฆาฟาดลงมา พลังอันน่าหวาดเกรงก็กรีดลงกับอากาศทำให้เกิดเสียงระเบิดดังลั่น

ทุกคนที่อยู่ห่างออกไปต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน คนจำนวนไม่น้อยที่มีระดับการฝึกตนไม่สูงนักถึงกับล้มลงบนพื้นแล้วกระอักเลือดออกมา บางคนที่ระดับการฝึกยุทธ์สูงหน่อยก็ล้วนมีใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ เม็ดเหงื่อเย็นเยียบผุดพรายขึ้นมา

ส่วนทางด้านของหมัวเทียนที่ยืนอยู่กลางอากาศใต้กระบี่เมฆานั้นอาการไม่ค่อยจะดีนัก ขาของเขาสั่นเทา กระดูกในร่างเริ่มถูกบดขยี้จนส่งเสียงแตกร้าว

“อ๊าก!”

หมัวเทียนคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ปราณรอบตัวเขายังคงเพิ่มสูงขึ้น นัยน์ตาโลหิตที่คล้ายภาพเงาด้านหลังเขาก็เบิกกว้างขึ้น ราวกับต้องการจะต่อต้านกระบี่เมฆาที่กำลังกดลงมา

ลู่หยวนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะกล่าวออกมา “ฟาดฟัน!”

กระบี่เมฆาฟาดลงมาทันที พลังอันน่าสะพรึงกลัวราวกับจะทำลายฟ้าดินเป็นเสี่ยง ๆ พุ่งตรงเข้าใส่

พลังดังกล่าวทำให้หมัวเทียนไม่อาจต้านรับได้อีกต่อไป ร่างของเขาร่วงลงไปคุกเข่าบนพื้น

ตู้ม!

เข่าของหมัวเทียนกระแทกลงบนพื้นจนกลายเป็นหลุมลึก กลุ่มควันฟุ้งกระจาย ภายใต้แรงกดดันอันทรงพลัง ร่างของเขาทำได้แต่ทรุดลงบนพื้นไม่อาจขยับเขยื้อนประหนึ่งสุนัขตาย

“อาจารย์! อาจารย์!”

หมัวเทียนตะโกนออกมาด้วยความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด ทว่าอาจารย์ที่มักจะปรากฏตัวทันทีที่เขาตะโกนออกมากลับหายไป

กระบี่เมฆายังคงกดลงมาอย่างต่อเนื่อง พลังกดดันบนร่างหมัวเทียนก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ