บทที่ 5 แสงสว่างภายใต้ปม

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

วังปีศาจรึ? 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วเล็กน้อย นางจำชายผู้นี้ได้ลางๆ จากความทรงจำ เขาเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในจักรพรรดิจ้านหลง เมื่อสิบปีที่แล้ว เขาได้ทะลวงผ่านปราณระดับสิบ และกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งทางด้านการต่อสู้ องค์ชายสามผู้โด่งดังและควรจะมีอนาคตไกลใต้หล้าล้วนอยู่ในกำมือของเขา แต่แล้ววังหลวงกลับถูกเพลิงไหม้ ทำให้เขาสูญเสียพลังลมปราณไปจนหมดสิ้น 

วันนั้น บังเอิญตรงกับเทศกาลปล่อยผี [1] ในเดือนเจ็ดพอดี จึงเป็นที่มาของชื่อวังปีศาจนั่นเอง 

เขาไม่ค่อยก้าวออกจากวังสักเท่าไหร่ ตัวตนของเขาจึงเต็มไปด้วยความลึกลับราวกับภูติผีปีศาจ 

คนจำนวนมากต่างต้องการที่จะเข้าใกล้เขา เพราะคนที่ได้รับคำแนะนำจากเขานั้น มักจะทะลวงปราณผ่านได้ในระยะเวลาอันสั้น และพัฒนาอย่างก้าวกระโดด 

อย่างไรก็ตาม ลึกๆ แล้วในใจของคนเหล่านั้นก็หวาดกลัว และไม่กล้าเข้าใกล้เขา 

“ตึก!” 

“ตึก…” 

 

เสียงฝีเท้าที่ไม่เร่งรีบค่อยๆ ก้าวเข้ามาอย่างสงบ และเป็นจังหวะสม่ำเสมอ 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเฮ่อเหลียนเหมยที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่ด้านข้าง 

เมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชายฝั่งแม่น้ำ หน้ากากสีเงินของเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความสูงส่ง 

เสื้อผ้าบนตัวของเขามีการปักเย็บที่ซับซ้อน แสดงให้เห็นถึงฝีมืออันประณีต ดูเหมือนว่าทุกส่วนจะขับเน้นให้เห็นถึงความสง่าผ่าเผยของเขา แขนเสื้อกว้างของเขายาวจรดพื้นเล็ก ทำให้เกิดลมเย็นพัดผ่านทุกจังหวะการก้าวของเขา 

เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็ชะลอฝีเท้าก่อนจะหยุดลง ชุดสีแดงสดและลำคอขาวซีดของเขาดูตัดกันอย่างมาก และดวงตาหงส์ที่ดูเย็นชาอยู่ภายใต้หน้ากากก็พลันปรากฏขึ้น ประกายในดวงตาราวกับจะทำให้สีสันทั้งหมดตรงที่นั้นหายไป 

บางทีอาจจะไม่ใช่แค่ดวงตาคู่นั้นของเขา 

กลิ่นอายของเขา ทำให้ทุกคนไม่อาจเมินเฉยต่อการปรากฏตัวของเขาได้ 

ตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามา ทุกสิ่งรอบข้างก็ราวกับหายไปในทันที! 

“ข้าน้อยไม่รู้มาก่อนเลยว่าฝ่าบาทเสด็จมา ขอโปรดประทานอภัยให้กับความละเลยของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อเหลียนกวงเย่ารีบก้าวเข้าไปโค้งคำนับให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว 

คุณหนูจากตระกูลขุนนางทั้งหลายที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็โค้งคำนับตาม และเหลือบมองเขาอย่างเขินอาย 

เฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว หรือเขาได้ยินอะไรไปมากน้อยเพียงใด คิดได้เพียงแค่นั้นเขาก็อ้าปากขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาท…” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเฮ่อเหลียนกวงเย่า เขามองทุกคนที่อยู่รอบๆ อย่างสบายๆ แล้วเอ่ยถาม “เสื้อคลุมของข้าดูเป็นอย่างไร”  

น้ำเสียงที่เย็นชา แต่ก็ยังทุ้มต่ำน่าฟังราวกับเป็นเป็นเครื่องดนตรีชั้นดี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังยากที่จะปกปิดกลิ่นอายอันตรายที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวได้ 

ทุกคนต่างก็มองหน้ากันอย่างสับสน ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา 

บรรยากาศอึมครึม ไม่มีผู้ใดกล้าขยับตัว 

เฮ่อเหลียนกวงเย่าต้องพูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอันตึงเครียดนี้ “ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าพระองค์ชอบความเงียบสงบ ที่นี่มีผู้คนอยู่มากมาย ทำไมพวกเราไม่ไปที่ห้องหนังสือแทนล่ะพ่ะย่ะค่ะ” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล่นมีดสั้นสีเงินในมือด้วยท่าทางสง่างาม ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าถามว่าเสื้อคลุมของข้าดูเป็นเช่นไร ใต้เท้าเฮ่อเหลียน คงจะแก่เกินไป ถึงไม่ได้ยินในสิ่งที่ข้าถามกระมัง” 

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงในทันที 

“เป็นอย่างไร?” เขาชี้มีดสั้นไปที่ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเหมยที่เต็มไปด้วยน้ำตา 

เฮ่อเหลียนเหมยตัวสั่นไปทั้งตัว และรีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตกใจ เอ่ยตะกุกตะกัก “องค์… องค์ชายสาม โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ…” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้มองหน้านางแม้แต่น้อย แม้แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่งดงามอย่างยิ่ง ก็ยังถูกเมินเฉยอย่างไม่แยแส เมื่อทุกคนคิดว่าเขากำลังจะจากไปแล้ว… 

ทันใดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หยุดลงตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย 

เขายืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย ดวงตาสีเข้มที่ดูเย่อหยิ่งจองหองของเขาสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไร” 

“คุณหนู…” แม่นมเหมยดึงแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้อย่างกังวล เพราะกลัวว่านางจะทำให้ชายผู้นี้ไม่พอใจ 

แต่ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่ได้สนใจ ริมฝีปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ชุดคลุมนี้ดีทีเดียวเพคะ ใส่สบายและอบอุ่นเป็นอย่างมาก” 

“เช่นนั้นรึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย ก่อนจะจับคางของเฮ่อเหลียนเวยเวยเชิดขึ้นอย่างกะทันหัน และมองใบหน้าเล็กๆ ของนาง น้ำเสียงที่ฟังดูอันตรายเอ่ยขึ้น “เจ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน” 

ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ นางกำมือของตนเองแน่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว และพินิจดูชายตรงหน้าอย่างสุขุม ทุกอิริยาบถของเขาแสดงออกถึงความสง่างามที่ทำให้คนหลงใหลได้ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวหรือไม่ก็ตาม 

แต่มีปัญหาเดียวคือ… คนที่เขาต้องตาคือนาง 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ถอยหลังเลยแม้แต่น้อย นางเพียงยิ้มออกมาจางๆ สายตาของหญิงสาวมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างแน่วแน่ หญิงสาวมองเขาศีรษะจรดปลายเท้า ราวกับกำลังพิจารณาของชิ้นหนึ่งอยู่ก็ไม่ปาน 

จากนั้น นางก็เลียนแบบการกระทำของชายผู้นี้ด้วยการจับคางของเขาอย่างเย้ายวนยิ่งกว่าเดิม และเอ่ยตอบอย่างเฉื่อยชาว่า “อืม… ดูเหมือนจะแย่ไปหน่อยนะเพคะ” 

ให้ตายเถอะ หน้ากากเงินนี้เย็นเฉียบและแข็งกระด้าง ช่างไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย แต่ชายผู้นี้กลับสวมมันทั้งวัน หน้าตาของเขาคงจะน่าเกลียด หรือไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะกำลังทุกข์ทรมานจากโรครักความสะอาดอยู่อย่างแน่นอน 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกล่าวหาในใจ แต่ใบหน้าบอบบางนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ยังคงนิ่งสงบและแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง 

แม่นมเหมยเพิ่งจะได้สติจากการกระทำอันคาดไม่ถึงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และเมื่อนางได้ยินคำพูดยั่วยุของคุณหนูเช่นนั้น นางก็อยากจะร่ำไห้ออกมาด้วยความโกรธเคือง ตอนนี้ ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น คุณหนูของนางไม่รู้หรือว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะค่อยๆ หรี่ตาลง… 

ทันใดนั้น หมอกที่ปกคลุมทะเลสาบอยู่ก็ดูเหมือนจะลามเข้าไปในดวงตาสีเข้มของเขา และความเยือกเย็นจากนัยน์ตาคู่นั้นก็ได้แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า บีบคั้นผู้คนรอบข้างราวกับว่าทุกอย่างรอบตัวนั้นกำลังถูกแช่แข็ง 

ในความมืดมิดนี้ กลุ่มคนที่เฝ้าดูอยู่จำนวนมากต่างตัวสั่นด้วยความหวาดผวา พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ 

เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าองค์ชายจะมีปฏิกิริยาเช่นไรต่อไป เขาอาจจะฆ่าเฮ่อเหลียนเวยเวย หรืออาจจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ 

ข้อแรกนั้นมีความเป็นไปได้ ในอดีตเคยมีสาวใช้คนหนึ่งอยากจะปีนเตียงขององค์ชาย จากนั้น นางก็ถูกตบ ก่อนจะถูกส่งตัวไปที่ค่ายทหาร 

ส่วนข้อที่สองนั้น… 

องค์ชายได้โปรดใจเย็นลงก่อน ถึงอย่างไร ที่นี่ก็ยังอยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์ตระกูลเฮ่อเหลียน 

หากฮ่องเต้รู้ว่าเขาฆ่าตระกูลเฮ่อเหลียนจนสิ้น ก็อาจจะสั่งประหารพวกเขาไปด้วย 

……………………………………………………………………. 

[1] เทศกาลปล่อยผี หรือ 鬼节 เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของ วันสารทจีน