บทที่ 6 เอาเปรียบฝ่าบาท

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลงเล็กน้อย เขามีชีวิตอยู่มาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกผู้หญิงลวนลาม 

เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาทั่วไปที่ผู้คนรอบข้างเคยมีต่อเขานั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความหวาดกลัว หรือไม่ ก็จะประจบสอพลอ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว ตอนนี้มีใครบางคนกำลังทำสิ่งที่แตกต่าง และทำลายความเคยชินที่เขาเคยมี อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ก็ยังมีกลิ่นหอมจางๆ ที่แตกต่างจากผู้หญิงกลุ่มนั้นที่มีแต่กลิ่นน้ำหอมหรือเครื่องประทินโฉมอย่างชัดเจน 

แต่นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองเขา ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะก่อนเพคะ พี่สาวไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธเพคะ ฝ่าบาทคงจะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพี่สาวมาบ้างแล้ว สิ่งที่นางพูดนั้นช่างไร้มารยาท…” 

เมื่อนางเอ่ยคำว่า ‘ไร้มารยาท’ ออกมา ทุกคนก็เข้าใจความหมายแฝงของมันได้ทันที 

บรรดาคุณหนูทุกคนต่างก็รู้เรื่องน่าอับอายที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยทำเอาไว้ และตอนนี้ ทุกอย่างก็แสดงออกมาให้เห็นแล้ว สายตาที่พวกนางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม 

เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็ยกยิ้มขึ้นและมองนาง ท่าทางเช่นนี้ไม่อาจบอกได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก้มหน้าลงอย่างเขินอายเมื่อเห็นท่าทีของเขา ด้วยชื่อเสียงของนางที่เป็นหญิงงามและมีความสามารถในจักรวรรดิจ้านหลง นางมั่นใจว่าไม่มีชายใดสามารถมองข้ามนางไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นคนที่นางชื่นชอบอีกด้วย ดังนั้น นางจึงยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน… 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ พร้อมกับยกยิ้มมุมปาก แต่ยิ่งยิ้มมากเท่าไหร่ ในดวงตาก็แฝงไปด้วยความเย้ยหยันมากขึ้นเท่านั้น 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นไม่รู้อะไรเลย นางกำลังหลงอยู่ในโลกของตัวเอง และคิดเพ้อฝันไปว่าอีกฝ่ายจะชวนนางคุย 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอนสายตากลับไป นิ้วเรียวยาวสีขาวงาช้างของเขาเชยคางของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นเล็กน้อย… ท่าทีคลุมเครือนี้ราวกับว่าเขาจะจุมพิตนางได้ทุกเมื่อ… 

เป็นไปได้อย่างไรกัน 

เขาไม่ได้ยินที่นางพูดหรืออย่างไร 

หญิงแพศยาคนนั้นทำเกินไปแล้ว 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกอิจฉาอย่างมาก นางกำมือแน่น ทำให้เล็บฝังเข้าไปในอุ้งมือ จนเลือดออก 

อย่างไรก็ตาม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เมินเฉยต่อทุกสรรพสิ่ง แล้วเดินเข้าไปใกล้เฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นเรื่อยๆ จนหญิงสาวได้กลิ่นไม้จันทน์จางๆ ผสมกับความเย็นบนร่างกายของเขา และอีกกลิ่นที่ไม่อาจบรรยายได้ลอยเข้าจมูกของนาง… 

“เจ้าเป็นคนที่ยั่วยุข้าก่อน จำเอาไว้” 

เขาพูดข่มขู่ด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกในระยะใกล้จนนางรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา ริมฝีปากของเขาแทบจะสัมผัสโดนใบหูของหญิงสาวอยู่แล้ว จากนั้นเขาก็สะบัดเสื้อคลุมสีแดง แล้วหมุนตัวจากไป เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังของชายที่เพิ่งเดินจากไปด้วยดวงตาสั่นไหว 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ เดินจากไป เสื้อของเขาถูกย้อมไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นทำให้ดูมีเสน่ห์ และแม้ว่าเขาจะจากไปแล้ว ความรู้สึกกดดันนั้นก็ยังคงหลงเหลืออยู่ 

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แม่นมเหมยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดขึ้น “คุณหนูกล้าพูดจาเช่นนั้นกับองค์ชายของวังปีศาจได้อย่างไรกันเจ้าคะ” 

“ข้าเผลอพูดมากไปหน่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยากใส่ใจนัก นางยืดตัวขึ้นและเอ่ยอย่างแผ่วเบา “แม่นมเหมย พวกเรากลับกันเถอะ” 

แม่นมเหมยลังเล ก่อนจะพูดขึ้น “บาดแผลบนหน้าผากของคุณหนู…” 

“ไม่เป็นไร แผลนี้ไม่เจ็บสักนิด” ในโลกก่อนหน้านี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่านี้เสียอีก ตอนนี้ นางเพิ่งจะมาถึงโลกใหม่ อีกทั้งปัญหาที่เผชิญอยู่ก็ยังไม่ได้รับการจัดการให้สิ้นซาก จากนี้ นางจะไม่ปล่อยให้ใครมาใส่ร้ายนางได้อีกแล้ว 

หลังจากเรื่องของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจบลง เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็หันไปมองดูบุตรสาวคนโตที่กำลังเดินจากไปด้วยความแปลกใจ 

ลูกสาวที่ไร้ค่าของเขามีความอดทนเช่นนี้ด้วยหรือ 

แต่เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็ไม่ได้สนใจเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก ก่อนจะหันหน้าไปหามู่หรงฉางเฟิง 

มู่หรงฉางเฟิงมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เดินจากไปแล้วอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ 

“นายท่าน เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูใหญ่เฮ่อเหลียนหรือขอรับ” ซื่อสี่ เด็กรับใช้ของมู่หรงฉางเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเขาอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แม้แต่ดวงตาของเขาก็ยังเบิกกว้าง 

เมื่อก่อนหญิงสาวคนนั้นมักจะรีบวิ่งเข้าหาทันทีที่เห็นนายท่านของเขา แต่คราวนี้นางกลับจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองมาทางนายท่านของเขาได้อย่างไร ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก 

“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” มู่หรงฉางเฟิงเบือนหน้าออกจากเฮ่อเหลียนเวยเวย และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พอได้ยินอย่างทั่วถึง 

ซื่อสี่ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ก่อนหน้านี้ นางคอยตามติดนายท่านตลอด แต่ตอนนี้ นางกลับทำตรงกันข้าม เห็นได้ชัด ว่านางกำลังใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ [1] อยู่ขอรับ” 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่หรงฉางเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแสดงออกถึงความรังเกียจ 

เมื่อเฮ่อเหลียนกวงเย่าเห็นสีหน้าของเขา ก็หัวเราะและพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่ออย่าไปสนใจลูกสาวคนโตของข้าที่ไม่รู้ประสีประสาเลยขอรับ แต่สำหรับเจียวเอ๋อร์นั้น ข้าคงต้องฝากซื่อจื่อช่วยดูแลนางด้วย” 

มู่หรงฉางเฟิงมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ และเห็นว่านางก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพเฮ่อเหลียนโปรดวางใจ ตอนนี้เจียวเอ๋อร์เป็นศิษย์ของสำนักไท่ไป๋แล้ว อีกทั้งพื้นฐานพลังลมปราณของนางนั้น หากสามารถเอาชนะการแข่งขันประจำปีของสำนักไท่ไป๋ได้ ข้าก็จะแนะนำนางให้กับอาจารย์ของข้า ดูว่านางมีโอกาสที่จะเป็นเจ้ายุทธ์ได้หรือไม่” 

เจ้ายุทธ์… 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าเล็กๆ ดูสว่างสดใสขึ้นมา 

เจ้ายุทธ์เป็นผู้ที่มีทักษะการต่อสู้ชั้นสูงที่เป็นความฝันของเหล่าผู้ฝึกปราณทุกคน พวกเขาสามารถเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างน้อยสองเท่า 

แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเป็นได้ เพราะการทดสอบไม่ได้ใช้อาวุธธรรมดาทั่วไป เฉพาะคนที่ได้รับการฝึกฝนและมีระดับความสามารถสูงเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นเจ้ายุทธ์ได้ 

แต่ถ้าหากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงสามารถชี้ทางให้แก่นางได้ล่ะก็… เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ลืมตาขึ้นอย่างมุ่งมั่น “การทดสอบพลังลมปราณปีที่แล้ว ซื่อจื่อก็อยู่ที่นั่นด้วย ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นมีอายุห่างกับเจียวเอ๋อร์เพียงหนึ่งปีเท่านั้น เจียวเอ๋อร์มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะการแข่งขันได้อย่างแน่นอน” 

เฮ่อเหลียนกวงเย่าพยักหน้าและลูบเคราของตนเอง หากนางชนะการแข่งขัน เขาก็จะภาคภูมิใจอย่างมาก… 

 

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมายังจวนของตนเอง นางไม่ได้กลับไปที่ห้องทันที แต่มองไปในสวนที่อยู่ไม่ไกล และหรี่ตาจ้องมองไปยังมุมๆ หนึ่ง 

ตั้งแต่ที่ท่านแม่ของนางเสียชีวิต สวนแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไป จริงๆ แล้วมันเป็นสถานที่ที่ดีอย่างมาก อากาศอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว และอากาศเย็นสบายในช่วงฤดูร้อน ภายในนั้นยังปลูกดอกไม้สีแดงอยู่ด้วย 

ถึงเวลาให้พวกมันได้รับแสงอาทิตย์อีกครั้งแล้ว 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบกุญแจหยกสีขาวจากสร้อยคอของตนออกมา แล้วเปิดประตูอย่างรวดเร็ว 

แม่นมเหมยมองอย่างแปลกใจแล้วรีบพูดขึ้น “คุณหนูไม่ได้บอกว่าจะฝันร้ายทันทีที่สวนแห่งนี้ถูกเปิดออกหรือเจ้าคะ” 

“หลังจากนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว” ดวงตาที่นิ่งสงบของเฮ่อเหลียนเวยเวยพลันเปล่งประกายสดใส 

นางเดินไปดูห้องหนังสือด้วยท่าทางสุขุม การตกแต่งภายในนั้นเปลี่ยนไป เก้าอี้โยกทำจากไม้จันทรน์ที่ท่านตาของนางชื่นชอบในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถูกคนแซ่ซูนำไปขายแล้ว 

ตอนนี้คฤหาสน์ตระกูลเฮ่อเหลียนเป็นเพียงเงามืดในอดีตเท่านั้น 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่คนเดียวในห้องหนังสือเก่าๆ ที่ว่างเปล่า นิ้วมือของนางลูบไล้ไปตามชั้นหนังสือ สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ สายตาของนางหลุบต่ำและเย็นชา 

ต้องเคยมีใครบางคนเข้ามาค้นหาของที่นี่ 

ข้าวของในห้องนั้นถูกจัดวางอย่างซับซ้อน แต่ก็ดูเป็นระเบียบราวกับถูกจัดให้เป็นระเบียบหลังจากการรื้อค้น หากไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวย ก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น 

เนื่องจากมันเป็นเพียงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆผู้ที่มีประสบการณ์เท่านั้นจึงจะมองเห็นได้ในปราดเดียว 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดนิ้วลงตรงหนังสือเล่มเก่าที่ชำรุด นางไม่อาจระบุได้ว่ามันถูกเขียนขึ้นในปีใด หญิงสาวมองหน้าปกและเปิดมันขึ้น ภายในหนังสือเล่มนี้บันทึกตัวอักษรมากมายที่เข้าใจยากเอาไว้ 

ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเปิดหนังสือเล่มนั้นขึ้น หน้าต่างไม้ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับมีบางอย่างกำลังกระแทกประตูเข้ามา 

………………………………………………………………. 

[1] แสร้งปล่อยเพื่อจับ 欲擒故纵 เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ลดความฮึกเหิมของข้าศึก โดยเลี่ยงการบีบคั้นจนอีกฝ่ายสู้อย่างจนตรอก ในที่นี้จึงหมายถึง การปล่อยอีกฝ่ายไปก่อนจะจับในตอนหลัง