ตอนที่ 7 ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ

ตอนที่ 7 ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ

เย่เสี่ยวเหอมีรอยฝ่ามือเด่นชัดอยู่บนใบหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยเจ๋อหลี่กลับไม่ได้ฟังหล่อนพูดต่อแต่อย่างใดและหันหน้าไปหาฉินมู่หลานแทน

ฉินมู่หลานเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้ฟังคำแก้ตัวของเย่เสี่ยวเหอเลยสักนิด จึงอดยกยิ้มขึ้นตรงมุมปากเสียไม่ได้ นับว่าผู้ชายคนนี้ค่อนข้างฉลาดที่ไม่ฟังความข้างเดียว

“เพราะเย่เสี่ยวเหอจะตบฉันก่อน แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันคงไม่ยอมปล่อยให้ยืนตบอยู่ฝ่ายเดียวหรอก ฉันโกรธมากหลังจากที่เธอพยายามจะเข้ามาตบ ก็เลยชิงตบกลับไป สุดท้ายเธอก็โมโห แล้วให้เฝิงจื้อหมิงมาลงไม้ลงมือกับฉันแทน”

ฉินมู่หลานเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นก็ปรายตามองเซี่ยเจ๋อหลี่ครู่หนึ่ง

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังเย่เสี่ยวเหอและเฝิงจื้อหมิงด้วยความเย็นชายิ่งขึ้น“วันนี้เธอมาที่นี่เพื่อก่อกวนมู่หลานใช่ไหม”

“ไม่…ไม่ใช่นะ…”

เย่เสี่ยวเหอปฏิเสธขึ้นทันควัน

แต่ในขณะเดียวกันนั้น หล่อนก็ได้ค้นพบบางอย่าง เซี่ยเจ๋อหลี่ออกตัวปกป้องฉินมู่หลานเช่นนี้ทำให้หล่อนยอมรับไม่ได้ “เซี่ยเจ๋อหลี่ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ฉินมู่หลานเป็นคนตบฉันก่อน แล้วทำไมถึงยังปกป้องหล่อนกัน”

“เฮ้อ…พวกเธอก็สมควรโดนแล้ว”

ฉินมู่หลานมองเยาะเย้ยเย่เสี่ยวเหอ รู้สึกว่าเมื่อสักครู่ที่ตนตบคงเบามือไปหน่อย หากมีครั้งหน้าเธอคงตบให้แรงกว่านี้

เซี่ยเจ๋อหลี่รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนใหญ่เขามองว่าฉินมู่หลานไม่เคยทำอะไรผิด เขาจึงหันไปมองเย่เสี่ยวเหอและเฝิงจื้อหมิงด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเอ่ย “ไปให้พ้น…”

“เซี่ยเจ๋อหลี่ คุณ…”

เมื่อเย่เสี่ยวเหอเห็นการกระทำของเซี่ยเจ๋อหลี่เช่นนี้ หัวใจก็รู้สึกเหมือนตกวูบลงไป นี่หมายความว่าหล่อนคงไม่มีโอกาสแล้วใช่ไหม

ในตอนนี้เอง เฝิงจื้อหมิงลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว เขามองใบหน้าอันมืดมนของเซี่ยเจ๋อหลี่ ก่อนจะพาเย่เสี่ยวเหอหนีไป

“เดี๋ยวก่อน…”

ดูเหมือนว่าเย่เสี่ยวเหอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฝิงจื้อหมิงกลับลากเย่เสี่ยวเหอเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นสองคนนั้นหนีไปแล้ว ฉินมู่หลานจึงเตรียมตัวสะพายกระบุงขึ้นบนหลังเพื่อกลับบ้าน

เซี่ยเจ๋อหลี่ก้าวเดินไปยังกระบุงแล้วยกขึ้นมา ก่อนจะสะพายขึ้นบนหลังของตน

ฉินมู่หลานเห็นดังนั้นจึงชักมือของตนกลับ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเซี่ยเจ๋อหลี่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรื่องทั้งหมดนี่ต้องโทษคุณนะ เป็นเพราะเย่เสี่ยวเหอชอบคุณ จึงคอยตามสร้างปัญหาอยู่ไม่หยุดหย่อน”

เซี่ยเจ๋อหลี่เงียบลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “เป็นความผิดของผมเอง ผมควรจัดการเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ”

ฉินมู่หลานเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ยอมรับความผิดของตัวเองแต่โดยดี นอกจากนี้เขาก็มาช่วยตนได้ทันเวลา จึงพยักหน้าลงแล้วเอ่ยว่า “ก็ดี ฉันแอบคาดหวังนะว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”

หลังจากทั้งสองกลับถึงบ้าน เหยาจิ้งจือก็รีบมองสำรวจตัวฉินมู่หลานแล้วเอ่ยขึ้น “มู่หลาน เธอกลับมาสักที ฉันเห็นว่าถึงเวลากินมื้อเที่ยงแล้วแต่เธอยังไม่กลับ ก็เลยอดเป็นห่วงไม่ได้”

เซี่ยเจ๋อน่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆเห็นฉินมู่หลานกลับมา ดวงตาของหล่อนก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่นานนักก็ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาลง ก่อนจะคว้าแขนของผู้เป็นแม่แล้วพูดขึ้น “แม่ ตอนนี้พวกพี่รองกลับมากันแล้ว เราไปกินข้าวกันเถอะ”

“ใช่ กินข้าวกันก่อนเถอะ”

ฉินมู่หลานยุ่งตั้งแต่เช้า ตอนนี้จึงหิวมากเสียจริง แต่เธอก็กินไม่มาก กินเพียงข้าวชามเดียวเท่านั้น

“มู่หลาน ฉันจะตักให้เธออีกชามนะ”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนเห็นฉินมู่หลานวางตะเกียบลง จึงเอ่ยเสนอขึ้นมา

“พี่สะใภ้ ฉันอิ่มแล้ว พี่กินเองเลยค่ะ”

ตอนนี้ทุกคนต่างปฏิบัติเหมือนฉินมู่หลานเป็นแขก แค่มองดูรูปร่างก็รู้แล้วว่าเธอกินได้มากมายขนาดไหน

เหยาจิ้งจือเกรงว่าฉินมู่หลานอาจอายเกินกว่าจะเอ่ยปากพูด ดังนั้นจึงคิดตักอาหารให้เธอ ฉินมู่หลานเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “แม่ ฉันอิ่มแล้วจริง ๆ ค่ะ ตัวฉันค่อนข้างอ้วนจึงดูไม่ค่อยดีนัก ต่อไปจะกินให้น้อยลงหน่อย น้ำหนักจะได้ค่อย ๆ ลดลง”

“มู่หลาน เธอเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ขาว ๆ อวบๆ แบบนี้แหละถือว่าเป็นโชคดี”

เหยาจิ้งจือแสดงสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก พลางคิดว่าฉินมู่หลานเป็นแบบนี้ก็ดีมากพออยู่แล้ว

เซี่ยเจ๋อน่าได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน ก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากเยาะเย้ย

“อา…แบบนี้ก็หมายความว่าพี่รู้ตัวสักทีว่าตัวเองอัปลักษณ์เลยจะลดน้ำหนักอย่างนั้นใช่ไหม อย่างพี่น่ะลดน้ำหนักไปก็ไม่ได้ทำให้ดูดีขึ้นหรอก เพราะฉะนั้นอย่าคิดเรื่องนั้นเลย แต่กินน้อยลงก็ดีนะ จะได้ไม่เปลือง”

“เซี่ยเจ๋อน่า เธอช่วยหุบปากสักทีเถอะ”

เหยาจิ้งจือมองใบหน้าลูกสาวของตนที่ตอนนี้สีหน้าเต็มไปด้วยสายตาเย้ยหยันก็ทำได้เพียงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตนคงเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจจนเคยตัว จนกระทั่งล่วงเลยมาถึงตอนนี้ ลูกสาวจึงดื้อรั้น ไม่เคยเชื่อฟังสิ่งที่นางพูดเลยสักนิด

นอกจากเหยาจิ้งจือ ทั้งหลี่เสวี่ยเยี่ยนและเซี่ยเจ๋อเว่ยต่างก็ไม่เห็นด้วยกับเซี่ยเจ๋อน่า ได้แต่เพียงคิดว่าหล่อนพูดจาใจร้ายใจดำเกินไป

“น่าน่า เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง”

เซี่ยเจ๋อหลี่ปรายสายตาแหลมคมไปทางเซี่ยเจ๋อน่า ด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าฉินมู่หลานอารมณ์ร้าย แถมยังทำนิสัยไม่ดี แต่เมื่อมองดูวันนี้ ฉินมู่หลานกลับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่น้องสาวของพวกเขาเองกลับทำตัวเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เสียอย่างนั้น

“เซี่ยเจ๋อน่า เธอขอโทษพี่สะใภ้รองเดี๋ยวนี้”

“หนูไม่ทำ!”

เซี่ยเจ๋อน่าเอ่ยปฏิเสธเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “หนูพูดความจริงไม่ได้เหรอ ก็ฉินมู่หลานดูอัปลักษณ์จะตาย เหมือนนังหมูอ้วนไม่มีผิด”

“ปึก…”

เซี่ยเจ๋อหลี่โยนตะเกียบของตนทิ้ง แล้วจ้องมองเซี่ยเจ๋อน่าด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะเอ่ย “ขอโทษซะ!”

คนอื่นไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ทุกคนต่างจ้องมองเซี่ยเจ๋อน่าเป็นตาเดียว โดยกำลังรอให้หล่อนเอ่ยขอโทษฉินมู่หลาน

เซี่ยเจ๋อน่าเองเข้าใจความหมายในการกระทำของทุกคนได้อย่างชัดเจน หล่อนจึงทำได้เพียงรู้สึกไม่ชอบใจและหงุดหงิดเท่านั้น “ก็ได้ ตอนนี้ทุกคนต่างเข้าข้างฉินมู่หลาน เลยมองฉันด้วยสายตาไม่ชอบใจแบบนั้น แต่ฉันไม่ผิด ฉันจะไม่ขอโทษหรอก”

หลังจากพูดประโยคนั้นจบ เซี่ยเจ๋อน่าก็วิ่งกลับห้องของตนไปทันที

ฉินมู่หลานเห็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงทำลายบรรยากาศด้วยเสียงหัวเราะพลางเอ่ย “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร ฉันพูดจริงนะ น่าน่าเองก็พูดถูก ตอนนี้ฉันดูไม่สวยเลยสักนิด”

อันที่จริงแล้ว ฉิมมู่หลานเองก็ไม่ได้ชอบเซี่ยเจ๋อน่าเหมือนกัน

แต่ด้วยความที่เซี่ยเจ๋อน่าเป็นคนของตระกูลเซี่ย เช่นนั้นแล้วเธอจะเอ่ยต่อว่าเซี่ยเจ๋อน่าต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ของหล่อนได้อย่างไร

เหมือนกับการต่อว่าโรงเรียนเก่าว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่หากคนอื่นมาพูดเข้า ก็คงรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย

และหากเหยาจิ้งจือเห็นฉินมู่หลานพูดจาเช่นนั้น คงรู้สึกไม่ดีอย่างมากแน่

“มู่หลาน ที่น่าน่าเอาแต่ใจแบบนี้เป็นความผิดของพวกเราเอง เอาไว้ฉันจะสั่งสอนหล่อนให้นะ”

แม้แต่เซี่ยเหวินปิงก็อดเอื้อนเอ่ยไม่ได้ “ใช่แล้ว เดี๋ยวนี้น่าน่าชักจะเอาใหญ่แล้ว กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ ถึงกับพูดจาดูหมิ่นสะใภ้รองขนาดนี้ ครั้งนี้ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องให้หล่อนมาขอโทษมู่หลาน”

เมื่อฉินมู่หลานเห็นว่าเซี่ยเหวินปิงและเหยาจิ้งจือโกรธมากจึงรีบเอ่ยขึ้น “คุณพ่อ คุณแม่ น่าน่าก็ไม่ชอบฉันมาตั้งนานแล้วค่ะ ไม่เป็นไรหรอก ค่อยเป็นค่อยไปเดี๋ยวก็ดีขึ้นค่ะ”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ต้องบอกเลยว่าฉินมู่หลานในตอนนี้ ทั้งเรือนร่างต่างเต็มไปด้วยกลิ่นดอกบัว (กลิ่นคนดี)เลยทีเดียว

ยิ่งฉินมู่หลานมีความเข้าอกเข้าใจมากเท่าใด ตระกูลเซี่ยกลับยิ่งรู้สึกว่าเซี่ยเจ๋อน่าทำเกินไป ดังนั้นทุกคนจึงเทใจให้ฉินมู่หลานมากขึ้น

หลังรับประทานอาหารเสร็จ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็สบโอกาสได้พูดคุยกับฉินมู่หลาน

“คุณอย่าไปฟังสิ่งที่เจ๋อน่าพูดเลย จริง ๆ คุณในแบบนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว ไม่ได้น่าเกลียดเลย แถมยังดูดีมากด้วย คุณไม่จำเป็นต้องบังคับให้ตัวเองคุมอาหารหรอกนะ”

สุดท้าย เซี่ยเจ๋อหลี่ก็พูดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องที่จะไปบ้านของผู้ใหญ่บ้าน “ส่วนเรื่องเย่เสี่ยวเหอ ผมเองก็จะจัดการให้เรียบร้อย จะไม่ทำให้คุณต้องตกอยู่ในอันตรายแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว”

หลังจากพูดจบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ตรงไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้าน

เมื่อมองตามแผ่นหลังของเซี่ยเจ๋อหลี่ที่กำลังก้าวเดินออกไป ฉินมู่หลานก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้ช่างรู้จักพูดจา แถมยังบอกด้วยว่าที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้ก็ดูดีมากแล้ว นอกจากนี้เมื่อได้มองดูท่าทางอันเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งเขา ช่างเป็นแบบที่เธอค่อนข้างชอบยิ่งนัก ต่อไปข้างหน้าก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ต้องเจอดอกท้อเน่าของเซี่ยเจ๋อหลี่เข้ามายุ่งวุ่นวายอีก

พักผ่อนในช่วงกลางวันได้ไม่นาน หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมา ก็ถึงเวลาที่ต้องออกไปทำงานกันแล้ว

เพียงแต่ใบหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่กลับดูมืดมน สีหน้าค่อนข้างไม่สู้ดีนัก ในตอนนั้นเอง ทุกคนในครอบครัวก็โดนเรียกให้มารวมตัวกัน

“แม่ แล้วเซี่ยเจ๋อน่าล่ะ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ให้เดานะ นังน้องสาวต้องเป็นคนไปยุยงเย่เสี่ยวเหอให้มาหาเรื่องมู่หลานแน่ๆ เธอมันมีพิรุธ ต่อว่ามู่หลานได้แบบมั่นใจเหลือเกิน

ไหหม่า(海馬)