ตอนที่ 7 สวนดอกท้อ

เมื่อเห็นความตายใกล้เข้ามา ด้วยแรงกระตุ้นในช่วงเวลาวิกฤต ความรู้สึกร้อนผ่าวอันคุ้ยเคยสายหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง อักขระโลหิตตัวหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากศีรษะของเขา กระแทกเข้ากับพลังฝ่ามือของถังซู่ซู่ที่โจมตีเข้ามาในทันใด

ตูม! เกิดเสียงดังสนั่น ลมกระโชกไปทั่วทิศ พัดพาต้นหญ้ารอบข้างจนหลุดออกมาทั้งโคน ปลิวว่อนกระจัดกระจาย หนิวโหย่วเต้าถูกกระแทกจนล้มกลิ้งไปด้านหลังหลายตลบ เมื่อกระแทกกับเชิงเขาถึงได้หยุดลง

เสียงลมโหมกระโชกเงียบไป ต้นหญ้าที่ปลิวว่อนร่วงตกสู่พื้น

“ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกาย!” หลัวหยวนกงและซูพั่วพึมพำออกมา สบตากับแวบหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่จึงมองไปทางถังซู่ซู่ผู้มีสีหน้าตะลึงงัน

ใบหน้าของถังซู่ซู่คร่ำเคร่งขึ้นมา ไม่มีทีท่าว่าจะลงมืออีก

ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายเป็นยอดวิชาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มีเพียงศิษย์สายในเท่านั้นที่ร่ำเรียนได้ ทว่ามิใช่ทุกคนที่สามารถร่ำเรียนจนประสบความสำเร็จ มีเพียงผู้ที่มีความรู้ในศาสตร์วิชาจำพวกค่ายกลอย่างลึกซึ้งเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนให้สำเร็จได้ เหตุผลอีกประการที่ทำให้ปกติแล้วไม่มีผู้ใดฝึกวิชานี้ เป็นเพราะฝึกไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดต่อตนเลย นี่คือวิชาที่สละสภาวะของตนเองเพื่อผู้อื่นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การทดลองใช้วิชาในระหว่างที่ฝึกฝนก็สิ้นเปลืองสภาวะไม่น้อยเลยเช่นกัน ฝึกไปก็ได้ไม่คุ้มเสีย

สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในปัจจุบันมีเพียงตงกัวเฮ่าหรานเท่านั้นที่ใช้วิชานี้ได้ แม้กระทั่งผู้อาวุโสระดับหลัวหยวนกงก็ยังใช้ไม่ได้ จากจุดนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าความรู้ด้านศาสตร์ค่ายกลของตงกัวเฮ่าหรานนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ

เมื่อเห็นว่าหนิวโหย่วเต้ามี ‘ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกาย’ ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปกป้อง หนิวโหย่วเต้าจะใช่ศิษย์ของตงกัวเฮ่าหรานหรือไม่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความอีก หากตงกัวเฮ่าหรานมิได้ถ่ายทอดให้อีกฝ่ายในขณะที่มีสติสัมปชัญญะแจ่มใส วิชาที่มีความสลับซับซ้อนเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่จะสำแดงพลังออกมาได้เช่นกัน

หนิวโหย่วเต้าสะบัดศีรษะที่ยังมึนงงอยู่เล็กน้อย ค่อยๆ ยันกายขึ้นมา ลูบหน้าอกปรับลมหายใจ กวาดตามองไปเห็นทุกคนจ้องมองตนด้วยแววตาสับสน พลันบันดาลโทสะขึ้นมาวูบหนึ่ง โดยเฉพาะถังซู่ซู่ที่เขารู้สึกอยากจะด่ากราดอย่างสาดเสียเทเสีย

ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นยายเฒ่าคนนี้ที่รุนแรงเกินเหตุ พูดจาไม่เข้าหูก็จะฆ่าจะแกงกันเลย เพียงแค่ซัดฝ่ามือออกมาส่งๆ ก็สามารถสังหารตนได้แล้ว ลูกผู้ชายต้องยอมถอยในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ จำเป็นต้องอดกลั้นไว้ คิดหาทางผ่านด่านนี้ไปให้ได้ถึงจะถูก หนิวโหย่วเต้าคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร หากแต่เดินกลับไปหยุดอยู่ข้างศพของตงกัวเฮ่าหราน ดึงผ้าที่เก่าขาดขึ้นมาคลุมขึ้นไปใหม่อีกครั้ง หยิบเชือกหวายขึ้นพาดบ่า ยกเปลหามขึ้น ลากกลับไปทางเดิม

หมายความว่าอย่างไร? ทุกคนตะลึงงัน

เมื่อรู้ตัวว่าเขากำลังจะไปจากที่นี่ ซูพั่วพลันเคลื่อนกายออกไป ขวางหนิวโหย่วเต้าไว้ เอ่ยถาม “เจ้าจะไปไหน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ขออภัย รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าน่าจะมาผิดที่” พูดจบก็ลากเปลอ้อมตัวเขา เดินผ่านวัชพืชขวากหนามจนเกิดเสียงดังสวบสาบต่อไป

ทุกคนรับรู้ได้ถึงความเจ้าอารมณ์แบบเด็กๆ นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่

ซูพั่วปรายตามองถังซู่ซู่ เอียงศีรษะส่งสัญญาณให้เล็กน้อยเพื่อบอกให้นางขอโทษ

ถังซู่ซู่เบือนหน้าหนี ท่าทางเฉยเมยเย็นชา ไม่มีทีท่าว่าจะขอโทษ

ซูพั่วจนปัญญา ได้แต่เคลื่อนกายไปขวางหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง ถอนหายใจพลางเอ่ย “เมื่อครู่เป็นการเข้าใจผิดกัน เจ้าไม่ได้มาผิดที่”

“มาผิดที่แล้ว ข้าจะพาอาจารย์กลับบ้าน” หนิวโหย่วเต้ายืนกราน ลากเปลหามอ้อมตัวเขาอีกครั้ง

วาจาที่ดื้อรั้นนี้ทำให้คนอื่นๆ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกหดหู่ใจอย่างไม่มีสาเหตุ ถังอี๋ผู้มีรูปโฉมดั่งเทพธิดาที่อยู่ไม่ไกลรู้สึกทนไม่ไหว คล้ายอยากจะพูดอะไรทว่าก็เงียบไปอีกครั้ง ผู้อาวุโสของสำนักอยู่ที่นี่ ยังไม่ใช่หน้าที่นางที่จะมาตัดสินอะไรได้

ซูพั่วยื่นมือออกไป กดไหล่ของหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ ทำให้หนิวโหย่วเต้าดิ้นไม่หลุด เอ่ยเกลี้ยมกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ผิดหรอก ที่นี่ก็คือสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ไปกับพวกเราเถอะ!” พลางปลดเปลหามบนบ่าหนิวโหย่วเต้าออก

สองมือของหนิวโหย่วเต้าสอดอยู่ในแขนเสื้อซ้ายขวา กอดอกเอาไว้ ชุดบุนวมขาดปุปะ รองเท้าเปื่อยขาดจนหัวแม่เท้าโผล่ เนื้อตัวเหม็นคาวปลา ช่วงเอวเหน็บกระบอกไม้ไผ่และมีดผ่าฟืนไว้ ไม่รับรู้ถึงความสกปรกมอมแมมของตน แถมยังเชิดหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ท่าทางคล้ายไม่อยากสุงสิงกับผู้ใด

ไม่รู้ตัวบ้างหรือว่าตัวเองน่าเกลียดแค่ไหน? ซูพั่วกระอักกระอ่วนใจ คล้ายไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงกวักมือเล็กน้อย ศิษย์สองคนเดินเข้ามา ตีกระหนาบซ้ายขวาหิ้วปีกหนิวโหย่วเต้า

“พวกท่านจะทำอะไร?” หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองซ้ายขวา ร้องโวยวายขึ้นมา

ศิษย์สองคนนั้นไม่สนใจเขา หิ้วปีกเขาพุ่งทะยานเข้าไปในป่า พาคนจากไปทันที

จากนั้นซูพั่วเรียกศิษย์มาอีกสองคน ให้หามศพของตงกัวเฮ่าหรานไป

หลังจากให้ศิษย์ที่เหลือถอยออกไปแล้ว ภายในบริเวณนั้นก็เหลือเพียงสามผู้อาวุโส ในเวลานี้หลัวหยวนกงจึงได้เอ่ยกับถังซู่ซู่ว่า “ศิษย์น้องหญิง เมื่อครู่เจ้าทำเกินเหตุไปหน่อยนะ”

ถังซู่ซู่เอ่ยเสียงเยียบเย็น “เจ้าเด็กนี่พูดจาเหลวไหลชัดๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นไส้ศึกที่ผู้ใดส่งมาหรือเปล่า”

หลัวหยวนกงเอ่ยถาม “แล้วจะอธิบายเรื่องยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายอย่างไร?”

ถังซู่ซู่ถียงคอเป็นเอ็น “พวกท่านฟังคำพูดของเขาสิ คล้ายชาวบ้านในป่าเขาหรือ?”

หลัวหยวนกงเอ่ยแย้ง “เรื่องนี้ค่อยๆ สืบสวนกันไปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบลงมืออย่างโหดเหี้ยมโดยไม่รอฟังคำอธิบายเลย หรือเจ้ากลัวว่าเขาจะได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์?”

ถังซู่ซู่หลบตาเขา เอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านคิดมากไปแล้ว ตงกัวเฮ่าหรานมีศิษย์มากมาย ตำแหน่งเจ้าสำนักไม่มีทางตกไปถึงเขาหรอก”

หลัวหยวนกงส่ายหน้า “ตงกัวพาศิษย์ของตัวเองออกไปด้วย ยามนี้เหลือศพกลับมาเพียงศพเดียว เกรงว่าสถานการณ์คงไม่ต่างไปจากถังมู่ ขอเพียงมีคนรอดชีวิตสักคน ตงกัวก็คงไม่มีทางลงยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายให้คนนอก และคนที่หามศพกลับมาก็คงไม่ใช่เจ้าเด็กนี่ เกรงว่าเขาคงหมดหนทางแล้วถึงได้ทำเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะคิดเรื่องนี้ไม่ได้”

ถังซู่ซู่ชี้ไปยังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เอ่ยเสียงคร่ำเคร่ง “หากเป็นเช่นนี้จริง หรือศิษย์พี่จะทำตามกฎสำนัก ยอมปล่อยให้ไอ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้มาดูแลสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?”

หลัวหยวนกงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แต่เจ้าก็ไม่ควรทำแบบนี้ เจ้าเห็นศิษย์คนอื่นๆ เป็นคนโง่หรือไร? เจ้าคิดว่าทุกคนมองแผนการของเจ้าไม่ออกงั้นหรือ? เหตุใดถังมู่ถึงเรียกศิษย์ในสำนักทั้งหมดมาเป็นพยานก่อนจะสิ้นใจ? มิใช่เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาแทรกแซงคำสั่งเสียของเขาหรอกหรือ? เจ้าทำเช่นนี้ จะให้ทุกคนคิดอย่างไร โทษฐานสังหารเจ้าสำนักเจ้าแบกรับไหวหรือ? ถึงตอนนั้นต่อให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นมาดำรงตำแหน่งเจ้าสำนัก หากไม่ได้มาอย่างชอบธรรม แล้วจะให้ทุกคนยอมรับได้อย่างไร? เจ้าอยากเป็นต้นตอความขัดแย้งวุ่นวายในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ? โง่สิ้นดี!”

ถังซู่ซู่สีหน้าตึงเครียด พูดอะไรไม่ออก…

ณ บ่อน้ำพุร้อนกลางหุบเขา หนิวโหย่วเต้าที่แช่อยู่ในน้ำดวงตาหรี่ปรืออย่างผ่อนคลาย ในสมองนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบพานในหลายวันมานี้ รู้สึกราวกับฝันไป เมื่อไม่กี่วันก่อนยังอยู่ในสุสานใต้ดินลึกลับ พริบตาเดียวก็มาโผล่ที่โลกใบนี้เสียแล้ว ซ้ำยังเผชิญเรื่องราวต่างๆ จนมาถึงที่นี่ หนทางข้างหน้ายังคงเลือนราง ไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่าง ไม่รู้เลยว่ายังมีเรื่องราวแบบไหนที่รอคอยตนอยู่

ความคิดย้อนกลับไปยังบทสนทนาถามตอบอย่างละเอียดก่อนที่จะมาอาบน้ำ เขาจัดระเบียบความคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าน่าจะไม่มีจุดผิดพลาดตรงไหน ถึงได้สงบใจลง

พออาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาจากหุบเขา จากนั้นล้างหน้าบ้วนปาก เปลี่ยนไปสวมชุดคลุมยาวสีเทาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ผมยาวมัดรวบเป็นหางม้าอย่างง่ายๆ

ปัญหาสำคัญคือแต่ก่อนไม่เคยไว้ผมยาวขนาดนี้ แล้วก็ไม่เคยเกล้าผมเป็นมวย จึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

นอกหุบเขามีศิษย์ที่สะพายกระบี่เอาไว้ด้านหลังสามคนกำลังรอเขาอยู่ ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าเคยพูดคุยกับพวกเขาแล้ว ชายผู้นำกลุ่มที่มีสีหน้าเย่อหยิ่ง ใบหน้าขาวผ่องเกลี้ยงเกลา กิริยาท่าทางดูดีมีเสน์มีนามว่าซ่งเหยี่ยนชิง อีกสองคนมีนามว่าเฉินกุยซั่วและสวี่อี่เทียน สองคนหลังคล้ายจะเอาอกเอาใจซ่งเหยี่ยนชิงคนนั้นอย่างยิ่ง เรียกขานว่าศิษย์พี่อย่างสนิทสนม

สามคนนี้ล้วนเป็นคนที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ส่งมาเฝ้าหนิวโหย่วเต้า

เมื่อเห็นหนิวโหย่วเต้าเดินออกมา แต่ละคนคล้ายดูแปลกใจไปเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเพ่งพินิจตั้งแต่หัวจรดเท้า

ดั่งคำกล่าวที่ว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง รูปร่างหน้าตาของหนิวโหย่วเต้าถือว่าไม่เลวเลย ประกอบกับในร่างคือเต้าเหยี่ย เด็กจากหมู่บ้านในภูเขาที่สกปรกมอมแมมจึงดูงามสง่าและมีราศีขึ้นมาหลายส่วน

เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งสาม หนิวโหย่วเต้าจัดเสื้อผ้าชุดใหม่บนร่างเล็กน้อย เอ่ยถาม “ช่วยไปแจ้งให้หน่อยได้หรือไม่ว่าข้าอยากพบเจ้าสำนัก!”

ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขาร้องขอเข้าพบเจ้าสำนักถังมู่ เรื่องที่ตงกัวเฮ่าหรานมอบหมายให้เขายังจัดการไม่ลุล่วง

ดวงตาซ่งเหยี่ยนชิงฉายแววดูแคลน “เจ้าสำนักใช่คนที่เจ้านึกอยากพบก็พบได้เลยอย่างนั้นหรือ? ทำตัวดีๆ แล้วตามพวกเรามา”

“เดินไป!” เฉินกุยซั่วและสวี่อี่เทียนยื่นสองมืออกมาผลักหลังหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าที่ถูกผลักจนเซถลาไม่รู้เลยว่าตนไปล่วงเกินสามคนนี้เข้าตอนไหน ตั้งแต่แรกพบกันก็ไม่มีสีหน้าและวาจาดีๆ ให้เขาเลย

ถูกคนทั้งสามประกบไว้ตรงกลาง เดินไปจนถึงเชิงผาสูงชันแห่งหนึ่ง ไต่ขึ้นไปตามขั้นบันไดหินที่คดเคี้ยววกวน เมื่อเดินขึ้นมาได้ครึ่งทาง หนิวโหย่วเต้าก็ถูกสิ่งปลูกสร้างอันวิจิตรงดงามบนหน้าผาฝั่งตรงข้ามดึงดูดสายตาเอาไว้ เมื่อดูจากองค์ประกอบโครงสร้างของอาคารที่อยู่โดยรอบแล้ว คาดว่าคงเป็นสถานที่สำคัญของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

เมื่อปีนขึ้นไปถึงยอดเขา มองเห็นเรือนโบราณสงบเงียบหลังหนึ่ง ริมขอบผานอกตัวเรือนมีต้นท้อเก่าแก่มีอายุกิ่งล่ำรากหนาอยู่หนึ่งต้น บนกิ่งมีช่อดอกสีแดงอมชมพูบานสะพรั่ง งดงามดั่งเมฆาที่อาบแสงอาทิตย์ยามเช้า ลมโชยบุปผาปลิดปลิว โปรยปรายร่วงโรย ต้นท้อต้นนี้ออกดอกได้งดงามยิ่งนัก หนิวโหย่วเต้าถูกดึงดูดความสนใจอีกครั้ง อุทานด้วยความแปลกใจว่า “ดอกท้อบานในฤดูนี้ได้ด้วยหรือนี่?”

เฉินกุยซั่วที่อยู่ด้านหลังหัวเราะเบาๆ “ไม่เคยเห็นล่ะสิ? ต้นท้อต้นนี้อายุพันกว่าปี เดิมบังเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว ต่อมาถูกท่านบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักแห่งนี้สะบั้นรากแห่งปัญญา ยืนต้นอยู่ที่นี่อย่างธรรมดาสามัญ ช่วงแรกๆ ต้นท้อยังผลิดอกและโรยราอยู่ ทว่าหลังจากสะบั้นรากแห่งปัญญาแล้วก็มีแต่เบ่งบานมิมีร่วงโรย ผ่านมาหลายร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิฤดูร้อนฤดูใบ้ไม่ร่วงหรือฤดูหนาวยังคงงดงามเหมือนดั่งมวลหมู่เมฆที่อาบแสงอาทิตย์ยามเช้า บานสะพรั่งดุจร่มฉัตรพวงมาลา นับเป็นทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่งดงามและหาได้ยากยิ่งอย่างหนึ่งของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์”

หนิวโหย่วเต้าฟังแล้วแปลกใจยิ่ง ทว่าซ่งเหยี่ยนชิงกลับแค่นเสียงกล่าวว่า “จะพล่ามกับเขาไปทำไม”

เฉินกุยซั่วสีหน้ากระอักกระอวน หุบปากเงียบเสียงไป

เมื่อมาถึงทางเข้าเรือน หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ก่อนจะมองเห็นเหนือบานประตูสลักอักษรขนาดใหญ่ดูทรงพลังเอาไว้สามตัวว่าสวนดอกท้อ ซ่งเหยี่ยนชิงหยุดอยู่ที่ประตู บุ้ยปากไปทางด้านในพลางกล่าวว่า “ที่นี่คือสถานที่บำเพ็ญเพียรของอาจารย์ลุงตงกัว เจ้าพักที่นี่ไปก่อน ไม่อนุญาตให้วิ่งพล่านวุ่นวาย มิเช่นนั้นระวังจะถูกหักขาเอา เข้าใจหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเอ่ยท้วง “ก่อนอาจารย์สิ้นใจได้สั่งให้ข้าเข้าพบเจ้าสำนัก…”

“เจ้าเข้าไปได้แล้ว!” สวี่อี่เทียนหิ้วคอเสื้อเขา จากนั้นก็โยนเขาเข้าไปแล้วปิดประตูทันที

หนิวโหย่วเต้าที่เกือบล้มคว่ำไปประคองตัวเอาไว้อย่างยากลำบาก ภายในใจรู้สึกโมโหขึ้นมา จึงพุ่งไปที่หน้าประตูกระชากเปิดประตูใหญ่ เอ่ยด้วยความโกรธ “พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร เห็นข้าเป็นนักโทษอย่างนั้นหรือ?”

ซ่งเหยี่ยนชิงหันหลังกลับมามอง เอ่ยเย้ยหยันว่า “อย่าทำตัววุ่นวาย หากพลาดท่าลื่นล้มตกหน้าผาไป คงไม่มีผู้ใดเรียกร้องความเป็นธรรมให้เจ้าได้หรอกนะ” ในวาจาแฝงเจตนาข่มขู่เอาไว้อย่างรุนแรง มิใช่แค่ข่มขู่เท่านั้น หากแต่มีแนวโน้มว่าจะทำจริงด้วย ค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้าอย่างช้าๆ

“อากาศไม่เลวเลยเนอะ!” หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองฟ้า ปัง! จากนั้นปิดประตู

แววตาของผู้ที่อยู่ด้านหลังบานประตูเผยเจตนาสังหารออกมา ในโลกก่อนหน้านี้คนบนโลกเรียกเขาว่า ‘เต้าเหยี่ย’ ชื่อเต้าเหยี่ยนี้มิใช่ชื่อที่จะมารังแกกันได้ง่ายๆ

“ฮ่าๆ! ก็ยังรู้ความอยู่นี่…” เสียงหัวเราะของคนทั้งสามนอกบานประตูแว่วเข้ามา

หนิวโหย่วเต้าสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สะกดเพลิงโทสะในใจลงอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็สงบอารมณ์ได้ บังคับให้ตนเปลี่ยนอารมณ์ไปชื่นชมทิวทัศน์รอบกาย ไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะด้านนอก เอามือไพล่หลังค่อยๆ เดินชมเรือนหลังนี้ พบว่าเป็นเรือนแบบเฉลียงทางเดินคดเคี้ยวชายคายกเชิดตามรูปแบบโบราณ เรียบง่ายงามสง่า ยอดเยี่ยมยิ่ง เป็นสถานที่เงียบสงบและงดงามที่หาได้ยากแห่งหนึ่ง อารมณ์ของตนก็สงบลงด้วยเช่นกัน

กลางลานเรือนมีพฤกษาใหญ่ต้นหนึ่งสูงบดบังนภา แท่นอิฐก่อโอบล้อมเอาไว้ บนแท่นอิฐวางชั้นวางไว้ กระบี่ยาวเล่มหนึ่งวางพาดอยู่บนชั้น

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไป จับด้ามกระบี่แล้วค่อยๆ ชักออกมา ประกายเยียบเย็นค่อยๆ โผล่พ้นฝัก ขยับมือวาดกระบี่ พาดขวางไว้ตรงหน้าอีกครั้ง มองเงาร่างตัวเองบนกระบี่ พึมพำกับตัวเองว่า “ขุนเขาสูงหนทางยากลำบากแลทอดยาว กระบี่คมกล้าทรงฤทธิ์ ยังสถิตอยู่ในสวนดอกท้อ!”

……………………………………………………………..