ตอนที่ 8 มีสิทธิ์ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 8 มีสิทธิ์ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก

เมื่อลองกวัดแกว่งกระบี่ในมืออีกครั้ง เขาก็พบว่าคนไม่เคยฝึกก็คือคนที่ไม่เคยฝึกอยู่ดี ข้อมือทนรับการกวัดแกว่งกระบี่ไม่ไหว องศาในการตวัดหากไม่คุ้นชินจะทำร้ายกล้ามเนื้อและกระดูกได้ง่ายๆ กระบี่ยาวกลับเข้าฝัก เขาขยับข้อมือ ขบคิดว่าต้องเริ่มฝึกฝนการยืดกระดูกคลายเส้นเอ็นสักหน่อย ร่างกายยังเยาว์วัย ฝึกตอนนี้ยังทันการ

เขายกมือไพล่หลังค่อยๆ เดินสำรวจภายในเรือน เรื่องการฝึกฝนยังคงอยู่ในใจ ทว่าก็จำเป็นต้องเตรียมความสามารถสำหรับป้องกันตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นจะถูกคนอื่นรังแกได้ง่ายๆ อยู่ร่ำไป ความรู้สึกที่ต้องกลายเป็นเต่าหดหัวนั้นไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ดั่งที่กล่าวกันไว้ว่าลูกผู้ชายต้องยืดได้หดได้ แต่จะหดไปตลอดก็คงไม่ได้กระมัง?

เมื่อพบห้องที่เหมาะสมห้องหนึ่งแล้ว จึงพักอยู่ที่ห้องนี้ชั่วคราว อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ว่างไม่มีอะไรทำ จึงนั่งขัดสมาธิ ฝึกวิชา ‘เอกะวิถี’ ที่ตนเองเคยฝึกเมื่อในอดีตอย่างเงียบๆ วิชานี้เขาแตกฉานมานานแล้ว จึงเริ่มฝึกฝนมันด้วยความคุ้นเคย เขาดั้นด้นทนลำบากมาจนถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เป็นเพราะเห็นความสามารถของตงกัวเฮ่าหรานมาแล้ว ต้องการมาที่นี่เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาที่สูงส่งลึกล้ำกว่านี้ แต่ตอนนี้เห็นทีว่าคงไม่ง่ายดายเช่นนั้น จึงทำได้เพียงฝึกฝนด้วยตัวเองไปก่อนชั่วคราว พยายามป้องกันตัวให้ได้

ส่วนความเป็นมาของเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ที่เขาฝึกฝน เคล็ดวิชานี้เขาค้นพบในสุสานโบราณแห่งหนึ่งเมื่อสมัยที่เขาทำงานสำรวจโบราณสถานใต้ดิน ซากศพเจ้าของสุสานอยู่ในท่านั่งสมาธิ ถือกลักหยกใบหนึ่งไว้ ด้านในบรรจุจารึกทองคำอยู่สามสี่แผ่น เนื้อหาที่บันทึกเอาไว้คือเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียร ‘เอกะวิถี’ หลังจากศึกษาค้นคว้าอย่างลำบากลำบน พลิกอ่านศึกษาถอดความตำราโบราณไม่รู้มากมายแค่ไหน ต่อมาถึงได้ฝึกฝนจนสำเร็จ ได้รับสมญานามในวงการว่า ‘เต้าเหยี่ย’

แต่เขายังไม่พอใจ เหตุผลก็ง่ายดายยิ่ง เนื้อหาในจารึกทองคำไม่กี่แผ่นนั้นมีจำกัด บันทึกไว้เพียงเคล็ดฝึกปราณบทหนึ่งและเคล็ดวิชากระบี่แขนงหนึ่ง จากข้อสรุปอันน่ามหัศจรรย์ที่ได้จากการตีความบทนำของเคล็ดวิชา ผลลัพธ์หลังจากฝึกฝนสำเร็จก็น่าจะทำให้เขาทรงอิทธิฤทธิ์เหาะเหินดำดินได้ แค่คิดก็ทำให้จิตใจคนเบิกบานแล้ว แต่เคล็ดฝึกปราณและเคล็ดวิชากระบี่บทนั้นช่างอยู่ห่างไกลจนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุถึงระดับนั้น เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตนได้เรียนรู้เป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้น เขาเชื่อว่าเคล็ด ‘เอกะวิถี’ ที่ตนเองได้ฝึกฝนนั้นมิใช่ฉบับสมบูรณ์ หลังจากนั้นเขาจึงคอยสืบหาเบาะแสของเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ฉบับสมบูรณ์มาโดยตลอด หากมิใช่เพราะเหตุนี้คงไม่มีทางประสบเคราะห์สิ้นชีพในสุสานโบราณ แต่หลังจากได้เห็นพลังของตงกัวเฮ่าหรานแล้ว ความปรารถนาของเขาก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างรุนแรง จึงตัดสินใจออกจากหมู่บ้านบนเขาแห่งนั้นอย่างไม่ลังเล

เวลาผ่านพ้นไปทีละวันๆ แม้นในหนึ่งวันจะมีอาหารสามมื้อจัดส่งให้ตรงเวลา ทว่ากลับมีความรู้สึกเหมือนตกเป็นเชลย ด้านนอกมีคนคอยเฝ้า ไม่เคยอนุญาตให้เขาก้าวเท้าออกจากประตูเรือนแม้เพียงก้าว แล้วก็ไม่มีใครคุยกับเขา คล้ายว่าตัดขาดเขาออกจากโลกภายนอกไปแล้ว

เขารบเร้าขอเข้าพบถังมู่สักกี่ครั้งก็ไร้ประโยชน์ จุดนี้ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง หากฟังจากความหมายในวาจาของตงกัวเฮ่าหรานแล้ว ดูเหมือนเขาจะเชื่อมั่นในตัวถังมู่อย่างมาก ซ้ำยังเป็นศิษย์น้องของถังมู่ด้วย ตามหลักแล้วหากบอกว่าตงกัวเฮ่าหรานสิ้นชีพ เป็นไปไม่ได้ที่ถังมู่จะไม่มาพบเขา เขาสังหรณ์ว่าอาจจะมีเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงบางอย่างที่ตนไม่รู้แฝงอยู่ในเรื่องราวนี้ก็เป็นได้ เกรงว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ผู้คุมมีท่าทางไม่เป็นมิตรกับเขา แต่เขาไม่มีโอกาสติดต่อกับโลกภายนอก อยู่ที่นี่ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงอยู่ไปวันๆ รอคอยต่อไป!

แม้นจะอยู่ว่างเช่นนี้ ทว่าเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า นอกจากฝึกฝนเคล็ดวิชาเอกะวิถีแล้ว เขาก็เริ่มออกกำลังกายจำพวกฉีกขา หกสูง ยกน้ำหนัก การจะยืดเส้นดัดกระดูกในช่วงวัยนี้นับว่าช้าไปหน่อย เรียกได้ว่าทรมานอยู่ไม่น้อย แต่ในเมื่อมีความตั้งใจแล้ว ความทรมานแบบใดเล่าที่จะทนรับไม่ได้?

นอกเหนือไปจากนี้เขาก็หยิบเอาคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนั้นออกมาดู คันฉ่องบานนี้เคยถูกซ่งเหยี่ยนชิงพบเข้าในตอนที่ค้นตัว แต่เห็นได้ชัดว่าซ่งเหยี่ยนชิงไม่ได้สนใจคันฉ่องบานนี้ ทว่ากลับให้ความสนใจป้ายชื่อที่แม่ทัพหญิงผู้นั้นผูกศรยิงส่งมาให้ หลังจากสอบถามที่มาของป้ายชื่อ อีกฝ่ายก็โยนคันฉ่องที่มองแล้วไม่ถูกตาคืนให้เขา ส่วนป้ายชื่อถูกยึดเอาไป

หนิวโหย่วเต้ากลับรู้สึกว่าคันฉ่องบานนี้ไม่ธรรมดา ประการแรกคือรู้สึกว่ามันคล้ายคลึงกับคันฉ่องโบราณที่ตนพบในสุสานใต้ดินบานนั้นยิ่งนัก ประการที่สองคือตงกัวเฮ่าหรานเคยบอกว่าเขาสละชีวิตเพื่อคันฉ่องบานนี้ อีกทั้งกำชับให้เขาส่งมอบมันต่อถังมู่เท่านั้น แล้วคันฉ่องบานนี้จะธรรมดาได้อย่างไร คาดว่าดวงตาของซ่งเหยี่ยนชิงคงไร้แวว ไม่รู้คุณค่าของมันเท่านั้น

แต่แม้นเขาจะนำคันฉ่องออกมาส่องไปส่องมา เมื่อมีเวลาว่างก็หยิบมาศึกษาค้นคว้า ทว่ากลับไม่มีความคืบหน้าอันใดเลย…

………

ตำหนักหลักของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีนามว่าวังสวรรค์พิสุทธิ์ มีคนสามคนวิ่งตรงมายังตำหนักหลัก เข้าพบหลัวหยวนกง ซูพั่วและถังซู่ซู่

ยามนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไร้ซึ่งเจ้าสำนัก ทั้งสามจึงรับผิดชอบถือป้ายคำสั่งเจ้าสำนักและจัดการเรื่องราวภายในสำนักร่วมกันชั่วคราว

หลังจากคนทั้งสามทำความเคารพเสร็จ หลัวหยวนกงก็เอ่ยถามว่า “สืบได้ความอย่างไรบ้าง?”

ศิษย์ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มรายงานว่า “ชาวบ้านในหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวยืนยันตัวตนหนิวโหย่วเต้าแล้ว น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ หนิวโหย่วเต้าออกจากหมู่บ้านมาระยะหนึ่งแล้ว ในวันที่สองหลังจากที่หมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวเจอทหารบุกปล้น หนิวโหย่วเต้าก็หายตัวไปเลย เทียบเวลาแล้วพบว่าตรงกันครับ คนในหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวก็ออกตามหาเขาอยู่เช่นกัน นึกว่าเขาถูกสัตว์ป่าทำร้ายจนตายไปแล้ว ภาพเหมือนของหนิวโหย่วเต้าคนในหมู่บ้านเห็นเพียงแวบเดียวก็จำได้ทันที ส่วนเรื่องป้ายชื่อนั่น ศิษย์น้องอู๋ไปตามหาเจ้าของป้ายชื่อที่จังหวัดกว่างอี้ ก็ได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงขอรับ”

ถังซู่ซู่เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “คำพูดคำจาของหนิวโหย่วเต้าไม่คล้ายเด็กในป่าเขา”

ศิษย์คนนั้นตอบว่า “จุดนี้ก็ตรวจสอบมาแล้วขอรับ ช่วงหลายปีก่อนมีบัณฑิตตกอับคนหนึ่งเคยมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ครอบครัวหนิวโหย่วเต้าถูกฆ่าตายในระหว่างที่เกิดสงคราม เหลือเขาตัวคนเดียว ในบ้านมีห้องว่าง บัณฑิตตกอับคนนั้นเคยอาศัยอยู่ในบ้านของหนิวโหย่วเต้า เคยสั่งสอนหนิวโหย่วเต้าให้อ่านออกเขียนได้ หนิวโหย่วเต้านับว่าเป็นคนส่วนน้อยของหมู่บ้านที่รู้หนังสือ ส่วนความรู้ของหนิวโหย่วเต้าจะลึกซึ้งเพียงใด ชาวบ้านที่มีความรู้ต่ำต้อยเหล่านั้นก็มิอาจแยกแยะได้เช่นกัน ส่วนบัณฑิตตกอับคนนั้นหลังจากไปก็ไม่ทราบข่าวอีก ยามนี้หากจะตามตัวเขามาทำการตรวจสอบคงเป็นไปได้ยากขอรับ”

หลัวหยวนกงถามต่อ “จะมีคนแสร้งเป็นคนในหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวหรือเปล่า?”

ฝ่ายศิษย์ตอบว่า “ศิษย์ไปตรวจสอบคนในหมู่บ้านก่อนแล้ว ล้วนเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านอย่างแท้จริง เรื่องนี้ไม่มีทางผิดพลาดขอรับ”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวตนของหนิวโหย่วเต้าคนนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหา” หลัวหยวนกงหันไปเอ่ยกับซูพั่วและถังซู่ซู่

ถังซู่ซู่กล่าวอย่างเฉยชา “หากมีคนจัดหาคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันมาสวมรอยเป็นหนิวโหย่วเต้าเล่า? เราให้ชาวบ้านมายืนยันตัวต่อหน้าสักหน่อยดีกว่า”

ดังนั้นหลายวันต่อมา ในที่สุดหนิวโหย่วเต้าก็ได้ออกจากสวนดอกท้อ ไม่ทราบเช่นกันว่าจะได้ไปที่ใด รู้เพียงว่าถูกพาไปยังเมืองหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ขณะที่เขากำลังสงสัยใคร่รู้กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ภายในเมือง ใครจะรู้ว่าเดินวนอยู่ในเมืองเพียงรอบเดียวก็กลับออกมาแล้ว ไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่เข้าใจเลยว่าหมายความว่าอย่างไร

หลังจากกลับมาก็ถูกขังไว้ในเรือนแห่งนั้นอีกครั้ง

ส่วนสามผู้อาวุโสแห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คล้ายจะยุ่งง่วนอยู่ เรียกศิษย์สายในของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มารวมตัวหารือกันอยู่เนืองๆ

ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม หนิวโหย่วเต้าถูกพาออกมาจากสวนดอกท้ออีกครั้ง มายังวังสวรรค์พิสุทธิ์บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม

กระถางสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่หลายใบลุกไหม้ให้ความอบอุ่นอยู่ภายในห้องโถงที่กว้างขวางโอ่อ่า ศิษย์สายในทั้งหมดในสำนักต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ หลายคนมีสีหน้าเคร่งขรึม

หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ใจกลางห้องโถงเหลียวซ้ายแลขวา เห็นคนกลุ่มหนึ่งจ้องมองตนอยู่ รู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่ามีเจตนาใด

สุดท้ายเขาก็ทำใจกล้ากล่าวไปว่า “อาจารย์สั่งเสียไว้ก่อนตายให้ข้ามาพบเจ้าสำนัก!”

หลัวหยวนกงที่ยืนอยู่ในตำแหน่งตรงกลางถอนหายใจ เอ่ยว่า “เจ้ามาช้าไป เจ้าสำนักถังมู่ล่วงลับไปแล้ว!”

“หา!” หนิวโหย่วเต้าร้องเสียงหลง ตะลึงงัน นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดถังมู่ถึงไม่ยอมมาพบตนเลย ที่แท้ก็ตายไปแล้ว

หลัวหยวนกงเอ่ยเนิบๆ ว่า “ในเมื่อตงกัวเฮ่าหรานรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว วันนี้ที่เรียกเจ้ามาก็ถือว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ยอมรับตัวตนของเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่ต้องถามเจ้า หากให้เจ้าขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เจ้ายินดีหรือไม่?”

“อะไรนะ?” ประโยคแรกฟังแล้วยินดียิ่ง ในที่สุดก็ยอมรับตนแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง หนิวโหย่วเต้าถึงกับสะดุ้งโหยง นึกว่าตนฟังผิดไป เมื่อเห็นสายตาที่ค่อนข้างตึงเครียดจากรอบข้าง ก็ชี้หน้าตัวเองแล้วเอ่ยถาม “ให้ข้าเป็นเจ้าสำนักหรือ?”

หลัวหยวนกงพยักหน้า สื่อว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป

ความคิดแวบแรกของหนิวโหย่วเต้าคือเรื่องนี้จะต้องมีแผนการอะไรซ่อนอยู่เป็นแน่ จากท่าทีที่มีต่อตนในตอนแรก มีหรือที่พวกเขาจะต้องการให้ตนเป็นเจ้าสำนัก ต่อให้เป็นความจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่ มีหรือที่เรื่องดีแบบนี้จะตกมาถึงตนเองได้ จึงรีบโบกมือตอบไปว่า “ไม่เหมาะๆ ศิษย์คุณธรรมตื้นเขิน ไม่อาจเป็นได้!”

เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกมา สีหน้าของถังซู่ซู่ก็ดูผ่อนคลายลงไม่น้อย

หลัวหยวนกงจี้ถามอีกครั้ง “เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่อยากเป็นเจ้าสำนัก?”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือปฏิเสธต่อ “ศิษย์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าสำนักต้องทำอะไรบ้าง เป็นไม่ได้จริงๆ พิจารณาผู้มีคุณธรรมท่านอื่นเถิด”

หลัวหยวนกงกวาดตามองทุกคน เอ่ยถามเสียงดัง “ได้ยินทุกคนแล้วกระมัง?”

เหล่าศิษย์ตอบอย่างพร้อมเพรียง “ได้ยินแล้ว”

นี่มันเรื่องอะไรกัน? หนิวโหย่วเต้ามองซ้ายมองขวา นึกสงสัยในการกระทำเหล่านี้

ถังอี๋ที่อยู่ท่ามกลางเหล่าศิษย์ไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา นางกลับค่อยๆ ก้มหน้าลง คล้ายไม่ค่อยกล้ามองดูสายตาของหนิวโหย่วเต้า

หลัวหยวนกงกลับโบกมือให้เขาพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

ซ่งเหยี่ยนชิงเดินเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้า ครั้งนี้กลับเผยสีหน้าแย้มยิ้ม ยื่นมือออกมาหาหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าว “ลำบากศิษย์น้องแล้ว กลับกันเถอะ!”

หนิวโหย่วเต้าละล้าละลัง ยังคงมีสีหน้าฉงนอยู่ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะเล่นเล่ห์อันใด เดินตามซ่งเหยี่ยนชิงไป

และในระหว่างที่เดินกลับ ไม่ทราบเช่นกันว่าซ่งเหยี่ยนชิงอารมณ์ดีอะไร เขาตบไหล่หนิวโหย่วเต้าเป็นระยะ ท่าทางดูสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง แทบจะคล้องคอโอบหลัง ยามที่มาถึงนอกสวนดอกท้อ ยังเอ่ยกับเฉินกุยซั่วที่รับช่วงคอยเฝ้าต่อด้วยว่า “ต่อไปล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องลั่นดาลประตูอีก ถ้าไม่มีเรื่องใดก็ให้ศิษย์น้องหนิวออกมาสูดอากาศบ้าง อ้อใช่ ไว้เพิ่มของอร่อยให้ศิษย์น้องหนิวอีกสองรายการ สุราเลิศรสอีกหนึ่งไห”

“ขอรับ!” เฉินกุยซั่วตอบรับด้วยรอยยิ้ม

หนิวโหย่วเต้าเองก็ดีใจเช่นกัน นึกว่าตนเองได้รับการยอมรับเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างเป็นทางการอย่างที่หลัวหยวนกงว่าไว้ จึงเอ่ยอย่างร่าเริงว่า “มาถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นานขนาดนี้ ยังไม่เคยสำรวจเส้นทางอย่างละเอียดเลย ข้ากำลังอยากลงจากเขาไปเดินชมบรรยากาศในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราพอดีเลย” เขาหันหลังหมายออกเดิน นึกว่าตนเป็นอิสระแล้ว

สีหน้าซ่งเหยี่ยนชิงชะงักขึ้นมา รีบยื่นมือไปขวางเขาเอาไว้ ก่อนจะชี้ไปที่หน้าผานอกเรือนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้อง ออกมาสูดอากาศนอกเรือนก็พอแล้ว อย่าลงไปวุ่นวายด้านล่างเขาเลย เจ้าเพิ่งเข้าสำนัก ยังไม่ถึงเวลาที่จะเดินไปโน่นไปนี่ได้”

“……” หนิวเต้าโหย่วพูดไม่ออก ค่อยๆ หันกลับไปมองพื้นที่เล็กๆ นอกเขตเรือน พบว่าแค่ปล่อยตนออกมาสูดอากาศจริงๆ ด้วย

ณ วังสวรรค์พิสุทธิ์ กลุ่มศิษย์สายในทยอยเดินออกมา บางคนมีสีหน้าค่อนข้างปรีดาอย่างเห็นได้ชัด บางคนมีสีหน้าค่อนข้างเงียบขรึม

จนกระทั่งเหล่าศิษย์จากไปหมดแล้ว ถังซู่ซู่ที่อยู่ในโถงผายมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไรเล่า เขาสละตำแหน่งเจ้าสำนักเองนะ”

หลัวหยวนกงและซูพั่วสบตากันพลางถอนหายใจ การจะให้หนิวโหย่วเต้าเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นั้นไม่เข้าท่าจริงๆ แต่การใช้วิธีการเช่นนี้ก็คล้ายจะต่ำช้าไปบ้าง ขอเพียงมิใช่คนโง่ คาดว่าเมื่อถามเช่นนี้ก็คงไม่มีใครตอบตกลงเป็นแน่ หากมีความจริงใจที่จะถามเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นก็ลองบอกความจริงให้หนิวโหย่วเต้ารับรู้สิ

ซูพั่วกล่าวว่า “ตอนนี้เขาแค่อาจมีสิทธิ์ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ไม่แน่อาจจะมีศิษย์คนอื่นๆ ของตงกัวเหลือรอดอยู่ก็เป็นได้ ”

ถังซู่ซู่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ทันที “ได้! เช่นนั้นรอต่อไปอีกสามเดือน หากมิมีข่าวคราว ก็จัดการตามวิธีของข้า”

ซูพั่วส่ายหน้า “ทำเช่นนี้พวกเราจะเสียเกียรติ”

ถังซู่ซู่เอ่ยเสียงขรึม “พวกเราก็แค่หวังดีต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มิเช่นนั้นศิษย์คนอื่นๆ จะเห็นด้วยได้อย่างไร ให้เด็กที่ไม่มีความรู้อะไรเลยขึ้นเป็นเจ้าสำนักมันไม่น่าขบขันหรือ? อีกอย่างเราก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างเลวร้ายด้วย ความงามของถังอี๋หากบอกว่าเป็นอันดับสองในจังหวัดจื่ออวิ๋น ผู้ใดจะกล้ารับอันดับหนึ่งเล่า? สุดท้ายแล้วก็เป็นเขาที่ได้ประโยชน์ แบบนี้พวกเราก็จะสามารถอธิบายแก่คนทั้งในและนอกสำนักได้!”

หลัวหยวนกงขมวดคิ้วเอ่ยแย้ง “หากถังอี๋รู้จะยอมตกลงหรือ?”

ถังซู่ซู่เอ่ยอย่างจริงจัง “ในฐานะศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวเจ้าสำนัก ยามคับขันเช่นนี้ จะไม่ก้าวออกมาแบกรับภาระอันหนักอึ้งได้อย่างไร ข้ามิได้เป็นเพียงผู้อาวุโสแห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นย่ารองของนางด้วย บิดามารดานางล้วนจากไปแล้ว เรื่องนี้ย่อมตกอยู่ภายใต้การตัดสินใจของผู้อาวุโสอย่างข้า”

……………………………………………………