ตอนที่ 9 ใกล้จะมีเรื่องมงคล

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 9 ใกล้จะมีเรื่องมงคล

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ากระจ่างขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่าตนถูกกักบริเวณ ก็เหมือนอย่างที่ซ่งเหยี่ยนชิงพูดเอาไว้ เขาทำได้แค่เตร่ไปเตร่มาอยู่ในเรือนและด้านนอก ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปจากเขาแม้เพียงก้าวเดียว ที่บอกว่าเพิ่งเข้าสำนักอย่าวิ่งวุ่นวาย เขาคิดว่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น หากเป็นแค่กฎสำนักจริงดั่งว่า จำเป็นต้องให้คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเฝ้าด้านนอกด้วยหรือ?

เขาแน่ใจว่าเรื่องนี้ต้องมีปัญหาอะไรอยู่แน่ แต่เขายังไม่รู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่าไรนัก จับต้นชนปลายไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เด็กหนุ่มตัวเล็กๆ อย่างเขาจะทำตัวโอหังได้ เขาทำได้เพียงเดินหน้าไปทีละก้าวด้วยความอดทน สิ่งเดียวที่มีสิทธิ์ทำคือฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง รอคอยให้ปริศนาที่ไม่รู้คำตอบนี้คลี่คลายในสักวันหนึ่ง

ท้องฟ้ายามราตรีมีหมู่ดาวส่องสกาว บนตั่งภายในห้องไร้คนนอนหนุน ทว่าข้างตั่งมีคนผู้หนึ่งทำท่าหกสูงอยู่บนพื้น

หนิวโหย่วเต้าเปลือยกายท่อนบนมือข้างหนึ่งถือกระบี่ยันพื้น อาศัยตัวกระบี่ยืดกายชี้ตรงขึ้นไปบนฟ้า มองเห็นท่อนแขนสั่นระริกอยู่เล็กน้อย ราวกับกำลังพยายามควบคุมสมดุลร่างกาย เมื่อแขนข้างนี้ยืนหยัดต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ตัวคนจึงสลับมือจับด้ามกระบี่กลางอากาศ ร่างกายโคลงเคลงเล็กน้อย พยายามควบคุมไว้อีกครั้ง สิ่งที่ฝึกฝนอยู่ไม่ใช่แค่กำลังแขน เรียกได้ว่าเป็นการฝึกฝนทักษะ ทักษะในการรักษาสมดุลร่างกาย ในด้านการประสานงานกันของกล้ามเนื้อแต่ละมัดกับร่างกายยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เรียนรู้

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือการฝึกฝนเจตน์กระบี่ สิ่งที่ต้องฝึกคือการประสานร่างกายและจิตใจกับกระบี่ หรือก็คือสภาวะคนกระบี่ผสานเป็นหนึ่ง เมื่อบรรลุถึงสภาวะนี้แล้ว ยามที่กวัดแกว่งควบคุมกระบี่ในมืออีกครั้งย่อมทำได้อย่างอิสระเสรี ขยับเพียงเล็กน้อยก็สามารถควบคุมได้ดั่งใจ

วิธีนี้เป็นแนวทางฝึกฝนกระบี่แบบพิเศษของเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ซึ่งหัวใจหลักของแนวทางนี้เรียกว่า ‘จิตบงกชโกลาหล’ ขณะที่ร่างกายอยู่ในท่าหกสูงจะทำให้โลหิตไหลย้อนกลับลงสู่ศีรษะ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า จะทำให้คนมึนงงสับสน ส่วนท่าหกสูงเสมือนดอกบัวตูม เมื่อฝึกฝนสำเร็จย่อมผลิบาน

ความยากลำบากของการฝึกฝนในช่วงแรกเพียงแค่นึกดูก็คงจะรู้ แต่เมื่อควบคุมได้ดั่งใจนึก จะสามารถรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งที่รองรับน้ำหนักกระบี่ได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ผลดีที่มีต่อการควบคุมกระบี่ในอนาคตมีมากมายจนเอ่ยได้ไม่หมด

ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียวก็สามารถยันกระบี่หกสูงได้ ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่อันที่จริงแล้วนี่เป็นการพัฒนาที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ในอดีตตอนที่หนิวโหย่วเต้าฝึกฝน เขาเสียเวลาไปกว่าหนึ่งปีถึงฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เคยผ่านมาครั้งหนึ่งแล้ว ประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้มามักจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด เขามีความรู้สึกและประสบการณ์ตรงนี้ จึงรู้ว่าควรทำอย่างไร รู้ว่าควรฝึกฝนอย่างไร ข้ามช่วงลองผิดลองถูกไปเลย เมื่อลงมือฝึกฝนจึงกลายเป็นว่าลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมหาศาล

ทว่ายืนหยัดได้แค่ครึ่งชั่วยามหนิวโหย่วเต้าก็เหงื่อไหลพรากดั่งฝนพรำ ใบหน้าแดงก่ำ เหงื่อไหลหยดลงมาจากศีรษะ ย้อยไปตามมือที่ถือกระบี่อยู่ ไหลจากกระบี่หยดลงพื้นเปียกเป็นวงกว้าง

สุดท้ายร่างกายส่ายโงนเงน ต่อให้มีประสบการณ์ในการฝึกฝนแค่ไหน แต่ด้วยกำลังแขนในตอนนี้ เขาก็ไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก จำเป็นต้องพับตัวปล่อยขาทั้งสองข้างลงมา ค้ำกระบี่หายใจเข้าลึกๆ ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ ปรับสภาพร่างกาย

เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนกระบี่มากเกินไป ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนด้านนอกรู้ตัว จึงค่อยๆ สอดกระบี่กลับเข้าฝัก ดึงผ้าขนหนูมาซับเหงื่อบนร่าง สวมเสื้อผ้า ยืดแขนยืดขา นั่งขัดสมาธิบนตั่ง เข้าสู่ฌานสมาธิอย่างรวดเร็ว ลืมเลือนความอ่อนล้าบนร่างกาย ปรับลมหายใจไปตามวิธีเดินลมปราณ…

แสงทิวาส่องสลัว รุ่งอรุณมาเยือน

เมื่อเทียบกับตอนที่เริ่มฝึกเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว ลมหายใจเข้าออกของหนิวโย่วเต้าที่นั่งสมาธิอยู่บนตั่งมีความลึกและทอดยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ยามหายใจเข้าดุจสายนทีไหลเชี่ยวถ่ายเทเข้าสู่อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหก ยามหายใจออกเอื่อยรินดั่งสาวไหมจากดักแด้ คล้ายกำลังกลั่นกรองบางสิ่งออกไปทีละน้อย

เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ท้องฟ้าสว่างไสว ดวงตะวันค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า แสงทองส่องอำไพไกลหมื่นจั้ง ยามที่สรรพสิ่งตื่นขึ้นส่งผลให้หนิวโหย่วเต้ารู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ด้วยทราบดีว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าฌานบำเพ็ญเพียรผ่านพ้นไปแล้ว ค่อยๆ เก็บลมปราณจากนั้นจึงลืมตาขึ้น

พอลุกจากตั่งก็ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ความอ่อนล้าจากการหกสูงเมื่อคืนสลายไปกับอากาศ รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

ไม่ใช่ว่าพอผ่านพ้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับบำเพ็ญเพียรไปแล้วจะไม่สามารถบำเพ็ญเพียรต่อไปได้ หากแต่เป็นเพราะว่าตอนนี้ร่างกายของเด็กหนุ่มยังเติบโตไม่เต็มที่ ยังอยู่ในช่วงเจริญวัย เป็นช่วงอายุที่ชอบขยับเขยื้อนร่างกายมากที่สุด ความเคยชินตามธรรมชาติยากจะปรับแก้ได้ เป็นช่วงอายุที่เลือดลมได้รับผลกระทบจากดินฟ้าอากาศได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเพียงแค่ฝึกฝนในช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการบำเพ็ญเพียรก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องฝืนไขว่คว้าเกินไป อีกอย่าง ด้านนอกมาส่งอาหารตรงเวลา หากเขาเอาแต่ปิดประตูไว้ตลอดไม่ยอมออกไป เกรงว่าจะก่อให้เกิดความสงสัยเอาได้

เด็กหนุ่มบ้านป่าคนหนึ่งทราบวิธีฝึกบำเพ็ญได้อย่างไร? ประกอบกับไม่รู้แน่ชัดว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีทัศนคติต่อตนเช่นใดกันแน่ เรื่องบางอย่างอย่าเผยออกไปจะดีกว่า ตอนนี้ยังไม่มีความสามารถพอจะปกป้องตัวเองได้ มากเรื่องมิสู้น้อยเรื่อง รอดูสถานการณ์ให้กระจ่างแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีดีกว่า

ในเรือนมีสายน้ำที่ดึงมาจากน้ำพุบนเขาไหลผ่าน หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย หนิวโหย่วเต้าเปิดประตูเรือนก้าวออกมาตามเวลาเดิม ใต้ต้นท้อคือสวี่อี่เทียนที่นั่งขัดสมาธิเฝ้ายามอยู่ทั้งคืน

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู สวี่อี่เทียนหันมามองแวบหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปทักทาย ทั้งสองคุยกันได้ไม่กี่ประโยค เฉินกุยซั่วก็หิ้วกล่องสำรับขึ้นเขามา ถือเป็นการมาเปลี่ยนเวรด้วย

สวี่อี่เทียนจากไป และจะกลับมาอีกครั้งช่วงส่งอาหารกลางวัน ส่วนเฉินกุยซั่วจะมาอีกครั้งในช่วงส่งอาหารเย็น สรุปคือทั้งสองสลับสับเปลี่ยนกันเฝ้ายามและนำอาหารมาส่ง

สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จับตามองอย่างเข้มงวดเช่นนี้ หากหนิวโหย่วเต้ายังมองไม่ออกมาว่ามีปัญหาแฝงอยู่ เช่นนั้นช่วงเวลาที่ตัวเขาที่เป็นเต้าเหยี่ยคลุกคลีอยู่ในวงการมานานหลายปีก็คงจะถือว่าสูญเปล่า

รู้ก็ส่วนรู้ หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้เปิดโปงเช่นกัน เขาเปิดกล่องสำรับแล้วจัดการอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว

เขาเองก็ขยันขันแข็ง หลังจากกินเสร็จก็นำถ้วยชามตะเกียบไปล้างให้สะอาดแล้วใส่กลับลงในกล่องสำรับ จากนั้นนำไปวางไว้ใต้ต้นท้อ ผู้นำกลับไปย่อมเป็นเฉินกุยซั่ว

“ศิษย์พี่เฉิน กลับไปแล้วช่วยขอเก้าอี้เอนหลังให้ข้าสักตัวสิ” หนิวโหย่วเต้าวางกล่องสำรับลงแล้วเอ่ยความต้องการ นับตั้งแต่ปฏิเสธข้อเรียกร้องที่ ‘เกินเลยไป’ ในวังสวรรค์พิสุทธิ์เมื่อครั้งก่อน ท่าทีของซ่งเหยี่ยนชิงก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่าหากต้องการอะไรให้บอกเขาได้เลย ถ้าไม่เกินความสามารถก็จะจัดการให้ได้ทุกอย่าง

เฉินกุยซั่วที่เด็ดดอกท้อมาจ่อดมตรงปลายจมูกได้ยินเสียงก็หันมามอง ยิ้มพลางเอ่ยหยอกเย้า “อายุยังน้อยจะใช้เก้าอี้เอนหลังไปไย ไฉนจึงขี้เกียจสันหลังยาวเช่นนั้น?”

หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่ใต้ต้นท้อ “จะวางไว้ตรงนี้ ปล่อยให้พวกศิษย์พี่อยู่กลางดินกลางทราย ข้าเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน”

เฉินกุยซั่วกระจ่างทันที ที่แท้ก็อ้างชื่อตนเพื่อจัดเตรียมไว้ให้พวกเขา จึงตบไหล่หนิวโหย่วเต้าเบาๆ เอ่ยชมเชย “เยี่ยมมาก ได้ กลับไปจะขอให้เจ้า”

หนิวโหย่วเต้าส่งยิ้มสดใสให้เขา มองทิวทัศน์ขุนเขาวิจิตรงดงามที่อยู่รอบข้าง “ศิษย์พี่ ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมโดยแท้ เห็นทีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราคงนับว่าเป็นสำนักใหญ่เลื่องชื่อของโลกบำเพ็ญเพียรเลยกระมัง?”

มีแค่ช่วงที่เฉินกุยซั่วอยู่ เขาถึงจะถามเรื่องพวกนี้ได้ เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คล้ายจะปกปิดเรื่องบางอย่างจากเขาอยู่

ซ่งเหยี่ยนชิงมาไม่บ่อยนัก แถมยังประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย คบหาด้วยยาก สวี่อี่เทียนปากปิดสนิทยิ่ง ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ มีเพียงเฉินกุยซั่วที่คุมปากไม่อยู่ ช่วงนี้ล้วงเอาข้อมูลจากปากเขาออกมาได้ไม่น้อยเลย แต่ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้า เขาก็จะปิดปากเงียบทันที

“หึๆ!” เฉินกุยซั่วกลั้นหัวเราะ แต่เมื่อใคร่ครวญดูเล็กน้อยก็ส่ายศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง “ช่างเถอะ เรื่องนี้บอกเจ้าได้ไม่เป็นไร สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราน่ะ ในอดีตรุ่งโรจน์ยิ่งนัก เป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแคว้นเยี่ยน บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งคือราชครูแห่งแคว้นเยี่ยน…”

จากการคุยฟุ้งอวดอ้างเป็นคุ้งเป็นแควก็สรุปความได้คร่าวๆ ว่าหลังจากแคว้นอู่ที่รวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งล่มสลายลง ใต้หล้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ครองศักดินายื้อแย่งแบ่งดินแดน ทายาทรุ่นหลังของซางซ่งผู้ที่เคยปกครองใต้หล้าเผชิญหน้ากับมรสุม ต่อมาได้สถาปนาแคว้นเยี่ยนขึ้นมา บรรพจารย์แห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คือขุนนางผู้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวง ได้รับแต่งตั้งเป็นราชครู ช่วงเวลานั้นคือยุครุ่งเรืองที่สุดของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีศิษย์มากที่สุดถึงหนึ่งหมื่นคน แต่ต่อมาด้วยสาเหตุต่างๆ จึงค่อยๆ ลดน้อยลง ปัจจุบันนี้ศิษย์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น

ส่วนปัจจุบันนี้สถานะในโลกบำเพ็ญเพียรของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอย่างไร เฉินกุยซั่วข้ามไปเลย คล้ายจะไม่อยากพูดถึง หนิวโหย่วเต้าคิดๆ ดูก็พอจะรู้ คาดว่าคงกระดากใจที่จะพูดออกมา

เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูดเรื่องนี้มากนัก หนิวโหย่วเต้าจึงเปลี่ยนหัวข้อเสีย บ่นลอยๆ ขึ้นมา “ตามปกติศิษย์พี่ซ่งจะมาทุกสามวันห้าวัน แต่ระยะนี้ดูเหมือนจะไม่เห็นศิษย์พี่ซ่งนานมากแล้ว รู้สึกคิดถึงขึ้นมาแปลกๆ”

เฉินกุยซั่วได้ฟังก็หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงถังผู้มีสมญาว่าหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งจังหวัดจื่ออวิ๋นใกล้จะมีเรื่องมงคลแล้ว ศิษย์พี่ซ่งจะไม่กระตือรือร้นได้อย่างไร…” พูดๆ อยู่ก็คล้ายว่าจะได้สติขึ้นมา ส่งเสียงกระแอมเล็กน้อย โบกมืออย่างดูแคลนพลางกล่าวว่า “พูดเรื่องนี้กับเด็กเหลือขออย่างเจ้าไปทำไมกันนะ พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

หนิวโหย่วเต้ากะพริบตา แสร้งกล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าจะไม่เข้าใจได้ยังไง ศิษย์พี่ซ่งต้องการแต่งกับศิษย์พี่หญิงถังกระมัง?”

“หวา เจ้าเด็กรู้มาก!” เฉินกุยซั่วหัวเราะฮ่าๆ ตบไหล่เขาแล้วเอ่ย “หากไม่มีอะไรผิดคาด ศิษย์พี่หญิงถังน่าจะขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป รอดื่มสุรามงคลได้เลย”

หนิวโหย่วเต้าเองก็สงสัยใคร่รู้ในตัวซ่งเหยี่ยนชิงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากสังเกตเห็นว่าความเคารพที่เฉินกุยซั่วและสวี่อี่เทียนมีต่อซ่งเหยี่ยนชิงไม่คล้ายจะเป็นความเคารพที่มีต่อศิษย์พี่ หากแต่ให้ความรู้สึกถึงการประจบเอาใจอย่างไร้ศักดิ์ศรี จึงจงใจกล่าวไปว่า “เพราะศิษย์พี่ซ่งกำลังจะกลายเป็นสามีเจ้าสำนัก พวกท่านเลยกริ่งเกรงเขาใช่หรือไม่?”

เฉินกุยซั่วถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง “ไอเด็กบ้า เพ้อเจ้ออะไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวต่อ “ข้าพูดผิดไปหรือ? หรือเพราะเขาเป็นศิษย์สายใน แต่ท่านกับศิษย์พี่สวี่ไม่ใช่? ข้าก็แปลกใจอยู่ ความสามารถของท่านกับศิษย์พี่สวี่ดูไม่น่าจะด้อยไปกว่าศิษย์พี่ซ่ง แล้วทำไมเขาได้เป็นศิษย์สายใน แต่ท่านกับศิษย์พี่สวี่ถึงไม่ได้เป็นศิษย์สายในเล่า?”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เฉินกุยซั่วคล้ายจะเศร้าใจลงเล็กน้อย ย่อตัวพิงต้นท้อแล้วนั่งลงบนรากไม้ที่ไขว้ทับกัน “ศิษย์น้อง เรื่องบางเรื่องมันก็มิได้ขึ้นอยู่กับความสามารถเพียงอย่างเดียว ภูมิหลังก็สำคัญมากเช่นกัน…”

ในวาจาเผยให้เห็นถึงความท้อแท้ พอจะเผยให้เห็นภูมิหลังของซ่งเหยี่ยนชิงออกมาคร่าวๆ ซ่งซูผู้เป็นบิดาของซ่งเหยี่ยนชิงเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสถังซู่ซู่ ที่สำคัญที่สุดคือซ่งจิ่วหมิงผู้เป็นปู่ของซ่งเหยี่ยนชิงเป็นคนใกล้ชิดของเจ้ากรมโยธาถงมั่ว ได้รับความไว้วางใจจากถงมั่วเป็นอย่างยิ่ง มีตำแหน่งเป็นเสนาบดียุติธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าเสนาบดีแห่งราชสำนัก หลังจากซ่งซูบิดาของซ่งเหยี่ยนชิงออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไป ก็คอยติดตามอยู่ข้างกายซ่งจิ่วหมิง รับตำแหน่งเป็นฝ่าซือ[1]ประจำตัว ในยุคสมัยนี้การที่ฝ่าซือคอยติดตามคุ้มกันอยู่ข้างกายขุนนางใหญ่นับเป็นเรื่องปกติยิ่ง

แน่นอน เสนาบดียุติธรรมคนนั้นมิได้มีซ่งซูเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว มิได้มีซ่งเหยี่ยนชิงเป็นหลานชายเพียงคนเดียว แล้วก็มิได้มีซ่งซูเป็นฝ่าซือประจำตัวแค่คนเดียว เพียงแต่การมีบุตรชายแท้ๆ ของตนทำหน้าที่เป็นฝ่าซือผู้คุ้มกันของตนย่อมน่าไว้ใจกว่า และด้วยความซบเซาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในปัจจุบันนี้ ทั้งสำนักต้องพึ่งพาซ่งซูให้หยิบยืมอำนาจตระกูลซ่งมาคุ้มครองสำนัก ทรัพยากรในการบำเพ็ญส่วนใหญ่ก็อาศัยช่องทางการขนส่งของตระกูลซ่งเช่นกัน หากมิใช่เพราะมีตระกูลซ่งคอยปกป้องไว้ เกรงว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงถูกสำนักบำเพ็ญเพียรอื่นๆ กำจัดทิ้งไปนานแล้ว ขอถามหน่อยเถิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ซ่งเหยี่ยนชิงจะมีคุณสมบัติย่ำแย่แค่ไหน แต่การจะมอบสถานะศิษย์สายในให้เขามันเป็นปัญหาด้วยหรือ?

หนิวโหย่วเต้าพลันกระจ่างแจ้ง ความจริงแล้วเจ้ากรมโยธาก็คืออัครมหาเสนาบดีของแคว้นแคว้นหนึ่ง ปู่ของซ่งเหยี่ยนชิงเป็นคนสนิทของอัครมหาเสนาดี ตำแหน่งเสนาบดียุติธรรมเท่ากุมอำนาจตุลาการในแคว้นเอาไว้ มิน่าล่ะ

“เฮ้อ พูดเรื่องพวกนี้ไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก” เฉินกุยซั่วโบกมือ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเย้ยหยันตัวเองอยู่เล็กน้อย

……………………………………………..

[1] ฝ่าซือ หมายถึงนักบวชหรือนักพรตที่ทำหน้าที่คุ้มครองขุนนาง