ตอนที่ 10 สะพานนี้อยู่ที่ใด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 10 สะพานนี้อยู่ที่ใด?

เขาบอกว่าตนไม่เข้าใจ หนิวโหย่วเต้าจึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจไปเสีย มิเช่นนั้นหากบอกเด็กจากหมู่บ้านในป่าเขาคนหนึ่งสามารถเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็ออกจะเหลวไหลไปเสียหน่อย

คุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันอีกสักพัก หนิวโหย่วเต้าจึงกลับเข้าเรือน

เดินเล่นภายในเรือนอยู่พักหนึ่ง เขาก็เข้าไปใน ‘โถงดอกท้อ’ นั่งลงบนเบาะกลม พลางดึงตะกร้าสานใบเล็กด้านข้างที่ใส่ของจิปาถะไว้เข้ามา ด้านในมีข้าวของจำพวกเข็มด้ายและกรรไกร แล้วก็ยังมีคันฉ่องสัมฤทธิ์อีกสองบานด้วย ดูเผินๆ ล้วนเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น ไม่มีจุดผิดแผกสะดุดตาอะไร ทว่าคันฉ่องบานหนึ่งในนั้นคือคันฉ่องที่เขาพกพามาด้วยบานนั้น

สิ่งที่ตงกัวเฮ่าหรานฝากฝังไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ เขากลับวางไว้ส่งเดชเช่นนี้ นั่นมิใช่เพราะที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดหรอกหรือ หากเก็บซ่อนไว้มิดชิดเกินไปแล้วถูกผู้อื่นค้นเจอเข้าคงทำให้เกิดความสงสัยเป็นแน่

เขาถือคันฉ่องไว้ในมือพลางพลิกดู เจ้าสิ่งที่ไม่รู้ควรจะทำอย่างไรกับมันชิ้นนี้ทำให้เขาค่อนข้างกลุ้มใจ

เห็นได้ชัดว่าคำสั่งเสียของตงกัวเฮ่าหรานนั้นไม่ธรรมดา เพราะอีกฝ่ายเอาชีวิตของตัวเองมาฝากฝังไว้กับเขา การที่เขาสามารถเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการได้ถึงขนาดนั้นเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกที่แล้ว ย่อมเป็นเพราะในใจเขามี ‘ศีลธรรม’ สองคำนี้อยู่ ทว่าถังมู่ตายไปแล้ว ตงกัวเฮ่าหรานกำชับไว้นักหนาว่าต้องมอบสิ่งนี้ให้ถังมู่เท่านั้น ห้ามให้บุคคลอื่นทราบ จุดนี้ทำให้เขาลำบากใจยิ่ง

เขาเองก็ลังเลว่าจะมอบสิ่งนี้ให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดีหรือเปล่า เหตุผลที่ลังเลเป็นเพราะคำสั่งเสียของตงกัวเฮ่าหราน แล้วก็เป็นเพราะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปฏิบัติต่อเขาได้ย่ำแย่จริงๆ เอาแต่กักบริเวณเขามาตลอดจนถึงตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะตรวจสอบคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนี้อย่างละเอียดเสียหน่อย ดูว่าเขาจะไขปริศนาในตัวมันได้หรือไม่ จากนั้นค่อยดูสถานการณ์ว่าจะส่งมอบมันให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไม่

ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเผาไฟ แช่น้ำ ส่องแสง เคาะฟังเสียง เขาลองใช้สารพัดวิธีกับคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนี้แล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ เลย คันฉ่องบานนี้คล้ายเป็นเนื้อเดียวกันทั้งบาน เมื่อฟังจากเสียงที่เคาะแล้ว คล้ายด้านในไม่มีร่องรอยของกลไกใดๆ

ตอนนี้เขาสงสัยเล็กน้อยว่าคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนี้จะเป็นแค่สิ่งของที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า

พลิกไปพลิกมาตรวจสอบดู สุดท้ายก็ยังเหมือนเดิม ไม่พบอะไรเลย หนิวโหย่วเต้าแยกเขี้ยว โยนคันฉ่องกลับไปในตะกร้าใบเล็ก

จากนั้นก็ฝึกฝนร่างกายอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เช่น ยกน้ำหนัก ฉีกขา ดึงเชือก โหนคาน ตีลังกา มิใช่ว่าต้องการฝึกให้ร่างกายสูงใหญ่บึกบึนแต่อย่างใด หากแต่ต้องการฝึกฝนความยืดหยุ่นของร่างกาย จากประสบการณ์ในการทำงานของเขา ทำให้เขาทราบดีว่าหากปลดล็อกทักษะการโจมตีและการป้องกันตัวของแขนขาและลำตัวบางส่วนได้ เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องป้องกันตัวในยามคับขัน มันจะช่วยให้เอาชีวิตรอดได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ได้ยินมาจากหมู่บ้านหรือในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มันก็ล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่าโลกใบนี้ตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เขาต้องพยายามเตรียมตัวล่วงหน้าเผื่อเกิดเหตุคับขันในอนาคตขึ้น

การฝึกฝนแบ่งเป็นบุ๋นบู๊ นอกจากฝึกฝนวิชาและสมรรถภาพร่างกายแล้ว ยามว่างเขาก็จะไปรื้อหาพู่กันหมึกกระดาษและจานฝนหมึกภายในเรือนเพื่อฝึกเขียนตัวอักษรเสี่ยวจ้วนที่ใช้กันแพร่หลายในโลกนี้ คัดเลียนแบบจากม้วนตำราบางส่วน สำหรับ ‘นักโบราณคดีอาวุโส’ อย่างเขาแล้ว การจะจำแนกแยกแยะตัวอักษรเสี่ยวจ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ลายมือของเขาเองก็ไม่เลวเช่นกัน แต่เขายังไม่เคยใช้พู่กันเขียนอักษรเสี่ยวจ้วนอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อน ทิศทางการจรดปลายพู่กันเองก็แตกต่างจากตัวอักษรแบบอื่น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฝึกฝน

โชคดีที่ทักษะการเขียนพู่กันของเขาดีเป็นทุนเดิม เริ่มแรกมีผิดรูปผิดรอยอยู่บ้าง แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียวก็เข้ารูปเข้ารอยแล้ว

ข้างชั้นหนังสือมีเตาถ่านอยู่ พอเขียนเสร็จก็จะเผาผลงานของตนทิ้ง

สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกคัดอักษรของเขา สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีอยู่พร้อมพรั่ง นี่ถือเป็นข้อดีจากการที่ซ่งเหยี่ยนชิงมีความสุข

ถูกกักบริเวณมาจนถึงตอนนี้ ด้วยความสามารถที่มีอยู่ในตอนนี้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น แต่เขาก็จัดการให้ทุกๆ วันของตนมีอะไรทำอยู่เต็มไปหมด…

วันต่อมา เก้าอี้เอนหลังใหม่เอี่ยมที่ยังคงมีกลิ่นหอมของไม้กระจายออกมาตัวหนึ่งถูกวางเอาไว้ใต้ต้นท้อ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าทำขึ้นมาใหม่

เฉินกุยซั่วชี้เก้าอี้เอนหลังพลางหยักคิ้วหลิ่วตา เอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “ศิษย์น้องเล็ก เก้าอี้เอนหลังที่เจ้าต้องการมาแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าไม่คิดเลยว่าเขาจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ คาดว่าคงเป็นเพราะจะนำเก้าอี้มาให้ตัวเฉินกุยซั่วใช้เอง จึงประสานมือพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณศิษย์พี่เฉิน”

ครั้งนี้ซ่งเหยี่ยนชิงที่ไม่ได้พบกันเสียนานก็มาด้วย ท่าทางดูอารมณ์ดี พอเห็นหนิวโหย่วเต้าก็ยิ้มแย้มขึ้นมา เผยความขี้เล่นในรอยยิ้ม เจือความร้ายกาจอยู่เล็กน้อย เขาตบไหล่หนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยถาม “ศิษย์น้องเล็ก อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “สบายดีๆๆ ของกินอร่อยกว่าในหมู่บ้านนับหมื่นเท่า แต่อุดอู้อยู่ที่นี่ออกไปเดินเล่นไม่ได้ รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง”

ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยอย่างร่าเริง “เจ้าเพิ่งมาได้ไม่นาน สงบใจไปก่อน หากสงบใจไม่ได้จะบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร? วางใจเถอะ ต่อไปเจ้าได้ออกไปเดินแน่” พูดจบก็เอามือไพล่หลังเดินไปที่ริมผา ทอดสายตามองไปยังวังสวรรค์พิสุทธิ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เผยสีหน้าวาดฝันจินตนาการงดงาม แต่ก็มีการขมวดคิ้วใช้ความคิดบ้างเป็นครั้งคราว สุดท้ายถอนหายใจคราหนึ่ง “น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง!”

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปหา เอ่ยด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ซ่ง เมืองหลวงทำไมเหรอ?”

ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยรำพัน “ป่าเขากันดาร ไม่อาจเทียบความรุ่มรวยด้านโคลงกลอนศิลป์กวีในเมืองหลวงได้!”

หนิวโหย่วเต้างงงันขึ้นมาทันที โคลงกลอนศิลป์กวีอย่างนั้นหรือ? คนในเส้นทางบำเพ็ญเพียรอย่างเจ้ามารำพึงรำพันถึงโคลงกลอนศิลป์กวี นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

มุมปากเฉินกุยซั่วกระตุกยิกๆ น่าจะแอบหัวร่ออยู่ ในเวลาส่วนใหญ่แล้วเขากับสวี่อี่เทียนจะเป็นผู้ติดตามของซ่งเหยี่ยนชิง จึงทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ซ่งเหยี่ยนชิงชมชอบถังอี๋มานานหลายปี และถังอี๋ก็ชื่นชอบโคลงกลอนศิลป์กวีที่มีความคล้องจองเหล่านั้น ซ่งเหยี่ยนชิงอยากเอาใจนาง เมื่อทางเมืองหลวงมีโคลงกลอนอันใดออกมาจะให้คนรีบส่งมาให้เขาทันที ส่วนเขาก็เอาไปกำนัลถังอี๋ ครั้งนี้ไม่ทราบว่าซ่งเหยี่ยนชิงไปทำอีท่าไหนมา คาดว่าทางเมืองหลวงคงไม่ได้ส่งโคลงกลอนดีๆ มาให้เป็นเวลานาน จึงคันไม้คันมือ ลงมือเขียนโคลงกวีด้วยตัวเอง ก่อนจะมาถามเขากับสวี่อี่เทียนว่าเป็นอย่างไร พวกเขาทั้งสองไหนเลยจะกล้าบอกว่าเขียนไม่ดี พวกเขาย่อมต้องบอกว่าดี ผลคือซ่งเหยี่ยนชิงรีบสะบัดก้นนำไปมอบให้ถังอี๋ เรื่องราวในระหว่างนั้นเป็นอย่างไรเขาไม่ทราบ แต่หลังจากซ่งเหยี่ยนชิงกลับมาสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร ซ้ำยังด่าทอเขากับสวี่อี่เทียนเพื่อระบายโทสะ เพียงแค่ลองคิดดูก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ดังนั้นเขาจึงทราบถึงอารมณ์ของซ่งเหยี่ยนชิงดี หากอยู่ในเมืองหลวงที่โคลงกลอนเฟื่องฟู ด้วยอำนาจของตระกูลซ่ง การเชิญตัวยอดกวีฝีมือดีมาเขียนโคลงสักบทแล้วนำไปกำนัลให้ถังอี๋โดยแอบอ้างว่าเป็นผลงานตนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่อยู่ในสำนักบำเพ็ญเพียรเช่นนี้กลับยากยิ่ง ดังนั้นความคันไม้คันมือเพียงชั่วครู่จึงเป็นเหตุให้ต้องอับอายต่อหน้าถังอี๋

ซ่งเหยี่ยนชิงที่ดึงสติกลับมาคล้ายไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ หันหลังเดินเข้าเรือนไป สำรวจตรวจตรารอบๆ

เขารับผิดชอบเฝ้าดูหนิวโหย่วเต้า จึงไม่มีทางที่จะปล่อยปละละเลยไม่ดูแล การที่บางครั้งบางคราวมาตรวจดูเสียหน่อยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องก็เป็นเรื่องที่สมควร

หนิวโหย่วเต้าที่ยังอยู่ด้านนอกหันไปขอคำอธิบายจากเฉินกุยซั่ว “เหตุใดศิษย์พี่ซ่งถึงหมกมุ่นอยู่กับโคลงกลอนศิลป์กวีเล่า?”

เฉินกุยซั่วคันปาก เอ่ยกระซิบว่า “สำนักของพวกเราเคยมีผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำน่าตะลึงคนหนึ่ง ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกบำเพ็ญเพียรในแง่ของพลังเท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์รอบด้าน โคลงกลอนศิลป์กวีแตกฉานโดดเด่น ยามเยาว์ศิษย์พี่หญิงถังเคยอยู่ข้างกายเขา นับว่าเป็นลูกศิษย์ของเขา ซึมซับรับความสง่างาม อีกทั้งพลอยชมชอบโคลงกลอนศิลป์กวีไปด้วย!”

หนิวโหย่วเต้าพลันกระจ่าง พูดอีกอย่างก็คือซ่งเหยี่ยนชิงคิดอยากเอาใจหญิงงาม ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวคนที่เฉินกุยซั่วเอ่ยถึงผู้นั้น “ไม่ทราบว่าผู้ที่ศิษย์พี่หญิงถังติดตามคือผู้อาวุโสท่านใดหรือ?”

เมื่อเอ่ยถึงผู้อาวุโสคนนี้ เฉินกุยซั่วตะลึงงันไปเล็กน้อย ดวงตาฉายแววหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะตระหนักได้ว่าไม่ควรพูดส่งเดช จึงถลึงตาใส่หนิวโหย่วเต้าคราหนึ่ง เสมือนเป็นคำเตือนหนิวโหย่วเต้าว่าอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม ก่อนจะปิดปากเงียบ รีบเดินเข้าไปในเรือน

หนิวโหย่วเต้ากลอกตาแวบหนึ่ง รีบตามเข้าไปด้วย

หลังจากวนดูรอบหนึ่ง ซ่งเหยี่ยนชิงก็เอ่ยกำชับเฉินกุยซั่วสองสามประโยค จากนั้นเอามือไพล่หลังหมายเดินจากไป ทว่าหนิวโหย่วเต้ารีบไล่ตามเข้ามา ร้องตะโกนว่า “ศิษย์พี่ซ่ง ตอนอยู่ในหมู่บ้าน อาจารย์ข้าก็เคยเขียนบทกลอนอยู่บ่อยๆ ข้าจดจำมาเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเขียนเป็นอย่างไรบ้าง ท่านช่วยติชมหน่อยได้หรือไม่”

ซ่งเหยี่ยนชิงไม่มีแม้กระทั่งความคิดที่จะเหลียวกลับมามอง ฝีเท้าก้าวเดินไม่หยุด พลางตอบกลับมาว่า “บัณฑิตตกอับในถิ่นกันดาร จะเขียนของดีอันใดออกมาได้?” จากนั้นหัวเราะพรืดออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกดูแคลน

บัณฑิตตกอับในถิ่นกันดาร? หนิวโหย่วเต้าใจเต้นแรง เห็นทีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงจะสืบค้นประวัติความเป็นมาของเขาแต่แรกแล้ว เรื่องที่ตนเคยมีบัณฑิตตกอับคนหนึ่งเป็นอาจารย์ให้ เขาก็เพิ่งจะทราบในตอนที่หลอกถามเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับตัวเองจากคนในหมู่บ้าน

แต่เขาดั้นด้นผ่านความยากลำบากมาถึงที่นี่ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะความสามารถอันน่าตะลึงของตงกัวเฮ่าหราน่ะสิ มิใช่มาเพื่อถูกกักบริเวณเสียเวลาไปเปล่าๆ เขาอยากฝึกฝนวิชาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ก็รู้สึกจนปัญญาที่หลังจากถูกกักบริเวณก็ไม่สบช่องให้ลงมือเลย ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสเช่นนี้ได้ หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะยอมพลาดไปง่ายๆ เอ่ยพึมพำว่า “อาจารย์ข้าบอกว่าเขาเคยท่องไปทั่วเมืองหลวง กลอนรักบางส่วนที่เคยเขียนออกมาได้รับความชื่นชมจากสตรีไม่น้อยเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่งเหยี่ยนชิงจึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้าที่กำลังจะก้าวพ้นประตูเรือนแล้วหันกลับมา

เฉินกุยซั่วเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต้าพูดไปเพราะได้ยินในสิ่งที่เขาเล่าให้ฟังเมื่อครู่นี้ เจ้าเด็กนี่อายุเท่านี้กลับฉลาดเฉลียว คล้ายจะไม่ธรรมดา!

“โอ้! อาจารย์ของเจ้าแต่งกลอนอะไรออกมาหรือ ไหนลองว่ามาให้ข้าฟังหน่อย” ซ่งเหยี่ยนชิงหันกลับมา ท่าทางคล้ายสนใจอยู่บ้าง

หนิวโหย่วเต้ากลับเข้าไปในโถงดอกท้อทันที คุกเข่านั่งลงข้างโต๊ะหนังสือ รินน้ำฝนหมึก ดึงกระดาษออกมาวางบนโต๊ะ วางที่ทับไว้ตรงขอบสองด้าน ยกพู่กันจุ่มหมึก จรดพู่กันเขียนอักษรเสี่ยวจ้วนออกมาทีละตัว

“สมกับที่เคยร่ำเรียนเขียนอักษรมาก่อน อักษรที่เขียนก็ได้เรื่องได้ราวอยู่บ้างนี่!” ซ่งเหยี่ยนชิงเดินมาหยุดข้างโต๊ะเอ่ยชมประโยคหนึ่ง สายตาค่อยๆ กวาดมองไปตามตัวอักษรพลางอ่านออกเสียง “เมฆาพลิ้วพิลาส ดาราคล้อยแสนกำสรด ธารสวรรค์พาดผ่านรัตติกาล วาตะทองน้ำค้างหยกได้พบพาน เลิศล้ำแดนมนุษย์มิอาจเทียบ…” เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้สองตาพลันส่องประกาย มาตรว่าเขาจะเขียนบทกลอนดีๆ ออกมาไม่ได้ ทว่าความสามารถในการติชมบทกลอนยังพอมีอยู่ อย่างน้อยก็ยังแยกแยะได้ว่าดีหรือไม่

เมื่อหนิวโหย่วเต้าหยุดมือ ซ่งเหยี่ยนชิงก็อดรนทนไม่ไหวรีบดึงที่ทับกระดาษออกไป ถือกระดาษจารน้ำหมึกไว้ในมือ เป่าคราบน้ำหมึกเล็กน้อย อ่านต่ออีกครั้งอย่างอดใจไม่อยู่ “อ่อนละมุนดุจวารี งดงามดั่งภาพฝัน ฝืนบ่ายหน้าข้ามสะพานสาลิกา แม้นพรากจากห่างไกลไปแสนนาน แต่รักหวานยืนยงคงนิรันดร์…แม้นพรากจากห่างไกลไปแสนนาน แต่รักหวานยืนยงคงนิรันดร์” หลังอ่านประโยคสุดท้ายซ้ำอีกครั้ง เขาพลันส่ายหน้าทอดถอนใจ “กลอนดี! กลอนดี!” รู้สึกว่ากลอนนี้เขียนได้เหมาะกับสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เหลือเกิน

หนิวโหย่วเต้าลอบขบขัน วางพู่กันลง จากนั้นลุกขึ้นยืน แสร้งเอ่ยถามอย่างไม่รู้เรื่องว่า “กลอนดีหรือขอรับ?”

ซ่งเหยี่ยนชิงพยักหน้า สายตาจับจ้องตัวอักษรซ้ำไปซ้ำมา พลันมองเขาด้วยแววตาสงสัย เอ่ยถามว่า “สะพานสาลิกาคืออะไร? สะพานนี้อยู่ที่ไหน?”

“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกอยู่บ้าง ดูเหมือนโลกนี้จะไม่มีตำนานหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า จึงเอ่ยเฉไฉไป “อาจารย์เป็นผู้แต่ง สะพานสาลิกาอยู่ที่ไหนข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”

ซ่งเหยี่ยนชิงคิดๆ ดูเห็นจริงดั่งว่า หันไปสบเข้ากับสายตาทึ่มทื่อของเฉินกุยซั่วจึงเอียงคอส่งสัญญาณ ไล่เฉินกุยซั่วออกไป

เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว ซ่งเหยี่ยนชิงยิ้มละไมเอ่ยกับหนิวโหย่วเต้า “เจ้าบอกว่าอาจารย์ของเจ้ามักจะแต่งบทกลอนเช่นนี้บ่อยๆ หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าคิดในใจ ข้ามีอยู่เต็มท้องเลยล่ะ เจ้าอยากได้เท่าไรก็มีเท่านั้น จึงพยักหน้ากล่าวตอบ “คล้ายว่าจะใช่”

……………………………………………..