ตอนที่ 7 ข้อสงสัยทั้งหมดเป็นความผิดพลาด (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 7 ข้อสงสัยทั้งหมดเป็นความผิดพลาด (2)

หลังจากจบบทกวีปลุกใจก็จวนได้เวลาแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงเข้าบ้านเพื่อหวังเก็บกวาดภายในก่อนจะไปเตรียมอาหารกลางวัน

ทันทีที่เข้ามายังห้องโถงกลับพบหนิงเซ่าชิงที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างโต๊ะ เขาหันมองมาที่นางด้วยสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

จู่ๆ มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา

การกระทำของเขาทำให้นางรู้สึกเคืองเป็นอย่างมาก คิดได้เช่นนั้นร่างบางจึงเงยหน้าขึ้นสบตาคู่นั้นกลับอย่างไม่นึกยอมแพ้ บทกวีของนางมันทำไมกัน หรือสาวใช้ไม่สามารถท่องบทกวีได้อย่างนั้นหรือ

รอบตัวรุ่มร้อนเป็นไฟ เวลานี้บรรยากาศช่างน่าอึดอัดใจเสียจริง

มั่วเชียนเสวี่ยที่ทนแรงกดดันต่อไปไม่ไหว สายตาดุดันเมื่อได้รับการพิจารณา ในที่สุดหนิงเซ่าชิงก็เปิดปากพูดขึ้น

“เจ้าเคยเข้าโรงเรียนมาก่อนหรือ” สาวใช้ที่รู้ตัวอักษรนั้นนับว่ามีมากแต่จะหาที่สามารถท่องบทกวีได้ไพเราะเช่นนี้ น้อยนักที่จะปลุกเร้าใจคนที่ได้ฟังให้มีแรงฮึกเหิม ยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่าบทกวีนี้ผู้ประพันธ์คงเป็นระดับปรมาจารย์จึงจะแต่งออกมาได้ยอดเยี่ยมเพียงนี้ หากเขากลับไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

ความจริงไม่อาจถูกปิดบังไปได้ตลอดและมั่วเชียนเสวี่ยทราบเรื่องนี้ดี คำพูดที่มีนัยยะของคนตรงหน้าราวกับว่าเขากำลังสงสัยในตัวนางอยู่

อันที่จริงแล้วคำถามนี้นางเองก็เคยคิดหาคำตอบอยู่หลายต่อหลายครั้ง ภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่เคยปรากฏในห้วงความฝันของนาง…

หญิงสาวคนนั้นไม่ใช่คนอ่อนแอ มิหนำซ้ำกลับรายล้อมไปด้วยสาวใช้ในคฤหาสน์หลังใหญ่โต ท่ามกลางสวนดอกไม้ ภายใต้ระเบียงทางเดินยาวและเสียงพูดคุยสนุกสนาน ดูแล้วน่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและอำนาจมากคนหนึ่ง…เจ้าของเดิมของร่างนี้

ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยก็คือมั่วเชียนเสวี่ย ไม่ว่าเจ้าของร่างเดิมจะมีชื่อเสียงและอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด นางเองก็ยังคงอยากที่จะเป็นเพียงตัวนาง

ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้ปกปิดเรื่องราวทุกอย่างและอ้างว่าตนเองเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก

เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างเศร้าใจ สบสายตากับร่างสูงอีกครั้งพลางโกหก “ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเรียนนะ” ความยากลำบากในการเรียนตลอดสิบหกปีแต่กลับพูดว่าตนเองไม่เคยเรียน พูดแล้วแทบอยากจะกัดลิ้น เอาเถอะ สมัยโบราณนางเองก็ไม่เคยเรียนโรงเรียนสามัญจริงๆ เสียด้วย อย่างน้อยก็ไม่นับว่าพูดปดหรอกจริงไหม

ยามเห็นใบหน้าที่เคลือบแคลงใจของหนิงเซ่าชิงก็ยกยิ้มกระเง้ากระงอดพร้อมกับพูดขึ้นต่อ “ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ ครั้นเป็นไข้ในตอนนั้นทำให้สูญเสียความทรงจำในอดีตไปครึ่งหนึ่ง ฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเคยเรียนหรือไม่ อีกอย่างข้าก็รู้เพียงไม่กี่ตัวอักษรหรอก”

หลังจากเอ่ยจบ ดวงตาของนางแดงก่ำคล้ายกับว่ากำลังถูกตอกย้ำปมที่อยู่ในใจ “ถ้าหากว่าข้าเคยเรียนจริงๆ แน่นอนว่าก็คงต้องเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในตระกูลที่ร่ำรวย จะมาร่อนเร่พเนจรอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”

หนิงเซ่าชิงไม่ใช่คนใจร้าย เมื่อเห็นหยาดน้ำใสในตาของนางและคำพูดเช่นนั้น ใจเขาก็พลันอ่อนยวบในทันที

คงเป็นเพราะเคยชินกับความเย็นชาไปแล้ว ไม่มีคำขอโทษจากหนิงเซ่าชิง เขาเพียงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็หยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาเริ่มอ่านโดยไม่ซักไซร้สิ่งใดต่อ

เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร มั่วเชียนเสวี่ยจึงเก็บกวาดสิ่งที่คั่งค้างไว้แล้วเดินเข้าห้องครัวไป

หลังจากร่างบางออกไปไม่นาน หนิงเซ่าชิงก็วางหนังสือลง นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะพร้อมกับในหัวที่กำลังจมดิ่งอยู่กับเรื่องของมั่วเชียนเสวี่ย

แต่ไหนแต่ไร เขาถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นผู้นำตระกูลตั้งแต่ยังเล็ก การวิเคราะห์ปัญหานับว่าเป็นสิ่งที่คุ้นชินอยู่แล้ว

ข้ออ้างของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อสักครู่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ก็ยังหาช่องโหว่อะไรไม่พบ

สาวใช้ที่มีวิชาความรู้มากกว่าคุณหนูอย่างนั้นหรือ แท้ที่จริงคนแบบนี้ก็มีเยอะแยะ

เพียงแต่ อากัปกริยาของคนที่เป็นเจ้านายหรือสาวใช้ ใช่ว่าจะสามารถอบรมและฝึกฝนให้เป็นกันได้ในเวลาอันสั้น กริยาท่าทางของคนที่เขาเลือกมาเป็นภรรยา ชัดเจนว่าต้องคุ้นเคยกับการเป็นเจ้านายอยู่ก่อนแล้ว!

คุณหนูผู้สูงศักดิ์ นึกไม่ถึงว่าจะสามารถอดทนทำไร่ทำนา ทำการเกษตร จัดโต๊ะ เก็บกวาดบ้านเรือน…

มุมปากของหนิงเซ่าชิงยกขึ้นเล็กน้อย ภรรยาตัวน้อยของเขาช่างน่าสนใจจริงๆ

แต่ว่า ร่างกายของเขา…

มุมปากที่ยกขึ้นนั้นยังไม่ทันได้ปรากฏให้เห็นเส้นรัศมีที่งดงามที่สุด แต่กลับต้องถูกแทนที่ด้วยเสียงถอนหายใจที่เศร้าสร้อย

หลังปิดประตูห้องครัว สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยสลดลง สองคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย

……

ร่างเดิมเป็นหญิงสาวอายุสิบสี่สิบห้าปี ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลนอนอยู่กลางป่าที่รกร้าง คาดว่าคงเพิ่งพบเจอกับความยากลำบากมาอย่างแสนสาหัส

นางในร่างของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตใหม่ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปตามขุดคุ้ยทวงบุญคุณหรือความแค้นจากคฤหาสน์หลังใหญ่นั่น

ทว่า ความลับไม่มีในโลก

ยิ่งปกปิดมากเท่าใด ยิ่งต้องเก็บซ่อนเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่านั้น

ดูเหมือนว่านางจะต้องรีบมีอำนาจขึ้นมา

ไม่เพียงแต่เพื่อไม่ให้ถูกขายเป็นทาส ทั้งเกรงว่าตัวตนที่น่าสงสัยของร่างนี้อาจนำความลำบากมาสู่นางได้ในสักวัน

หลังจากเที่ยงวันผ่านไป อาซ้อจางผู้เป็นมารดาของจู้จื่อได้แวะเวียนมาหาที่บ้านตามการตอบรับ

ดูเป็นหญิงแต่งงานแล้วที่คล่องแคล่วคนหนึ่ง

สุขุมเป็นดูมีปัญญา ยิ่งมีตำแหน่งชื่อเสียงก็จะทำให้เป็นที่น่าเคารพนับถือ หากมีความรู้การศึกษา ฐานะทางสังคมก็จะถูกยกย่องให้สูงขึ้น

นับตั้งแต่ที่จู้จื่อเข้าโรงเรียน คนในหมู่บ้านก็ให้เกียรตินางมากกว่าเดิม ทั้งคนในครอบครัวหรือแม้กระทั่งพ่อแม่ก็มองเห็นคุณค่าของนางมากขึ้นด้วย

หลังจากได้รับคำเชิญจากซวนจื่อว่าหนิงเหนียงจื่ออยากให้อาซ้อจางแวะไปพูดคุยที่บ้าน ครั้นคิดถึงวันที่บุตรชายจะได้สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล หากต่อไปท่านอาจารย์หนิงเฝ้าดูแลเอาใจใส่จู้จื่อมากขึ้นอีกสักหน่อย…อาซ้อจางกัดฟันพลางถือขนมที่สามีฝากมาให้

“น้องได้ยินมาว่าอาซ้อจางเป็นคนที่เก่งมาก แม้ยังไม่ได้พบหน้ากันก็รู้สึกเกิดถูกชะตาขึ้นมา เดิมทีน้องควรจะไปเยี่ยมเยียนที่บ้าน แต่เพราะไม่รู้เส้นทาง ทั้งสามีก็เจ็บป่วย การให้อาซ้อมาด้วยตนเองเช่นนี้นับว่าเกรงใจมากเหลือเกิน แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีธุระอะไรสำคัญ เพียงอยากนั่งพูดคุยกับอาซ้อจางก็เท่านั้น”

“เกรงใจอะไรกัน คนหมู่บ้านเดียวกันก็ควรจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ”

หลังจากคุยเล่นกันสองสามประโยค มั่วเชียนเสวี่ยยกยิ้มอย่างอ่อนโยน สองมือรับขนมจากอาซ้อจางมาวางไว้บนโต๊ะ “อาซ้อช่างเป็นคนมีน้ำใจ เพียงมาหาน้องก็นับว่าเป็นเกียรติมากแล้วและยังนำของกินเหล่านี้ติดไม้ติดมือมาฝากอีก เหตุใดไม่เก็บไว้ให้จู้จื่อและคนที่บ้านเล่า”

“ที่บ้านยังมีเหลืออยู่อีกบ้าง เพียงพอที่จะให้พวกเขากินได้ตามที่ต้องการ”

อาซ้อจางพูดด้วยสีหน้าหยิ่งยโสโดยไม่รู้ตัว

ในหมู่บ้าน ฐานะตระกูลจางนั้นถือว่าอยู่ในชนชั้นสูง ครอบครัวมีรถม้า สามีทำงานในตัวเมือง ปกติแล้วใครๆ ต่างก็มาประจบประแจงทั้งนั้น เพียงหวังผลประโยชน์จากการที่สามีไปทำงานในตัวเมืองเพื่อฝากสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ติดมือกลับมา ซึ่งมั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ใช่คนแรกที่ทำเช่นนั้น

“ยามนี้หนิงเหนียงจื่อน่าจะดีขึ้นมากแล้ว! อาจารย์หนิงก็คงดีขึ้นบ้างแล้วใช่ไหม เมื่อไหร่จะเริ่มเรียนได้ล่ะ”

ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของอาซ้อจางเพิ่มมากขึ้น ฟังจากน้ำเสียงในการพูดก็พอจะรู้

มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วแต่ยังเผยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท “ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของอาซ้อ ร่างกายของน้องดีขึ้นมากแล้ว ร่างกายของสามีก็ดีขึ้นแล้วบ้างเช่นกัน ทั้งนี้อาซ้อมาได้จังหวะพอดี เมื่อตอนกลางวันสามีได้ฝากให้น้องไปแจ้งข่าวที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านว่าหลังจากนี้สามวันก็เริ่มเรียนได้”

คนลักษณะแบบนี้เคยพบเจอมาก็นับว่ามาก ขอเพียงไม่สร้างความเดือดร้อนมาถึงนาง ก็ไม่จำเป็นต้องไปโต้เถียงให้มากความ

“นั่นถือเป็นข่าวดีมากจริงๆ! เจ้ายังไม่รู้จักทางใช่ไหม ข้าแวะผ่านไปทางนั้นพอดี ข้าไปส่งเจ้าเอง!”

แค่ฟังจากเสียงการพูด ก็มองออกได้ทันทีว่าอาซ้อจางนั้นพอใจมากเพียงใด

มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยตอบรับทันที พลางพูดขอบคุณอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นตามไป

เมื่อโอกาสมาถึงมีหรือคนอย่างนางจะพลาด อีกอย่างเพราะยังมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับอาซ้อจางอีกจึงปล่อยนาทีทองนี้หลุดมือไปไม่ได้

“หลายวันมานี้ข้ายุ่งมากจริงๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ดูแลความเรียบร้อยเท่าที่ควร หนิงเหนียงจื่ออย่าได้ใส่ใจเลย”

มั่วเชียนเสวี่ยรีบตอบ “จะเป็นไปได้อย่างไร ช่วงก่อนหน้านี้เป็นฤดูการเก็บเกี่ยว ทั้งบิดาของจู้จื่อยังต้องลากรถม้าทำการค้าขายไปมาระหว่างตัวเมือง ทำให้งานภายในบ้านทั้งหมดอาซ้อต้องรับภาระแต่เพียงผู้เดียว จำต้องเหนื่อยมากอยู่แล้ว จะเอาเวลาและพละกำลังจากไหนมาจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้หมดได้เล่า”