ตอนที่ 8 ฮัมเพลงเบาๆ ทำให้เก้อเขิน

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 8 ฮัมเพลงเบาๆ ทำให้เก้อเขิน

“หนิงเหนียงจื่อช่างเข้าอกเข้าใจดีเสียจริง บิดาของจู้จื่อทำการค้าขายอยู่ในเมือง ถ้าขาดเหลืออะไรสามารถบอกข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะบอกเขานำมาให้เจ้า!”

“ขอบคุณในน้ำใจของอาซ้อมากยิ่งนัก”

“ยังต้องเกรงใจอะไรกันอีก หรือหากน้องต้องการเข้าไปในเมืองก็ย่อมได้ เพียงรอเขากลับมา ครั้งหน้าไว้ข้าจะให้เขาพาเจ้าไปด้วย”

ทั้งสองพูดคุยเล่นกันระหว่างเดินทางไปฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน

เรื่องเล่าในครอบครัวของอาซ้อจางนั้นมีไม่มากนัก มั่วเชียนเสวี่ยจึงทำได้เพียงคล้อยตามให้นางพูดอย่างสบายอารมณ์ที่สุด

“ภรรยาท่านหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนมีความสามารถในหมู่บ้าน กว่าจะได้พื้นที่ละแวกนี้นางเลือกแล้วเลือกอีก…”

ระหว่างฟังคำพูดของอาซ้อจาง มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้กรองข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองจากประโยคที่ได้ยินออกมาอย่างละเอียด

ตอนที่นางเพิ่งเรียนทำธุรกิจ ได้รับคำสอนจากท่านผู้อาวุโสซึ่งกล่าวว่า ‘มนุษย์มีเพียงปากหนึ่งปาก แต่มีหูสองข้างก็เพื่อให้พวกเราเรียนรู้ที่จะตั้งใจฟัง ครั้นถึงตอนที่สำคัญจะได้สามารถเข้าใจส่วนเหล่านั้นได้’

หญิงสาวชาวบ้านที่พอมีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้างคนนี้ พอได้ฟังคำหยอกล้อที่นางพูดแทรกขึ้นเป็นครั้งคราว ก็สุขใจเสียจนแทบจะลืมชื่อแซ่ของตนไปแล้ว

แม้แต่เรื่องลูกสะใภ้ของบ้านไหนที่กลางดึกลุกขึ้นมาตบตีกับสามี แม่สามีของบ้านไหนที่มีนิสัยร้ายกาจ หรือแม้กระทั่งหมูของบ้านไหนจะออกลูก ล้วนแล้วถูกอาซ้อจางผู้นี้บรรยายได้อย่างออกรสออกชาติ

เดินทางด้วยกันเพียงระยะสั้นๆ อาซ้อจางก็ยกให้นางกลายเป็นคนรู้ใจไปเสียแล้ว

สำหรับมั่วเชียนเสวี่ย นั่นคือหลักประกันว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าที่คนแซ่จางจะเข้าเมือง เจ้าหล่อนจะต้องพานางไปแน่

……

ณ บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน เรือนกระเบื้องดูมีสง่าราศี

ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นสตรีจิตใจงดงามและอ่อนโยนเสียจริง รูปร่างก็งดงาม

ไม่เหมือนกับอาซ้อจางที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นและพูดจาใหญ่โตไม่สมจริง ทั้งแตกต่างจากอาซ้อฟางที่พูดจาตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ซื่อสัตย์และมีจิตใจดีงาม ไม่เจ้าเล่ห์เพทุบายเฉกเช่นอาซ้อจ้าวเอ้อร์ที่เมื่อก่อนเคยส่งอาหารให้นางอยู่บ่อยๆ

เมื่อได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยกล่าวว่าสามีของตนหายดีแล้ว หลังจากนี้อีกสามวันเด็กๆ ก็เริ่มเรียนได้ ถึงแม้ว่าจะมีสีหน้าดีใจปรากฏออกมาให้เห็น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเร่งรีบให้สามีของนางเริ่มสอนในทันที แต่กลับจับมือของนางพร้อมกับเอ่ยแนะนำอย่างเป็นห่วงว่าควรจะพักผ่อนอีกสองสามวันดีไหม ให้ร่างกายพร้อมกว่านี้สักหน่อย

เดิมทีมั่วเชียนเสวี่ยก็เป็นห่วงร่างกายของหนิงเซ่าชิงเช่นเดียวกัน เนื่องจากเขาเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาได้แค่ไม่กี่วัน แต่เพราะเหตุการณ์ในครั้งก่อนจึงไม่อยากตัดสินใจโดยพลการ คำพูดของภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อครู่สามารถช่วยเตือนสติได้เป็นอย่างมาก ว่าแล้วนางจึงได้จังหวะกำหนดวันเริ่มเรียนให้เป็นหลังจากนี้ห้าวัน

หากกลับไปรายงานประกอบกับคำแนะนำของภรรยาของท่านหัวหน้าหมู่บ้าน หนิงเซ่าชิงคงไม่ขัดอะไร

แม้ไม่รู้เรื่องราวภายในมากนัก ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านก็พลันคิดว่าท่านอาจารย์หนิงคงหมายความเช่นนั้น จึงบอกกล่าวกับสามีของตนว่าจะเริ่มเรียนหลังจากนี้ห้าวันตามที่ได้พูดคุยกับหนิงเหนียงจื่อ

อาซ้อจางที่ได้ยินว่าต้องยืดเวลาออกไปถึงสี่ห้าวันถึงจะเริ่มเรียนได้ สีหน้าก็พลันห่อเหี่ยวลง

แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านอธิบาย อย่างไรก็ตามเพียงยืดเวลาออกไปแค่สองสามวัน ความรู้ไม่ได้ต้องรีบใช้ภายในวันสองวันนี้เสียหน่อย สีหน้าของอาซ้อจางจึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย

และยิ่งได้ฟังคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยที่ว่า หมู่บ้านหวังจยานั้นเขาสวยน้ำใส เป็นถิ่นกำเนิดของอัจฉริยะบุรุษ เช่นนั้นบุตรชายของนางก็นับว่ามีอนาคตที่สดใส ในใจของอาซ้อจางพลันสงบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว ใบหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์เมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถูกแทนที่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เมื่อบอกลาภรรยาของท่านหัวหน้าหมู่บ้าน มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ตรงกลับบ้านของตน แต่กลับแวะไปที่บ้านของอาซ้อฟางที่อยู่ถัดไป

……

การเดินทางไปในเมืองครั้งนี้ นางต้องการผู้ช่วยเพื่อมาร่วมขุดหาเงินก้อนแรกนี้ด้วยกัน

ใครจะรู้เพียงมั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยปาก อาซ้อฟางก็พูดแทรกขึ้นทันที “หนิงเหนียงจื่อ เจ้ามาพอดี พี่กำลังคิดอยู่ว่าจะต้องเข้าเมืองไปซื้อผ้ามาใหม่ดีหรือไม่ นี่ก็ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว เห็นทีเสื้อกันหนาวของซวนจื่อกับยายาคงต้องไปซื้อมาเพิ่มบ้างเล็กน้อย…”

ไม่ทันที่มั่วเชียนเสวี่ยจะได้พูดจบ อาซ้อฟางก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องแล้วออกมาพร้อมกับเหอเปา[1]ในมือ

“หนิงเหนียงจื่อ เจ้านำสิ่งนี้ไปก่อน หากใช้ไม่พอก็ค่อยว่ากัน” ระหว่างที่พูดสองมือพลางกดเหอเปาที่อยู่ในมือเข้าไปไว้ในมือของมั่วเชียนเสวี่ยแทน

มั่วเชียนเสวี่ยได้แต่มึนงง!

ที่อาซ้อฟางคิดว่าสิ่งที่นางกำลังจะบอกให้ช่วยคือ การยืมเงินอย่างนั้นหรือ

จู่ๆ ลำคอเกิดร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด ใบหน้าเศร้าเสียใจพลางน้ำตารินไหลออกมา

อาซ้อฟางคิดว่าคงเป็นเพราะมั่วเชียนเสวี่ยไร้ญาติขาดมิตร ทั้งสามีร่างกายไม่แข็งแรงและอาจจะถูกขายเป็นทาสได้ทุกเมื่อ เพราะชีวิตลำบากมากถึงได้เปราะบางเช่นนี้ จึงลุกขึ้นตบบ่าร่างบางเล็กน้อยแล้วพูดปลอบใจ “หนิงเหนียงจื่อ อย่าร้องไห้ไปเลย สักวันหนึ่งชีวิตจะต้องดีขึ้น…”

แม้ว่าในใจของมั่วเชียนเสวี่ยจะตื้นตันแต่นางเป็นคนที่เข้มแข็งมาตลอด เมื่อคิดเช่นนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นน้ำตาเม็ดใหญ่ในดวงตาที่ใกล้จะไหลไว้ ยิ้มและพูดขึ้น “อาซ้อ ข้ารับสิ่งนี้ไว้ไม่ได้หรอก”

ถึงแม้ว่าอาซ้อฟางจะไม่รู้ว่าอะไรคือ ‘น้ำตาของหญิงงาม’ แต่เมื่อพบว่าหนิงเหนียงจื่อผู้นี้ไม่ได้เพียงงดงามแต่ภายนอกก็พลันเข้าใจในทันที คำพูดของคนตรงหน้าทำให้อึ้งไปชั่วขณะ

พอได้สติกลับมา ถึงได้พบว่ามั่วเชียนเสวี่ยได้นำเหอเปาส่งคืนมาไว้ในมือของตนแล้ว นางไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ นี่พี่ให้เจ้ายืมไม่ได้ให้เจ้าเปล่าๆ สักหน่อย เจ้าเก็บไว้เถิดและก็ไม่ต้องรีบคืน”

“ความเมตตาในวันนี้ น้องจดจำไว้ในหัวใจทั้งหมดแล้ว อาซ้อเก็บไปก่อนแล้วฟังน้องพูดให้จบ”

“เมตตาไม่เมตตา จดจำไม่จดจำอะไรกัน เจ้าพูดเหมือนเป็นคนนอกไปเสียได้…”

อาซ้อฟางเตรียมจะผลักกลับไปให้มั่วเชียนเสวี่ยอีกครั้ง ร่างบางยิ้มพลางกระซิบที่ข้างๆ หู

หลังผ่านไปครึ่งค่อนวัน อาซ้อฟางได้สติกลับมาอีกครั้ง เอ่ยย้ำอย่างไม่ค่อยเชื่อเรื่องเมื่อสักครู่นัก “เรื่องนั้น ข้าจะทำได้หรือ”

“ไม่ต้องเป็นกังวล อาซ้อแค่ทำตามที่ข้าบอกก็เพียงพอแล้ว”

……

หลังจากฝนตกหนักตลอดสองวัน ยามนี้ก็ได้หยุดลงแล้ว เมล็ดพืชในดินแตกหน่อโผล่ขึ้นมากันอย่างมีความสุข พร้อมกับมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังฮัมเพลงเบาๆ อยู่หลังบ้านอย่างสบายใจ

สาวงามนางหนึ่งเดินเที่ยวเล่น

เข้าไปในป่าข้าวโพดที่ยาวเหยียด

ข้าวโพดที่นี่ออกรวงแล้ว

เหลียวซ้ายแลขวา สามีของข้าเล่า

เขาอยู่หนใด…

ในตอนแรกหนิงเซ่าชิงที่ฟังบทเพลงอยู่ในบ้านด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องอย่างอื่นขึ้นมาก็พลันโมโห

บนใบหน้าที่งดงาม แก้มสีแดงระเรื่อที่ไม่รู้เป็นเพราะความโมโหหรือเพราะกระดากอายกันแน่

เขาเขวี้ยงหนังสือในมือลงไปบนโต๊ะ ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นออกจากบ้านมุ่งหน้าไปหามั่วเชียนเสวี่ย พลางพูดตะคอก “นี่เจ้าฮึมฮัมบ้าบออะไร! ศีลธรรมอันดีและวาจาที่ดีของเจ้ามันหายไปไหนหมดแล้ว”

“ข้าไม่มีศีลธรรมวาจาที่ดีอย่างไรกัน!” มั่วเชียนเสวี่ยมึนงงเล็กน้อยที่ถูกตำหนิโดยไร้สาเหตุ

“เจ้า! ในเพลงนี้ของเจ้า…สาวงามนางหนึ่งมองหาสามี… ถ้าหากว่าคนภายนอกได้ยินเข้าจะคิดว่า จะคิดว่า…”

หนิงเซ่าชิงพูดไปพลางแก้มสีแดงก่ำที่บนใบหน้าอันสับสนของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ

แท้ที่จริงแล้ว ในตอนที่ถูกหนิงเซ่าชิงขัดจังหวะนั้น ระหว่างที่มึนงง นางก็คิดออกแล้วว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน

เจ้าคนหัวโบราณ!

หลังจากที่แอบก่นด่าเขาในใจแล้ว ครั้นมองนิ้วมือสั่นๆ ของเขาที่ชี้มาที่นาง ทันใดนั้นก็อารณ์ดีขึ้นมา

“จะคิดว่าอะไรเล่า”

หนิงเซ่าชิงถูกมองด้วยแววตาไร้เดียงสา การย้อนถามที่โง่เขลาด้วยใบหน้าอันบริสุทธิ์นั้น หนิงเซ่าชิงได้แต่อ้าปากค้างโดยไม่รู้ว่าจะโต้เถียงอย่างไรกลับไป

หรือว่าจิตใจของเขาคิดสกปรก

ผ่านไปพักใหญ่ เขาจึงได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้หนึ่งประโยคอย่างอับอายและแค้นใจ “ไม่ว่าอย่างไร บทเพลงนี้ หลังจากนี้ห้ามร้องอีก!”

เพื่อที่จะปิดบังแก้มที่แดงเล็กน้อยบนใบหน้า หนิงเซ่าชิงจึงแกล้งไอออกมาแรงๆ หนึ่งทีพร้อมกับลูบคางเบาๆ อย่างเก้อเขิน

จากนั้นจึงหมุนตัวอย่างสง่าผ่าเผย แล้วก้าวไปข้างหน้าเพื่อเตรียมกลับห้อง

นางต้องทำใจยอมรับความโบราณคร่ำครึทั้งมวลนี้ให้ได้จริงๆ หรือนี่

ทางด้านหนิงเซ่าชิงนั้น ธรณีประตูที่สูงเล็กน้อยนั้นกลับไม่ให้ความร่วมมือ ครั้นจังหวะฝีเท้าขัดกันทำให้เขาเซจนคล้ายจะล้มลงไปสัมผัสแนบชิดอยู่กับพื้น

มั่วเชียนเสวี่ยกลั้นหัวเราะ เพียงรอให้เขาเข้าห้องไปจึงได้แต่จับกำแพงเพื่อกลั้นเสียงเอาไว้ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนตัวโยน

[1] เหอเปา กระเป๋าใบเล็ก ซึ่งถือเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง มีไว้เพื่อใส่สิ่งของชิ้นเล็ก