ตอนที่ 9 เข้าเมืองหาลูกค้า

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 9 เข้าเมืองหาลูกค้า

เวลานี้หนิงเซ่าชิงที่อยู่ในห้องพร้อมกับสีหน้ากลัดกลุ้ม

เสียงหัวเราะนั่นถึงแม้ว่าจะลดให้เบาลงสักแค่ไหน แต่มีหรือจะปิดบังหูสองข้างของเขาที่ฝึกฝนวรยุทธ์มานานหลายปีได้ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้กำลังภายในของเขาจะถูกนำมาใช้ยับยั้งสารพิษในร่างกายไปจนหมดแล้ว แต่ความสามารถในการได้ยินกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

คิดดูว่าเขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ของตระกูลหนิง พร้อมด้วยสติปัญญาและความภูมิฐาน

ยามนี้ ไม่นึกเลยว่าเขาจะมาเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าหญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้นี้และยังถูกนางหัวเราะเยาะเช่นนั้นอีก มีอย่างที่ไหนกัน!

เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะจนพอใจแล้ว ใบหน้าเงยหน้ามองสายรุ้งหลังฝนตกบนท้องฟ้าพลางถอนหายใจออกมายาวๆ

ใจที่หนักอึ้งผ่อนคลายลงมากในทันใด เรื่องไม่สบายใจที่อยู่ในอกระหว่างการหัวเราะนั้น ดูเหมือนว่าจะหายไปเสียแล้ว

สำหรับในอนาคต จู่ๆ ก็เกิดความคาดหวังที่ริบหรี่ผุดขึ้นมา

ที่จริงแล้ว สามีที่ไร้ประโยชน์ของนางผู้นี้ก็ไม่ได้แย่อะไร

หน้าต่อหล่อเหลาและยังรักความสะอาด

แม้ว่าเสื้อผ้าจะเป็นผ้าหยาบ แต่เมื่อถูกสวมลงบนร่างกายนั้นแล้วกลับดูดีเป็นระเบียบ แม้เขาจะนั่งอยู่ในห้องโถงที่ธรรมดาค่อนไปทางหยาบ แต่กลับมีสง่าเสียราวกับว่าเขานั่งอยู่ในห้องโถงที่มีของประดับหรูหราวางเรียงรายอยู่ เมื่อพิจารณาด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของนางแล้ว นั่นเป็นเนื้อแท้ของเขาเอง และตัวตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะแสร้งทำขึ้นได้

วันที่ปะทะคารมกับเขาในตอนนั้น แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะโมโหเพียงใดกลับไม่ได้ถือโทษนางเลยแม้แต่น้อย ทั้งหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไปแล้วก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรอีก แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ใจกว้าง

บ่อยครั้งแม้มั่วเชียนเสวี่ยมักจะส่งเสียงดังและหยาบคายไปบ้าง แม้เขาจะไม่พอใจแต่ก็ไม่เคยเสียมารยาทกับนางเลยสักครั้ง เป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยสมบัติผู้ดีเสียจริง

หลังจากนี้ไม่ว่าจะร่ำรวยมีเกียรติหรือยากจนต่ำต้อย ตราบใดที่เขาปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ นางก็จะอยู่ข้างๆ ไม่มีวันทอดทิ้งไปไหนแน่นอน

ยามบ่าย มั่วเชียนเสวี่ยอยู่ในห้องครัวกำลังง่วนอยู่กับการบดเห็ดแห้งที่หายากและกุ้งแห้งให้กลายเป็นผงละเอียด นี่เป็นเคล็ดลับผงปรุงรสที่นางคิดทำขึ้นมาเอง สามารถนำมาใช้ปรุงรสอาหารได้ ซึ่งสำหรับผงปรุงรสนี้จะขาดไม่ได้เลยหากต้องการทำเงินก้อนแรกจากในตัวเมือง

เมื่อบดให้ละเอียดเสร็จเรียบร้อย นางจึงใช้นิ้วมือจิ้มมาชิมเล็กน้อย ใบหน้าพลันยิ้มแย้มขึ้นมาในทันที สมกับเป็นอาหารที่ธรรมชาติประทานมาให้ ไร้การปนเปื้อน ของสมัยโบราณนี้นับว่ารสชาติดีมากทีเดียว

เพิ่งเก็บกวาดเสร็จ อาซ้อจางก็ให้จู้จื่อมาแจ้งข่าวแก่มั่วเชียนเสวี่ยได้ทราบว่า พรุ่งนี้บิดาของจู้จื่อจะเข้าไปทำการค้าขายในตัวเมืองแล้ว ขอให้นางเก็บของเพื่อพร้อมเตรียมออกเดินทางในวันพรุ่งนี้เช้า

หลังจากที่หนิงเซ่าชิงสะดุดธรณีประตูจนเซเกือบจะล้มครั้งก่อน เขาก็ปั้นหน้าตึง ลืมตาและตั้งสติอยู่ตลอด

“เซียนเซิง[1] นำกระดาษ หมึก พู่กันและแท่งฝนหมึกของท่านมาให้ข้ายืมใช้หน่อย!” มั่วเชียนเสวี่ยเข้าห้องเดินวนไปมาหลายรอบพร้อมกับอ้าปากพูดตะกุกตะกัก

ภพชาติที่แล้วก่อนจะไปเดินตลาด นางชอบเขียนรายการให้กับตัวเอง การเข้าเมืองทีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องระบุทุกสิ่งอย่างที่ต้องการจะซื้อก่อน

หนิงเซ่าชิงที่ได้ยินก็ยักคิ้วเล็กน้อยและตอบกลับ “กระดาษ หมึก พู่กันและแท่งฝนหมึกอยู่บนโต๊ะทางด้านนี้ เจ้าใช้ได้ตามใจ”

ถึงแม้ว่าเขาจะอนุญาตแต่ก็ไม่ได้ลุกออกไปหยิบให้แต่อย่างใด เพียงแค่ย้ายเก้าอี้ไปอีกทาง เหลือพื้นที่ให้แค่พอยืนได้เล็กน้อยเท่านั้น

แย่มาก ชายผู้นี้ช่างใจแคบเสียจริง!

มั่วเชียนเสวี่ยคิดถึงฉากเมื่อเช้านี้ขึ้นมาอีกครั้ง นางกลั้นหัวเราะเอาไว้พลางยักคิ้วหลิ่วตา เดินตรงไปอย่างสง่าพร้อมกับฝนหมึก ปูกระดาษและถือพู่กันอย่างไม่ยี่หระ การกระทำทั้งหมดนั้นดูไหลลื่นและชำนาญในเวลาเดียวกัน

หนิงเซ่าชิงนั่งอยู่ด้านข้างโดยไม่หลีกให้ เดิมทีอยากให้นางขอร้องเขาอีกสักหน่อย พูดคำพูดที่ไพเราะออดอ้อนสักสองสามประโยค หรือไม่หากมีอะไรที่ไม่เข้าใจ เขาจะได้เข้าไปชี้แนะบ้าง คงง่ายต่อการกำราบสักหน่อย

แต่เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยตวัดพู่กันเริ่มวาดเขียน คล้ายกับทำมันได้อย่างคล่องแคล่วดั่งใจ สายตาของเขาก็เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า

ตัวอักษรจีนถูกคัดอย่างบรรจง ปรากฏเด่นชัดอยู่บนหน้ากระดาษราวกับกลีบดอกไม้บานสะพรั่ง ที่ถูกลมโชยพัดกลิ่นหอมอันสดชื่น

งดงามมาก!

หนิงเซ่าชิงลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ในใจของเขาถูกดอกเหมยที่ผลิบานเอาชนะเสียจนได้ “นี่เจ้าเขียนอะไร”

“เมื่อก่อนข้าเป็นบ่าวรับใช้ อาจจะเคยควบคุมด้านการทำอาหารและรู้สูตรอาหารมาเยอะมาก จึงเขียนใบรายการอาหารนิดหน่อย หากไปที่ภัตตาคารในเมืองบางทีอาจจะสามารถแลกเงินกลับมาก็ได้”

มั่วเชียนตอบไปพลางเขียนไปพลาง

หนิงเซ่าชิงมีสีหน้าสับสน นึกถึงชีวิตในอดีตและมื้ออาหารเลิศรสชั้นดีทั้งหลายในทุกวันของเขา ไม่รู้ว่าสิ้นเปลืองเงินทองไปกับอาหารพวกนั้นมากเท่าใด นึกไม่ถึงว่าตอนนี้กลับต้องใช้ชีวิตโดยการพึ่งพาการขายสูตรอาหารที่ภรรยาเขียนขึ้น ชีวิตหนอชีวิต

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ทันเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา ใบหน้าเพียงมองสูตรอาหารตรงหน้าด้วยความเพลิดเพลิน หลายปีที่ไม่ได้ใช้พู่กันจีนแล้ว แต่ฝีมือกลับไม่ตกเลย! นางหยิบกระดาษขึ้นมาเป่าเล็กน้อยอย่างพอใจ พลางยิ้มและพูดออกมา “ท่านต้องการอะไรไหม ข้าช่วยนำกลับมาให้ท่านได้นิดหน่อย”

หนิงเซ่าชิงส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างเศร้าสลดและเดินออกไป ร่างสูงยืนอยู่หน้าต้นหลิวที่อยู่กลางบ้าน เรื่องราวในอดีตฉายแวบหนึ่งเข้ามาในหัวของเขาเป็นฉากๆ…

วันนั้น… เป็นวันพิธีสวมกวาน[2]ของเขา

หลังพิธีนั้นจบ บิดาและผู้อาวุโสของตระกูลก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาคือหัวหน้าตระกูลหนิงคนต่อไป นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดของผู้เป็นคุณชายในตระกูล

รอเพียงแต่งงานและมีบุตร ก็ทำการส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้

พิธีสวมกวานของหัวหน้าตระกูลหนิงในอนาคต หนึ่งในสามตระกูลอันยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์เทียนฉี ย่อมคึกคักและใหญ่โตเป็นอยู่แล้ว

ทั่วทั้งรัฐแห่แหนมาแสดงความยินดี ทำให้เขาต้องคอยเงียบและรักษามารยาทอยู่ตลอด แม้ดื่มไปค่อนข้างเยอะแต่ก็ต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำให้ดี

หลังจากเสร็จสิ้น มารดาของเขาก็คอยปรนนิบัตินำน้ำแกงมาให้ดื่มเพื่อคลายอาการมึนเมา ส่วนน้องชายก็คอยพยุงเขาขึ้นเตียง

ทุกอย่างช่างลงตัวมาก!

ถ้าหาก มีดเล่มนั้นของน้องชายดุร้ายอีกสักนิด แม่นยำอีกสักหน่อย คงไม่เพียงแทงไปที่หน้าท้องของเขาอย่างเดียว แต่อาจทำให้แทงทะลุที่ขั้วหัวใจของเขาได้เลย…

ถ้าหาก ยาพิษในน้ำแกงที่ทำให้คลายอาการเมาชามนั้นรุนแรงขึ้นอีกหน่อย

ถ้าหาก ในมือเขาไม่มียาถอนพิษที่เจ้าอาวาสวัดเซียงกั๋วมอบให้

ถ้าหาก ไม่ใช่เพราะเขาฝนฝนวรยุทธ์มาหลายปี จนสามารถใช้กำลังภายในได้อย่างแข็งแกร่ง

คืนนั้น องครักษ์ทั้งแปดปกป้องอย่างสุดชีวิต

คืนนั้น เกิดพายุนองเลือดอันโหดร้าย

คืนนั้น เขาโศกเศร้าจนหัวใจแทบสลาย

มือที่สั่นเทากดไปที่หน้าท้องอย่างแผ่วเบา แผลตรงนั้นสมานไปนานแล้ว แม้กระทั่งแผลเป็นก็แทบไม่มีหลงเหลือให้เห็น ทว่าเขายังคงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ฝังรากลึกลงไปข้างใน

บาดแผลที่ถูกทิ่มแทงไม่ใช่ที่หน้าท้องของเขา แต่กลับปรากฎที่ใจ

ช่างเถิด ในเมื่อพวกเขาต้องการสิ่งนั้นก็ให้พวกเขาไป

พิษยังหลงเหลือวนเวียนอยู่ในร่างกาย ถึงแม้ว่าเขาจะถูกช่วยไว้หลายครั้ง แต่หนิงเซ่าชิงรู้ตัวดีว่าชีวิตของเขานั้นคงไม่ยืนยาวนัก เพียงหวังที่จะใช้ช่วงบั้นปลายของชีวิตจมปลักอยู่ที่หมู่บ้านในชนบทแห่งนี้

ครั้นนึกถึงหญิงสาวที่อยู่ในห้องยามนี้ขึ้นมา ไม่รู้ว่าร่องรอยของความเสียใจและความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดผุดขึ้นมาในใจของเขาตั้งแต่เมื่อใด

……

ท้องฟ้าเพิ่งเปลี่ยนเป็นสีขาว หมอกในทุ่งยังไม่คลาย มีรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งไปตามท้องถนนในชนบทที่ทอดยาวและคดเคี้ยว

แม้ว่าเมืองเทียนเซียงจะอยู่ห่างจากเมืองหลวง แต่ก็มีความเจริญรุ่งเรืองมาก นอกจากนี้ยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านหวังจยาไม่ไกลนัก เพียงแค่สี่สิบห้าสิบลี้เท่านั้น

ครั้งแรกที่มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเมืองสมัยโบราณ ก็ต้องตื่นตาตื่นใจในความแปลกใหม่เป็นธรรมดา

กำแพงเมืองยิ่งใหญ่ สูงสามจั้ง[3] ปรากฎหอคอยมากมายนับไม่ถ้วน บางครั้งก็มีทหารลาดตระเวนที่ในมือถือหอก บรรยากาศแห่งความเจริญรุ่งเรืองตลบอบอวลไปทั่วทุกหนแห่ง

ในตัวเมืองก็เจริญรุ่งเรืองมากเช่นกัน ทั้งพื้นถนนเป็นหินประกอบกับกำแพงสีแดงและกระเบื้องสีเขียวบริเวณหน้าร้านโบราณที่แปลกตา รถม้าและก๊อกน้ำ

ทุกอย่างล้วนทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึงพร้อมกับเกิดความรู้สึกมากมาย นางตั้งปณิธานในใจอย่างแน่วแน่ว่าจากนี้ไปจะต้องมุ่งมั่นให้มากขึ้น

นางจูงมือของอาซ้อฟาง เดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนใหญ่ เหลียวซ้ายแลขวา

หากเปรียบมั่วเชียนเสวี่ยที่ตื่นตาตื่นใจเหมือนกับปลาใต้น้ำไม่ยอมกะพริบตาแต่น้อย แต่อาซ้อฟางกลับระมัดระวังตัวอยู่ตลอด ถึงแม้ว่านางจะเคยเข้าในเมืองมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไปเพียงแค่ตลาดที่คนจนคนยากไร้แลกเปลี่ยนสิ่งของกันเท่านั้น เคยมาเดินเล่นในตัวเมืองจริงๆ เสียที่ไหนเล่า

[1] เซียนเซิง ภาษาจีน 先生 มีความหมายทั้งสามีและอาจารย์

[2]พิธีสวมกวาน หรือพิธีบรรลุนิติภาวะ จะจัดขึ้นเมื่อเด็กชายมีอายุครบ 20 ปีเต็มและจะมีการสวม ‘กวาน’ หรือมงกุฎเล็กๆ

[3] จั้ง มาตราวัดความยาวของจีน โดย 1 จั้งประมาณ 3.33 เมตร