บทที่ 11 การต่อสู้เพื่อข้าวต้ม

“หากไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ ข้าคงจะทุบเจ้าไปแล้ว!”

เวิงอู๋โยวกัดฟันแล้วมองไปยังลวี่เหลียง คนผู้นี้เกือบจะทำลายทั้งสำนักไท่หัวเสียแล้ว!

ลวี่เหลียงหัวเราะแห้ง ไม่กล้าพูดอะไรอีก ก่อนจะรีบพาเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนเข้าไป

เมื่อเข้าไปในร้าน ใบหน้าของเวิงอู๋โยวพลันกลายเป็นตกใจยิ่ง หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยระลอกคลื่นนับพันซัดสาด!

ในร้านของหลี่จิ่วเต้าเต็มไปด้วยวิถีแห่งเต๋า ภาพวาดซึ่งแขวนอยู่บนผนังเป็นดั่งผลงานรังสรรค์โดยเทพเซียน ทุกจังหวะวิถีเหมือนจะเชื่อมโยงกับสวรรค์และโลก ดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง!

จี้หยก ไม้แกะสลัก แต่ละชิ้นดูเหมือนจริง ราวกับว่ามันปรากฏต่อหน้าเขาจริง ๆ!

หัวใจของบรรพชนเฒ่าเต้นจนแทบหลุดออกมาจากอก ผู้อาวุโสอาจทรงอำนาจมากกว่าที่เขาคิด!

“คารวะท่านผู้อาวุโส ข้ามาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ!”

เซี่ยเหยียนทักทายหลี่จิ่วเต้าด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเวิงอู๋โยวเห็นหลี่จิ่วเต้า ก็เป็นดั่งที่เซี่ยเหยียนว่าไว้

เขาสัมผัสถึงความผันผวนของพลังปราณในตัวหลี่จิ่วเต้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลี่จิ่วเต้าราวกับกลายเป็นมนุษย์ไปเสียแล้ว!

“อ้อ เป็นเจ้านี่เอง”

หลี่จิ่วเต้ายิ้มรับ

‘ผู้อาวุโส?’

ลวี่เหลียงกลอกตา รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยเหยียนและหลี่จิ่วเต้านั้นผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง!

หลี่จิ่วเต้าไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกตนว่าผู้อาวุโส แต่เซี่ยเหยียนกลับสามารถเรียกหลี่จิ่วเต้าว่าผู้อาวุโสได้ ซ้ำแล้วอีกฝ่ายยังไม่มีร่องรอยความไม่พอใจอยู่ด้วยเลย

“สำนักไท่หัวช่างโชคดียิ่งนัก!”

เขาเอ่ยเสียงชม

หลี่จิ่วเต้าไม่เพียงแต่อาศัยอยู่ในเมืองชิงซานซึ่งใกล้สำนักไท่หัว เขายังมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับศิษย์สำนักไท่หัวด้วย อนาคตของสำนักไท่หัวถูกกำหนดให้รุ่งโรจน์แล้ว!

“นี่ใครหรือ”

หลี่จิ่วเต้าลุกขึ้นเดินไปหาเวิงอู๋โยว ก่อนจะหันไปถามเซี่ยเหยียน

“นี่คือปู่ของข้า!”

เซี่ยเหยียนได้คิดหาข้อแก้ตัวระหว่างทางมาที่นี่แล้ว จึงพูดอย่างใจเย็น “ฝีมือบรรเลงกู่ฉินของผู้อาวุโสล้ำเลิศมาก ข้าจึงบอกกับท่านปู่ของข้าเมื่อกลับไป และท่านปู่เองก็ชมชอบเล่นกู่ฉินมากเช่นกัน ครานี้ข้าจึงพาท่านปู่มาหาผู้อาวุโสด้วย”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า แต่เขาไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เซี่ยเหยียนกล่าว อันที่จริงแล้ว เวิงอู๋โยวอาจไม่ใช่ปู่ของเซี่ยเหยียนด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มมั่นใจว่าตนยังอ่านคนออกอยู่

เวิงอู๋โยวดูไม่ธรรมดายิ่ง ซ้ำยังไม่เหมือนกับคนทั่วไป แต่เขาก็ไร้ซึ่งความฟุ่มเฟือยในแบบของราชวงศ์ ส่วนเซี่ยเหยียนเป็นองค์หญิงของอาณาจักร ปู่ของนางย่อมเป็นไท่ซ่าง*[1]มิใช่หรือ

‘คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนเสียด้วย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักไท่หัว’

หลี่จิ่วเต้าครุ่นคิด

เวิงอู๋โยวมีผมหงอกและดูแก่ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้แก่ถึงขนาดนั้น ร่างกายดูแข็งแรง ซ้ำดวงตาของเขายังดูเฉียบคมยิ่ง

แม้อายุจะมากแล้ว แต่เขายังดูมีพลังมากอยู่และดวงตาก็ไม่ขุ่นมัวเลย ออกจะค่อนข้างเฉียบคมเสียด้วยซ้ำ เวิงอู๋โยวต้องเป็นผู้ฝึกตนอย่างไม่ต้องสงสัย

อีกอย่าง เมืองชิงซานอยู่ใกล้กับสำนักไท่หัว และเซี่ยเหยียนก็เป็นผู้พาเวิงอู๋โยวมาด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าต้องการประจบเวิงอู๋โยว

สำนักไท่หัวกำลังจะประเมินคัดเลือกศิษย์ เซี่ยเหยียนคงต้องการประจบเวิงอู๋โยว เช่นนี้แล้ว เวิงอู๋โยวต้องมาจากสำนักไท่หัวเป็นแน่ และเซี่ยเหยียนเองก็คงหวังพึ่งเวิงอู๋โยวในการเข้าไปยังสำนักไท่หัว

‘ข้าไม่ได้คิดว่าตนเองจะเข้าสำนักไท่หัวได้หรอกนะ แต่…ช่วยนางหน่อยแล้วกัน’

เมื่อคิดถึงประสบการณ์ของตัวเอง หลี่จิ่วเต้าก็ทนเห็นเซี่ยเหยียนล้มเหลวในการเข้าสำนักไท่หัวไม่ได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะช่วยดรุณีผู้นี้

“นี่ยังเช้าอยู่เลย มาร่วมโต๊ะด้วยกันหรือไม่”

หลี่จิ่วเต้าถามด้วยรอยยิ้ม

เดิมทีเวิงอู๋โยวต้องการปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ เขาก็เปลี่ยนใจทันที

ข้าวต้มบนโต๊ะนั้นมีสีทองอร่ามและตระการตาไม่น้อย เขาสัมผัสได้ถึงพลังปรานอันบริสุทธิ์ที่สุดในโลกกระโดดลงไปอยู่ในชาม อย่าว่าแต่กินทั้งหมดเลย ขอเพียงแค่ได้ชิมคำหนึ่ง เขาต้องได้รับประโยชน์จากมันเป็นอย่างมากแน่!

“ข้าได้ยินจากเสี่ยวเหยียนว่าผู้อาวุโสบรรเลงกู่ฉินเก่งมาก นางพูดจนข้าอยากเจอท่านตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าเวลานั้นมันก็ค่อนข้างดึกแล้ว จึงเกรงว่าจะรบกวนผู้อาวุโสได้ พอเช้ามาข้าถึงให้เสี่ยวเหยียนนำทางมาพบท่านในทันที สำรับเช้านี้จึงยังไม่ได้ทานไปโดยปริยาย”

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

‘กล้าพูดออกมาได้ ไร้ยางอายยิ่ง!’

ข้างกายเขา ลวี่เหลียงอยากกล่าวประโยคนี้ใจจะขาด

เวิงอู๋โยวแข็งแกร่งเพียงใดน่ะหรือ เขาอยู่ขอบเขตนิพพานแล้ว!

เดิมที ผู้ฝึกตนในขอบเขตประสานวิญญาณก็ไม่จำเป็นต้องกินหรือดื่มอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงขอบเขตนิพพานอย่างเวิงอู๋โยวด้วยซ้ำ!

หากเอ่ยออกไปได้ เขาจะพูดว่า ‘ตาเฒ่า เจ้าไม่ทานอาหารเช้ามาหลายร้อยปีแล้วมิใช่หรือ คงมิใช่ว่าเห็นอาหารที่ผู้อาวุโสทำมันไม่ธรรมดาเลยอยากกินหรอกนะ!’

“งั้นหรือ เช้านี้ข้าทำข้าวต้มไว้เยอะอยู่ หากพวกเจ้าไม่รังเกียจก็อยู่ทานข้าวที่บ้านข้าก่อน แล้วเราค่อยคุยกันหลังทานอาหารเถอะ”

“เป็นเกียรติมากสำหรับข้าและเสี่ยวเหยียน”

เวิงอู๋โยวกล่าวอย่างสุภาพ

“ข้าจะนำอาหารเช้ามาให้พวกเจ้าทั้งสองเอง โปรดนั่งรอก่อนเถิด”

หลี่จิ่วเต้าเชื้อเชิญให้เวิงอู๋โยวกับเซี่ยเหยียนนั่งลง

“ท่านขอรับ ข้ามาแล้ว!”

ลวี่เหลียงรีบวิ่งตัดหน้าไปยังห้องครัว เพื่อตักข้าวสองชามและนำตะเกียบมาสองชุดมาให้

เวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนตั้งตารอคอยเป็นเวลานาน พวกเขาต้องการลิ้มรสอาหารที่ผู้อาวุโสทำแล้ว!

อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ยังไม่ได้ขยับตะเกียบ พวกเขาจึงอายเกินกว่าจะกินก่อนได้

หลี่จิ่วเต้าหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเวิงอู๋โยวและเซี่ยเหยียนตั้งตารอกินข้าวเช่นนี้

‘เกิดอะไรขึ้นกับผู้ฝึกตนพวกนี้กัน?’

‘เห็นอาหารที่ข้าทำแล้วอยากกินขนาดนั้นเชียว!’

“เชิญทั้งสองคนทานข้าวเถิด”

หลี่จิ่วเต้าหยิบชามขึ้นมาเริ่มทาน

“ได้เลย!”

“เช่นนั้น ข้าขอเสียมารยาทแล้ว!”

เวิงอู๋โยวกับเซี่ยเหยียนตอบรับทันที จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มกินข้าวต้ม

ยามข้าวต้มลงกระเพาะไป พวกเขาก็รู้สึกสบายกายในชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างอบอุ่นขึ้น อวัยวะแต่ละส่วนได้รับการหล่อเลี้ยง และความแข็งแกร่งในทุกด้านของร่างกายก็เพิ่มขึ้น!

“อร่อยยิ่งนัก!”

“ข้าไม่เคยได้ทานข้าวต้มที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย!”

ทั้งคู่พูดด้วยอารมณ์ปีติยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ จากนั้นพวกเขาก็กินกันคำใหญ่โต ในไม่ช้าข้าวต้มก็หมดลงอย่างรวดเร็ว

หลี่จิ่วเต้าแอบหัวเราะอย่างเงียบ ๆ ได้เห็นภาพนี้แล้วก็คิดว่า ‘ปกติผู้ฝึกตนเขาไม่หิวกันไม่ใช่เหรอ? นี่อะไรกัน ทานเหมือนกับคนไม่เคยได้กินข้าวมาก่อนเสียอย่างนั้น…’

ชายหนุ่มรู้ว่าข้าวต้มที่ตนทำนั้นอร่อย แต่พวกเขาเป็นถึงผู้ฝึกตนเลยนะ ไม่ใช่ว่าภาพลักษณ์ต้องมาก่อนหรือ?

“มีอีกหรือไม่ ข้าอยากกินอีกสักชาม”

เวิงอู๋โยวถามขึ้น

เมื่อข้าวต้มลงไปในท้อง เวิงอู๋โยวพลันรู้สึกได้ว่าแหล่งชีวิตในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เดิมทีเขาไม่สามารถอยู่ได้เป็นเวลานาน มากสุดก็หนึ่งปี ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกได้ว่าเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกสิบปี!

“เอ่อ ขออภัยด้วย เหลือเพียงชามเดียวเท่านั้น ข้าไม่อิ่มก็เลยตักทั้งหมดใส่ลงในชามตัวเองแล้ว”

ขณะถือชามเดินออกมา ลวี่เหลียงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มและนั่งกินต่อไป

เขากินเร็วขึ้นและไม่เอ่ยพูดสิ่งใดอีก จากนั้น เขาก็ตรงไปยังครัว ตักข้าวต้มที่เหลือใส่ในชามของตัวเอง

‘ผู้ใดลงมือก่อน ผู้นั้นย่อมชนะ ผู้อาวุโสอู๋โยว ท่านช้าไปแล้ว!’

แม้ว่าเวิงอู๋โยวจะทรงพลังและถือเป็นรุ่นเดียวกับบรรพชนสำนักเมฆาลับฟ้าของเขา แต่เขาก็ไม่กลัวเวิงอู๋โยว นี่เพราะมีผู้อาวุโสที่ทรงพลังเช่นหลี่จิ่วเต้าอยู่ด้วยข้างกาย

แม้จะมีความกล้าเต็มร้อย แต่เวิงอู๋โยวเองก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามต่อหน้าผู้อาวุโสทรงพลังเช่นหลี่จิ่วเต้า

“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ”

แน่นอนว่าเวิงอู๋โยวไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

‘ไอ้สารเลวก่อหายนะครั้งใหญ่กับสำนักไท่หัว แถมยังกล้าแย่งข้าวต้มข้าอีก เมื่อข้าออกไปข้างนอก ข้าจะถลกหนังหัวของเจ้าซะ!’

เขาเอ่ยอย่างขมขื่นในใจ และเหลือบมองลวี่เหลียงซึ่งอยู่ด้านข้าง

ใจของลวี่เหลียงกระตุกวูบและแข็งค้างทันทีเมื่อเห็นสายตาของเวิงอู๋โยว ก่อนจะรีบละสายตาหนี ไม่กล้ามองเวิงอู๋โยวอีก

เรื่องจริงหรือนี่…ผู้ฝึกตนพวกนี้ถึงกับมานั่งแย่งข้าวต้มที่ข้าทำ?

หลี่จิ่วเต้ามีมุมมองกว้างขวาง เขามองเห็นทุกการกระทำและรู้สึกขบขันอยู่ในใจไม่น้อย ผู้ฝึกตนดูไม่ได้พิเศษอย่างที่เขาคิดไว้ อันที่จริง พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไปมากนักเลย

*[1] ไท่ซาง กล่าวถึง จักรพรรดิที่สละราชสมบัติและก้าวลงจากบัลลังก์แล้ว