ตอนที่ 7 โควตาสมัครงานสามตำแหน่ง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 7 โควตาสมัครงานสามตำแหน่ง

ตอนที่ 7 โควตาสมัครงานสามตำแหน่ง

เมื่อเฉินเจียเหอบอกว่ายังรักษาสัญญาอยู่ แม่เฒ่าหลินพร้อมกับหลินเอ้อร์ฝูและภรรยาต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้แต่สายตาที่จ้องมองหลินเซี่ยก็อ่อนลง

แม่เฒ่าหลินมองเฉินเจียเหอด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

“ดีแล้ว โควตารับสมัครงานของเธอควรจะสงวนไว้สำหรับอารอง เมื่อเธอออกเดินทางหลังปีใหม่ เธอต้องพาเขาไปด้วย”

หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอด้วยความประหลาดใจหลังจากได้ยินคำพูดแม่เฒ่าหลิน

กลายเป็นว่าเฉินเจียเหอแต่งงานกับเธอโดยแลกเปลี่ยนกับโควตาการรับสมัครงานในเมืองเหรอ?

ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้?

สำหรับเธอ มันคุ้มค่าแล้วหรือ?

ในชีวิตที่แล้วหลินเซี่ยเคยสงสัยมาตลอดว่า ทำไมเฉินเจียเหอถึงอยากแต่งงานกับเธอ?

เป็นเพราะความรักหรือ?

เธอย้อนความทรงจำกลับไปสมัยที่อยู่ในเมืองไห่เฉิง ตระกูลเฉินและตระกูลเสิ่นดูเหมือนจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกันเลย แม้เธออาจจะเคยพบเจอเขาอยู่บ้าง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้คุ้นเคยกันสักนิด

หากเขาเพียงต้องการแต่งงานกับภรรยา เขาคงไม่รีบเร่งแต่งงานกับคนแบบเธอที่อายุน้อยกว่าถึงแปดปี

เขาเป็นช่างเทคนิคที่โรงงานยานยนต์ในเมืองไห่เฉิง และต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นวิศวกร เขามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเร็วของรถไฟในแต่ละขบวน และในที่สุดเขาก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคในการพัฒนารถไฟความเร็วสูง

เขามาจากครอบครัวที่มีฐานะดี มีลูกชาย และถือว่าไม่มีที่ติในแง่ของคุณสมบัติส่วนตัว ห่างไกลจากการเป็นหนุ่มโสดที่ไม่สามารถหาภรรยาใหม่ได้

เท่าที่เธอรู้ในชีวิตก่อน มีผู้หญิงไม่น้อยเลยที่ต้องการเอาชนะใจเฉินเจียเหอ

“นี่…” หลินเอ้อร์ฝูเห็นว่าเฉินเจียเหอตกลงอย่างง่ายดาย เขาก็ยกมือขึ้นถูจมูกและกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างประจบประแจง “หลานเขย เธอพอจะช่วยหาทางรับโควตาเพิ่มให้เราได้ไหม ลูกชายของฉันจะมีอายุครบสิบแปดปีในอีกหนึ่งเดือน ฉันอยากจะพาเขาไปในเมืองเพื่อทำงานด้วยกัน”

เมื่อเฉินเจียเหอได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็แข็งค้างด้วยความลำบากใจ

ไม่ใช่ว่าโควตาการรับสมัครนั้นหายาก แต่หลินเอ้อร์ฝูและลูกชายของเขานั้นไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าทำงาน

การให้โควตาทำงานสำหรับหนึ่งคนถือเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

แต่ก่อนที่เขาจะได้กล่าวคำปฏิเสธ หลินเซี่ยมองชายไร้ยางอายที่พยายามฉกฉวยผลประโยชน์และยิ้มให้เขา “อารอง ไม่มีปัญหาเลยค่ะ มันเป็นเรื่องเล็กน้อย”

เฉินเจียเหอตะลึง “???”

เธอพูดต่อว่า “อย่าว่าแต่ลูกพี่ลูกน้องของหนูเลย คุณอาจะพาอาสะใภ้ไปด้วยก็ยังได้”

“จริงเหรอ?” ดวงตาหลินเอ้อร์ฝูเปล่งประกายทันใด

หวังจวี๋เซียงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างหลิงเอ้อร์ฝูมองไปยังหลินเซี่ยด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

มันจะดีมากถ้าหล่อนสามารถเข้าเมืองไปกับพวกเขาด้วยได้

เดิมทีเนื่องจากหลินเซี่ยล้มเหลวในการแต่งงานกับหวังต้าจ้วงลูกพี่ลูกน้องของหล่อน หล่อนจึงรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่พอได้ยินว่าตนเองสามารถหางานทำในเมืองได้ ความสุขในใจพลันบดบังความขุ่นเคืองเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว

หลินเซี่ยยิ้มอย่างอบอุ่นให้พวกเขาและตอบตกลงทันที “แน่นอนค่ะ เจียเหอจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง แค่รอฟังข่าวนะคะ”

เฉินเจียเหอพูดไม่ออก

ดูเหมือนว่าเขาอาจไม่สามารถจัดการได้

เขาเหลือบมองหญิงสาวที่ยิ้มแย้มด้านข้าง นึกฉงนใจอย่างมากว่าเหตุใดเธอจึงเต็มใจช่วยเหลือพวกเขาให้ได้รับผลประโยชน์ ทั้งที่ก่อนหน้าเธอมีเรื่องขัดแย้งกับคนพวกนี้เสมอมา!

ตั้งแต่เช้าจวบจนถึงตอนนี้ การกระทำที่น่าสับสนของเธอมีมากมายทีเดียว

หลินเซี่ยสัญญาว่าจะช่วยทั้งสามคนหางานในเมือง ทำให้หลินเอ้อร์ฝูตื่นเต้นอย่างมาก “เซี่ยเซี่ย เธอแต่งงานถูกคนจริง ๆ”

หลินเอ้อร์ฝูรู้สึกโชคดีมาก โชคดีที่เขาไม่ฟังคำแนะนำของภรรยาที่บอกให้หลินเซี่ยแต่งงานกับหวังต้าจ้วง

หากหญิงสาวแต่งงานกับหวังต้าจ้วง อย่างมากที่สุดเขาคงได้รับไส้หมูชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญในช่วงปีใหม่

แต่เมื่อเธอแต่งงานกับเฉินเจียเหอ พวกเขาได้รับโอกาสทำงานในเมืองถึงสามตำแหน่ง

คราวนี้ พวกเขาทุ่มสุดตัวให้กับหญิงสาวตรงหน้าอย่างแท้จริง

หลินเอ้อร์ฝูพึงพอใจอย่างมาก จากนี้ไปพวกเขาจะกลายเป็นคนเมือง

แม่เฒ่าหลินพลอยมีความสุขไปด้วย ที่ครอบครัวลูกชายคนรองจะได้เข้าไปอยู่ในเมือง

นางยังใช้ประโยชน์จากพวกเขาเพื่อเยี่ยมชมเมืองในอนาคต

บางทีอาจจะได้พบกับเจ้าเด็กเสิ่นอวี้อิ๋งคนนั้น

แม้จะกล่าวคำสาปแช่งอีกฝ่าย แต่เด็กสาวถูกเลี้ยงดูมาโดยครอบครัวของหญิงชรา นางจึงมีความสัมพันธ์อันดีกับเด็กสาวเสมอ และยังเฝ้าห่วงหาหลังเสิ่นอวี้อิ๋งจากไปเพียงไม่กี่วัน

แม่เฒ่าหลินบอกหลิวกุ้ยอิงว่า “กุ้ยอิง รีบไปเตรียมอาหารสิ ทำอาหารอร่อย ๆ แล้วให้หลานเขยอยู่กินมื้อค่ำด้วยกัน”

“คุณย่าคะ หนูต้องการคุยกับแม่ ให้อาสะใภ้ช่วยดูแลเรื่องทำอาหารหน่อยได้ไหม?” หลินเซี่ยถามแม่เฒ่าหลินขณะที่จับแขนของหลิวกุ้ยอิง

แม้ว่าหญิงชราจะไม่ชอบใจหลินเซี่ย แต่นางก็ไม่กล้าผลีผลามทำสิ่งใด เนื่องจากยังติดสัญญาตำแหน่งงานอยู่

เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียเหอค่อนข้างใส่ใจต่อคำขอของหลินเซี่ย

หากพวกเขาไม่เก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ข้าง ๆ โอกาสในการทำงานเหล่านั้นอาจหายไป

แม่เฒ่าหลินจึงหันไปบอกสะใภ้คนรองว่า “สะใภ้รอง เธอไปทำแทนแล้วกัน”

หวังจวี๋เซียงไม่เต็มใจนัก หล่อนยัดมือเข้าไปในแขนเสื้อโดยไม่อยากนำออกมาอีก

มันเป็นฤดูหนาวที่หนาวจัด จนไม่คิดอยากอยู่ในครัว

เป็นหลิวกุ้ยอิงที่หุงข้าวอยู่เสมอ

วันนี้มีคนมากมาย พวกเขากลับยืนกรานที่จะให้หล่อนทำอาหาร โดยที่หล่อนไม่มีประสบการณ์ในการทำอาหารเลย

หลินเอ้อร์ฝูจ้องมองภรรยาและส่งสัญญาณให้หล่อนไปที่ห้องครัวโดยเร็ว ได้รับโควตาสมัครงานมาถึงสามตำแหน่ง ทำไมหล่อนถึงไม่รีบทำอาหารอุ่น ๆ ให้พวกเขาล่ะ?

แม่เฒ่าหลินสั่ง “รีบไปทำบะหมี่เครื่องผัด และเติมซอสปรุงรสเยอะ ๆ”

เพื่อรักษาโอกาสในการทำงาน หวังจวี๋เซียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝืนยิ้มตอบไปว่า “ค่ะ ฉันจะไปทำเดี๋ยวนี้”

ขณะที่หวังจวี๋เซียงกำลังทำอาหาร แม่เฒ่าหลินทักทายหลินเซี่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ เซี่ยเซี่ย มานั่งบนเตียงเตาและคุยกับย่าหน่อย หลานกลับมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ได้แวะมาคุยกับย่าเลย”

หลินเซี่ยมองแม่เฒ่าหลินด้วยสายตาเหน็บแนมพร้อมตอบกลับ “ใช่ค่ะ ก็เพราะคุณรีบร้อนให้หนูแต่งงานไม่ใช่เหรอ? แล้วหนูจะมีโอกาสคุยกับคุณอย่างเปิดใจได้ยังไง?”

หลังจากที่ถูกหลินเซี่ยโต้กลับ สีหน้าแม่เฒ่าหลินก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง

นังเด็กคนนี้ปากจัดเสียจริง

แต่ตอนนี้นางไม่สามารถสร้างความขุ่นเคืองให้กับหลินเซี่ยได้

นางเหลือบมองเฉินเจียเหอ จากนั้นมองหลินเซี่ยอย่างรักใคร่ “ฉันเสนอให้เธอแต่งงานก็เพื่อประโยชน์ของเธอเอง ผู้หญิงไม่สามารถเป็นโสดตลอดไปได้ เห็นไหมว่าหลังแต่งงานเธอได้ดีขนาดไหน ถ้าฉันไม่ตัดสินใจแทนให้ เธอจะได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ แบบเขาเหรอ?”

หลินเซี่ยพูดไม่ออก ใบหน้าของหญิงชราหนาเหมือนกำแพงเมืองจีนจริง ๆ

ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นคนเฉลียวฉลาด การพยายามหลอกลวงเธอตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย

แม่เฒ่าหลินยังคงไม่ยอมแพ้ในการพยายามสร้างความสัมพันธ์กับหลินเซี่ย “บนพื้นหนาวจะตาย รีบขึ้นมานั่งบนเตียงเตาสิ”

“คุณย่าคะ หนูกับแม่จะไปคุยกันตามลำพังที่ห้องตะวันตก ดังนั้นหนูไม่ไปนั่งบนเตียงเตาค่ะ”

แม่เฒ่าหลินเผชิญกับการถูกปฏิเสธอย่างเย็นชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งหญิงชราโกรธเคืองเป็นอย่างมาก

หลินเซี่ยขอให้เฉินเจียเหอนั่งรออยู่ที่นี่ก่อน เธอต้องการคุยกับแม่ตามลำพัง

หลิวกุ้ยอิงกลัวว่าหญิงชราจะโกรธ หล่อนจึงมีท่าทางลังเลที่จะออกไป ทว่าหลินเซี่ยลากตัวอีกฝ่ายออกจากห้องหลักและเข้าไปในห้องทางทิศตะวันตกแล้ว

เธอปิดประตูและดึงหลิวกุ้ยอิงไปนั่งที่เตียงเตา

จากนั้นก็โน้มตัวเข้าสู่อ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นแม่

หลิวกุ้ยอิงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของบุตรสาว หล่อนยกมือขึ้นอย่างระมัดระวังเพื่อโอบกอดเด็กสาวไว้ในอ้อมแขน

“แม่คะ หนูคิดถึงแม่มากเลย”

หลังรับฟังเสียงนุ่มนวลของบุตรสาว น้ำตาใสก็หลั่งไหลออกจากดวงตาหลิวกุ้ยอิง

หล่อนรู้สึกโล่งใจมากจริง ๆ ที่ลูกสาวเข้าใจและยินดีรับตนเป็นแม่

ทันทีที่หญิงสาวแต่งงานมีครอบครัว ดูเหมือนว่าเธอจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน

หลิวกุ้ยอิงมองลูกสาวที่อยู่ในอ้อมแขนพลางกล่าวคำขอโทษอย่างรู้สึกผิด

“เซี่ยเซี่ย แม่ขอโทษ”

หล่อนร้องไห้และกล่าวคำเสียงสั่น “ตอนนั้นแม่ไม่ได้นึกถึงใจลูกมากนัก”

เมื่อได้ยินคำขอโทษจากผู้เป็นแม่ หลินเซี่ยปาดน้ำตาและนั่งตัวตรง สายตามองหลิวกุ้ยอิงและถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “แม่คะ บอกความจริงหนูมาเถอะ แม่ไม่รู้จริง ๆ หรือว่าอุ้มเด็กไปผิดคน?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พอเสนอผลประโยชน์ให้นี่พลิกจากหน้าเท้าเป็นหน้ามือเชียวนะคนบ้านนี้

ยังไงหนอ เริ่มงงลำดับญาติของครอบครัวนี้แฮะ สรุปเซี่ยเซี่ยเป็นคนตระกูลหลินจริงหรือเปล่า

ไหหม่า(海馬)