ตอนที่ 6 คำสัญญาของเฉินเจียเหอต่อตระกูลหลิน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 6 คำสัญญาของเฉินเจียเหอต่อตระกูลหลิน

ตอนที่ 6 คำสัญญาของเฉินเจียเหอต่อตระกูลหลิน

หลังจากเสิ่นอวี้อิ๋งกลับเข้าไปอยู่ในเมือง หล่อนก็ทอดทิ้งเขาอย่างไม่ไยดี หลังจากนั้นหลายปี ในที่สุดเจิ้งต้าเฉิงก็ค้นพบที่อยู่ใหม่ของเสิ่นอวี้อิ๋งในเมืองใหญ่ จึงเริ่มรื้อฟื้นทวงบุญคุณสารพัดในทันที ในเวลานั้นเสิ่นอวี้อิ๋งถูกเขารบกวนหนักจนแทบบ้า

เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของหล่อนเสียหายในฐานะหญิงสาวที่ทั้งบริสุทธิ์และสวยงาม เสิ่นอวี้อิ๋งจึงหลอกใช้เจิ้งต้าเฉิงในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อทำให้สถานะของตัวเองมั่นคง

ต่อมาเมื่อหล่อนได้เข้าสู่วงการบันเทิง จึงมอบหมายให้เจิ้งต้าเฉิงมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของตัวเอง

หลินเซี่ยเดินเข้าไปหาเขา มองหน้าเจิ้งต้าเฉิงแล้วถามว่า “สหายคะ คุณคงเป็นแฟนของเสิ่นอวี้อิ๋งสินะ?”

เมื่อได้ยินชื่อเสิ่นอวี้อิ๋ง เจิ้งต้าเฉิงก็ยังนิ่งไม่ตอบสนองใด ๆ

หลินเซี่ยอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หลินเซี่ยคนเก่านั่นแหละค่ะ ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ชื่อเสิ่นอวี้อิ๋งแล้ว คุณล่ะเป็นใคร? ใช่แฟนของหล่อนหรือเปล่า?”

“ใช่ครับ ผมเป็นแฟนของหลินเซี่ย ชื่อเจิ้งต้าเฉิง” เจิ้งต้าเฉิงบ่นอย่างโกรธ ๆ “หล่อนคุยกับผมตอนที่เรียนมัธยมปลายในเขตปกครอง และบอกผมว่าคงไม่สามารถเข้าวิทยาลัยได้อยู่แล้วหลังจากจบมัธยมปลาย หล่อนจึงจะแต่งงานกับผม เราคุยกันมาปีกว่าแล้ว ผมมอบมรดกสืบทอดของครอบครัวทั้งหมดให้กับหล่อน แต่จู่ ๆ หล่อนก็ขาดการติดต่อกับผม”

เจิ้งต้าเฉิงรู้สึกปั่นป่วนทางอารมณ์ เขาลงทุนเงินและความรู้สึกมากเกินไปกับเสิ่นอวี้อิ๋ง เขาจึงไม่เต็มใจที่จะเสียทั้งเงินและหญิงสาว

เขาเป็นบุตรชายของหัวหน้าสถานีเครื่องจักรกลการเกษตรประจำอำเภอ มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี มีอายุมากกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่หนึ่งปี แม้ไม่ได้เข้าวิทยาลัย แต่หลังเรียนจบก็เริ่มงานซ่อมเครื่องจักรที่สถานีการเกษตร

เขารอให้เสิ่นอวี้อิ๋งแต่งงานกับเขาหลังจากหล่อนจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม ใครจะคาดคิดได้ว่าหลังจากเรียนจบแล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งจะต้องเรียนซ้ำอีกปี เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรอ และรอต่อไป จากนั้นเขาก็หาตัวหล่อนไม่เจอด้วยซ้ำ

เมื่อแม่เฒ่าหลินเห็นเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย ดวงตาขุ่นมัวพลันสว่างขึ้นทันใด แสร้งทำเป็นทักทายพวกเขาอย่างมีความสุข “โอ้ หลานสาวและหลานเขยกลับมาที่นี่เหรอ?”

หลินเซี่ยไม่ได้มีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับหญิงชราคนนี้มากนัก เธอจึงเฉยชาและไม่ตอบสนอง

ชีวิตก่อนหน้านี้ ในเวลาเพียงสิบวันสั้น ๆ เธอได้เห็นธาตุแท้ของหญิงชราคนนี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อหลิวกุ้ยอิงพาเธอกลับมา ทันทีที่เดินผ่านเข้าประตู หญิงชราก็เริ่มค้นหาของมีค่าจากร่างกายเธอ เมื่อเห็นว่ากระเป๋าของเธอนั้นเอี่ยมสะอาดยิ่งกว่าใบหน้า หญิงชราก็ชักสีหน้าและพูดเยาะเย้ยว่าเธอเป็นคนล้มเหลวไร้ค่า

แม่เฒ่าหลินไม่ใส่ใจใบหน้าเย็นชาของหลินเซี่ย ก่อนพูดกับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “เจียเหอ เซี่ยเซี่ย พวกเธอควรจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว พ่อหนุ่มนี่อ้างว่าเด็กหญิงที่เขาคบหาเอาเงินเขาไปมากมาย ลองค้นกระเป๋าตัวเองดูว่ามีเงินติดตัวไหม อย่ารอช้าส่งเงินคืนเขาไปเสีย”

เมื่อได้ยินคำขอไร้ยางอายของหญิงชรา หลินเซี่ยก็ตอบโต้อย่างเย็นชา “ทำไมเราต้องจ่ายเงินคืน? หนูไม่ได้ใช้เงินของเขานี่คะ”

“ทำไมต้องคืนเงินน่ะเหรอ? หลินเซี่ยตัวปลอมกลับเข้าเมืองไปแล้ว ดังนั้นหลินเซี่ยตัวจริงควรสะสางความยุ่งเหยิงที่ทิ้งไว้ข้างหลัง มิฉะนั้นคงไม่มีฝ่ายไหนที่อยู่อย่างสงบสุข”

หลินเซี่ยเยาะเย้ยคำขู่ของแม่เฒ่าหลิน “หนูแต่งงานแล้ว หนูควรต้องกลัวว่าคุณจะทอดทิ้งหนูไว้ตามลำพังอีกเหรอคะ?”

ในชีวิตก่อน หญิงชราและคู่สามีภรรยาของลูกชายคนรองไม่ได้ทิ้งความประทับใจที่ดีไว้กับเธอเลย เธอจึงไม่สนใจแสดงสีหน้าเป็นมิตรด้วย

หลิวกุ้ยอิงกลัวว่าหญิงชราจะโกรธ หล่อนจึงดึงแขนของหลินเซี่ยเบา ๆ และกระซิบเตือนเธอว่า “เซี่ยเซี่ย อย่าพูดกับคุณย่าแบบนั้นสิลูก”

เมื่อเห็นท่าทางยอมจำนนของแม่ตัวเองต่อหน้าคนเหล่านี้ หลินเซี่ยพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

สตรีผู้นี้ ถูกกดขี่ข่มเหงมานาน จนไม่สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้อีกต่อไป

เช่นเดียวกับเธอในชาติที่แล้ว

ต้องถูกข่มเหงไปจนตาย

เธอมองไปที่เจิ้งต้าเฉิง ดวงตาวูบไหวเล็กน้อยขณะกล่าวคำ “เจิ้งต้าเฉิง แม้เสิ่นอวี้อิ๋งจะกลับบ้านไปหาครอบครัวของหล่อนในเมือง แต่หล่อนยังไม่ลืมความรู้สึกระหว่างพวกคุณทั้งสองอย่างแน่นอน หล่อนจากไปด้วยความเร่งรีบ และอาจเป็นไปได้ที่จะไม่มีโอกาสแจ้งให้คุณทราบ คุณเป็นผู้ชาย หากคุณมีความรู้สึกอันดีต่อหล่อนอย่างแท้จริง คุณควรริเริ่มตามหาหล่อนในเมืองและกลับมาสานสัมพันธ์กันต่อไป แทนที่จะมาบ้านของเราเพื่อขอเงินเล็กน้อยเหล่านั้น”

สีหน้าของเจิ้งต้าเฉิงสดใสขึ้นเมื่อได้รับฟังถ้อยคำดังกล่าว เขาเกาหัวตัวเอง “แต่บ้านของหล่อนอยู่ตรงไหนของในเมืองล่ะ? ผมคงหาไม่เจอหรอก”

หลินเซี่ยลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันจะบอกที่อยู่ให้คุณเองค่ะ”

หลินเซี่ยสังเกตเห็นหนังสือพิมพ์ฉีกขาดวางอยู่บนโต๊ะ เธอจึงไปหยิบมันมา เฉินเจียเหอเป็นช่างเทคนิคซึ่งมักพกปากกาติดตัวไว้เสมอ เธอรับมันมา จากนั้นจดที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เธอเงยหน้าขึ้นมองเจิ้งต้าเฉิงด้วยความจริงใจ “นำไปตามหาตัวหล่อนนะคะ ใช้ความรู้สึกที่แท้จริงของคุณเพื่อเอาชนะใจหล่อนให้ได้”

เจิ้งต้าเฉิงรับมันมาและชำเลืองดูข้อมูล ก่อนมองเธอด้วยความสงสัยอยู่บ้าง “คุณห้ามโกหกผมนะ”

“ครอบครัวของฉันอยู่ที่นี่ ถ้าฉันโกหกคุณ คุณสามารถกลับมาหาฉัน หรือเรียกร้องเงินจากใครก็ได้ในครอบครัวของฉัน”

หลินเซี่ยพูดอย่างจริงใจ

เจิ้งต้าเฉิงรับที่อยู่ที่เธอเขียน หลังลังเลอยู่สองถึงสามวินาที แล้วจึงขอตัวจากไป

คำพูดของหลินเซี่ย สำหรับเขาแล้ว มันเป็นสิ่งล่อลวงจิตใจอย่างมาก

นอกจากนี้ยังถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขา ที่เสิ่นอวี้อิ๋งกลายเป็นลูกสาวของครอบครัวที่มีฐานะดีในเมือง

เขาจะกลายเป็นลูกเขยของชาวเมืองในอนาคต

ทันทีที่เจิ้งต้าเฉิงจากไป แม่เฒ่าหลินที่นั่งบนเตียงเตาพลันตบต้นขาและกล่าวคำสาปแช่ง “นังเด็กสารเลวนั่นอ้างว่าจะไปเรียน แต่จริง ๆ แล้วหล่อนกำลังคบหาอยู่กับผู้ชายในตัวอำเภอ”

หลังจากสาปแช่งเสร็จ นางหันมาจ้องมองหลิวกุ้ยอิงและเริ่มสาปแช่งอีกครั้ง “มันเป็นความผิดของเธอทั้งหมดที่ยืนกรานที่จะส่งนังเด็กนั่นไปเรียน แล้วตอนนี้ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น? ผู้คนมาเรียกร้องขอเงินที่เด็กนั่นฉ้อฉลถึงหน้าประตูบ้าน”

หลิวกุ้ยอิงถูกดุด่าอีกครั้ง หล่อนทำได้แค่ก้มหน้าลงและอดทน

เป็นเรื่องจริงที่หญิงชราเคยยกย่องเด็กสาวคนนั้นและปฏิบัติต่อหล่อนดีกว่าใคร ๆ หญิงชรายังคาดหวังให้หล่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูล แต่เมื่อเด็กคนนั้นจากไป เหตุใดความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่หลิวกุ้ยอิงด้วย?

หลินเซี่ยโต้กลับด้วยความโกรธ “คุณมาตำหนิแม่ของหนูทำไม? ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจการเรียนเองไม่ใช่หรือไง?”

เสิ่นอวี้อิ๋งทำนิสัยแย่ ๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่แม่ส่งหล่อนไปเรียน?

การที่แม่ของเธอเต็มใจอดทนต่อแรงกดดันมหาศาล เพื่อสนับสนุนการศึกษาของเสิ่นอวี้อิ๋ง มันยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าแม่ของเธอมีความคิดก้าวหน้าและไม่เหมือนกับกลุ่มปลิงอนุรักษนิยม

หลินเซี่ยดูหมิ่นหญิงชราซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งแม่เฒ่าหลินเริ่มทนไม่ได้ นางจึงหันเหกระบอกปืนมาที่หลินเซี่ยและพูดว่า “โอ้ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าพูดกับฉันแบบนี้? ฉันจะพูดถึงผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เลยหรือไง?”

“แต่คุณกำลังโยนความผิดมาให้แม่ของหนู” หลินเซี่ยจ้องมองหญิงชราอย่างดุเดือด โดยปฏิเสธที่จะถอยกลับ

หลิวกุ้ยอิงเข้ามาดึงเธออีกครั้ง “เซี่ยเซี่ย อย่าเถียงกับคุณย่าสิลูก”

“แม่คะ ยืนหยัดกว่านี้หน่อย แม่ไม่ได้ติดหนี้พวกเขาเลย”

“หญิงโง่เขลาคนนั้นจากไปแล้ว แต่นังเด็กสารเลวคนนี้ย่ำแย่ยิ่งกว่าอีก” แม่เฒ่าหลินตบต้นขาและเริ่มคร่ำครวญ “ลูกชายคนโตเอ๋ย มองลงมาจากฟากฟ้าสิ แม่ของแกกำลังถูกลูกสาวตัวดีของแกกลั่นแกล้งแบบนี้”

“คุณแม่ครับ” หลินเอ้อร์ฝูกล่าวทักเป็นสัญญาณให้หญิงชราที่ร้องไห้คร่ำครวญโดยไม่มีน้ำตา

แม่เฒ่าหลินมองดูสีหน้าเคร่งขรึมของเฉินเจียเหอ และตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น ความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้าของนางช่างน่าทึ่งนัก รอยยิ้มดุร้ายแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนขณะกล่าวทักทายเฉินเจียเหอ “เจียเหอ นั่งลงสิ เซี่ยเซี่ยเป็นหลานสาวของฉัน ฉันแค่ให้คำแนะนำแก่หล่อนสองถึงสามคำ อย่าเก็บไปใส่ใจเลย”

เฉินเจียเหอตอบกลับด้วยท่าทางสงบ “คุณย่า ถ้าหล่อนทำอะไรผิด คุณมีสิทธิ์ตำหนิหล่อน แต่ผมเชื่อว่าคำพูดของหลินเซี่ยเมื่อกี้ไม่ผิด หล่อนปกป้องแม่ของตัวเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกตัญญู นอกจากนี้แม่ยายของผมก็ไม่ได้ทำผิดเช่นกัน”

เฉินเจียเหอยืนหยัดปกป้องแม่ลูกหลิวกุ้ยอิงและหลินเซี่ย ในตอนแรกแม่เฒ่าหลินไม่พอใจ แต่เมื่อพิจารณาถึงคำสัญญาที่เฉินเจียเหอให้ไว้กับพวกเขายังไม่บรรลุผล นางจึงไม่กล้าผลีผลามทำสิ่งใดให้เขาขุ่นเคือง และยิ้มกล่าวด้วยความประนีประนอม “ใช่แล้ว เด็กคนนี้กตัญญูรู้คุณดี”

แววตาหญิงชราแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมพลางถามเฉินเจียเหอว่า “เจียเหอ เธอคงยังไม่ได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเราใช่ไหม?”

เฉินเจียเหอตอบกลับด้วยความเคารพ “ผู้น้อยไม่กล้าลืมครับ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่เฉินไปสัญญาอะไรไว้หนอ นางปลิงเฒ่านี่ถึงยังมีท่าทางเกรงใจอยู่

ไหหม่า(海馬)