ตอนที่ 5 กล้าดียังไงมากอดเมียฉัน
ตอนที่ 5 กล้าดียังไงมากอดเมียฉัน
แม้ว่าเฉินเจียเหอจะเติบโตขึ้นในหมู่บ้านตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็ไม่ค่อยได้อยู่ในหมู่บ้านสักเท่าใด อีกทั้งพื้นฐานครอบครัวของเขาก็ไม่ได้ดีอะไรมาก ยกเว้นคนบ้าอย่างเอ้อร์เลิ่งคนนั้นแล้วก็ไม่มีใครสุงสิงกับเขามากนัก
หลินเซี่ยรู้สึกหวาดกลัวมากเมื่อได้ยินเสียงหมูถูกเชือด จนเส้นขนบนผิวหนังลุกเกรียวไปทั้งตัว
เมื่อเห็นหวังต้าจ้วงถือมีดและมองมาทางนี้ด้วยใบหน้าดุร้าย ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือนในชาติที่แล้วของเธอก็ถาโถมเข้าใส่ ขนของเธอลุกเกรียวหนักกว่าเก่า ร่างกายสั่นสะท้าน
คำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋งที่พูดก่อนที่เธอจะตายจาก ดังก้องอยู่ในหูของเธออีกครั้ง
หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความหวาดกลัว จับแขนเฉินเจียเหอไว้แน่น ก่อนจะย่อตัวลงไปหลบอยู่ข้างกายเขา
เฉินเจียเหอสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของหญิงสาว จึงยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ของเธอทันที
“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่เป็นไร”
การกระทำนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ไม่เหมาะสมสำหรับโลกยุคสมัยใหม่ที่เปิดกว้าง แต่เมื่ออยู่ในยุคอนุรักษนิยมแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลและล้าหลัง ฉากดังกล่าวค่อนข้างเปิดเผยเกินสมควร
ภาพนั้นส่งผลกระทบต่อประสาทการรับรู้ของหวังต้าจ้วงอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มหลายคนที่มีอายุมากกว่าหวังต้าจ้วงและยืนอยู่ข้างเขา มองไปที่เฉินเจียเหอด้วยความเกลียดชัง
ปกติในหมู่บ้านก็มีหมาป่ามากกว่าเนื้ออยู่แล้ว แต่เฉินเจียเหอที่มาจากในเมืองกลับมาแย่งชิง “เนื้อ” ไปจากพวกเขา
ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ
ผู้ชายกลุ่มนั้นมองทั้งสองด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ไม่มีเจตนาว่าจะหลีกทางให้เลยแม้แต่น้อย
สายตาเฉียบคมของเฉินเจียเหอสบเข้ากับดวงตาที่ฉายแววคุกคามของพวกเด็กหนุ่มที่กรูกันมายืนขวางถนน เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกนายหมายความว่ายังไง?”
เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินเจียเหอที่หน้าตาถมึงทึง คนกลุ่มนั้นกลับไม่กลัวเลย เพราะถือว่าฝั่งตัวเองมีจำนวนคนมากกว่า “ไม่หมายความว่าไงหรอก พวกเรากำลังเชือดหมู แล้วนายก็ผ่านมาพอดี”
“หลีกไปให้พ้น” เฉินเจียเหอรั้งหลินเซี่ยไว้ข้างหลัง เดินไปข้างหน้าทีละก้าว
หวังเสี่ยวจวิน ลูกพี่ลูกน้องของหวังต้าจ้วงแค่นเสียงพูดด้วยความขุ่นเคือง “เฉินเจียเหอ ฉันควรถามนายต่างหากว่าหมายความว่ายังไง? รู้ไหมว่าผู้หญิงที่นายกอดอยู่ควรแต่งเป็นเมียของต้าจ้วงก่อนนายซะอีก? ในเมืองไม่มีผู้หญิงคนอื่นแล้วหรือไง? ถึงมาแย่งเมียของพี่น้องร่วมหมู่บ้านกันแบบนี้?”
คำพูดของหวังเสี่ยวจวินยิ่งจุดประกายความโกรธแค้นของหวังต้าจ้วงขึ้นมาอีกครั้ง
เขากระชับมีดในมือแน่น เมื่อเห็นมือแข็งแกร่งของเฉินเจียเหอกอดไหล่เพรียวบางของสาวสวยคนนั้นไม่ปล่อย ใบหน้าของเขาก็สั่นเทาด้วยความโกรธ อยากเอามีดสับมือเฉินเจียเหอให้ขาดตรงนั้น
ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นควรเป็นภรรยาของเขา ต้องเป็นภรรยาของเขาสิ!
“หวังต้าจ้วง เขาคู่ควรแล้วเหรอ?”
สายตาคมกริบของเฉินเจียเหอกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของหวังต้าจ้วง ดวงตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เฉินเจียเหอ ไอ้สารเลว แกกับฉันต้องเจอกันหน่อย”
หวังต้าจ้วงที่กำลังตกตะลึงอยู่กับความสวยของหลินเซี่ย ทันทีที่ได้ยินคำพูดยั่วยุของเฉินเจียเหอ ก็คว้ามีดพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที “ไอ้คนแซ่เฉิน วันนี้ฉันจะฆ่าแกซะ”
ด้วยความตาไวมือไว เฉินเจียเหอจึงผลักร่างหลินเซี่ยให้ไปหลบอยู่ข้างหลังได้ทันเวลา จากนั้นก็จับข้อมือของหวังต้าจ้วงด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกมือหนึ่งเอื้อมไปคว้ามีดจากมือของเขา
ชาวบ้านที่กำลังเชือดหมูในที่เกิดเหตุต่างตกตะลึงกับการตั้งรับของเฉินเจียเหอที่ลื่นไหลเหมือนสายน้ำ
กลุ่มเด็กหนุ่มที่มายืนขวางถนนในตอนแรกต่างก็กลืนน้ำลายลงคอกันอึกใหญ่
ผู้ชายคนนี้ สมควรแล้วที่เขาเคยเป็นทหารมาก่อน ทักษะการต่อสู้ของเขาจึงเก่งกาจกว่าคนทั่วไปมาก
ขนาดหวังต้าจ้วงทุ่มเทพลังกายทั้งหมดแล้วก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้
เฉินเจียเหอขว้างมีดปังตอไปปักอยู่แทบเท้าพ่อของหวังต้าจ้วง พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ลุงหวัง ช่วยอบรมสั่งสอนลูกชายของคุณหน่อย อย่าถือมีดพุ่งเข้าใส่ใครซี้ซั้ว เกิดเผลอแทงตัวเองขึ้นมาคงไม่ดีหรอก”
เหล่าหวังพ่อค้าเนื้อมองไปที่เฉินเจียเหอ ใบหน้าอ้วนท้วนของเขาฉายแววไม่พอใจไม่ต่างกัน แต่เนื่องจากสถานะของเขา จึงไม่กล้าพูดอะไรออกไป
เขาตะโกนใส่หวังต้าจ้วง “ไอ้ลูกคนนี้ ทำไมยังไม่กลับมาทำงานของตัวเองอีก?”
หวังต้าจ้วงได้แต่หยิบมีดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
หลังจากดึงมีดที่ปักอยู่บนพื้นออกแล้ว เขาก็เดินกลับไปด้วยท่าทางดุร้าย หันกลับไปขูดขนหมูต่อ
เมื่อเห็นว่าหวังต้าจ้วงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างขี้ขลาด พวกเด็กหนุ่มที่ขวางทางก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมหลีกทางให้โดยไม่เต็มใจ
หลินเซี่ยรีบเดินตามเฉินเจียเหอ ชายตามองแผ่นหลังของหวังต้าจ้วงด้วยสีหน้ามืดมน
น่าขยะแขยงสิ้นดี
ฝากไว้ก่อนเถอะ ชาตินี้เธอจะสะสางบัญชีแค้นทั้งหมดในชาติที่แล้วกับพวกเขาทีละเรื่อง
หลินเซี่ยพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง ไม่ให้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์สำคัญ
เธออยากเจอแม่บังเกิดเกล้าของตัวเองในสภาพที่ดีที่สุด
เมื่อก่อนเธอเคยถือว่าตัวเองเป็นสาวชาวเมือง จึงขีดเส้นเว้นระยะห่างอย่างชัดเจนกับอีกฝ่าย แต่เมื่อเกิดใหม่ชาตินี้เธอจะต้องทำตัวให้ดี ไม่เลือกทางเดินผิดเหมือนชีวิตที่แล้วอย่างแน่นอน
เธอไม่คุ้นเคยกับทางไปบ้านตระกูลหลินจริง ๆ ชาติที่แล้วตอนเธอแต่งงานกับเฉินเจียเหอหลังจากกลับมาอยู่ในบ้านตระกูลหลินได้ไม่ถึงสิบวัน จำได้ว่าช่วงสิบวันนั้นเธอหนาวจนแทบไม่ได้ออกไปไหน มักจะนอนอยู่บนเตียงเตาแล้วให้แม่คอยปรนนิบัติเหมือนคนรับใช้
เพราะเหตุผลนี้ คุณย่าและอารองของเธอจึงรู้สึกว่าเธอช่างเป็นผู้หญิงที่ไร้ประโยชน์ ตอนกลับมาจากในเมืองใหม่ ๆ เธอแทบไม่ได้เงินติดตัวมาสักหยวน แต่กลับกินนอนอยู่ที่บ้านฟรี ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบหาสามีให้เธอ
เฉินเจียเหอหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ หลินเซี่ยพอจำได้ราง ๆ ว่านี่คือบ้านของครอบครัวตัวเอง
เมื่อเทียบกับครอบครัวอื่น ๆ ในหมู่บ้าน สภาพของครอบครัวตระกูลหลินนับว่าไม่เลวเลย ในเขตรั้วมีบ้านซึ่งก่อขึ้นจากอิฐอย่างดีสามหลัง ตั้งอยู่ครบทั้งสี่ทิศทาง ลานบ้านปูด้วยปูนซีเมนต์ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นบ้านของครอบครัวที่ร่ำรวย
พอประตูเปิดออก ทั้งสองก็เดินเข้าไปทันที
สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่ล่ามไว้กับประตูยังคงเห่าไม่หยุด
ทันทีที่พวกเขาเดินมาจนถึงลานบ้าน ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากข้างใน
ทันทีที่สุนัขในลานเห่าเสียงดัง ใครคนหนึ่งจากห้องโถงก็เยี่ยมหน้าออกมาดูความเคลื่อนไหว
เมื่อม่านประตูถูกแหวกออก หลินเซี่ยก็เห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งสวมผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงิน ทันใดนั้นจมูกของเธอก็เริ่มฟึดฟัด หยดน้ำตาร่วงรินลงมาทันที มองหล่อนได้แวบเดียวเท่านั้น ก็ร้องเรียกแม่ด้วยเสียงเจือสะอื้น
หลิวกุ้ยอิงมีความสุขมากเมื่อเห็นลูกสาวและลูกเขยมาเยี่ยมถึงบ้าน ก่อนที่หล่อนจะพูดอะไรออกมา ก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินหลินเซี่ยเรียกตัวเองว่าแม่ หล่อนตอบกลับด้วยความยินดีทันที “จ้ะ จ้ะ”
ในที่สุดลูกสาวคนนี้ก็เต็มใจเรียกหล่อนว่าแม่แล้ว
หลิวกุ้ยอิงปาดน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความตื่นเต้น
เฉินเจียเหอเดินตามหลินเซี่ยเข้ามา ร้องเรียกนางว่า “คุณแม่”
“เจียเหอ เซี่ยเซี่ย รีบเข้ามาในบ้านเร็วเข้า” หลิวกุ้ยอิงรู้สึกปีติยินดีจนพูดไม่ออก ได้แต่ยิ้มแย้มต้อนรับพวกเขา แล้วรีบพาทั้งสองไปที่ห้องโถง
ทั้งสองเดินตามหลิวกุ้ยอิงเข้าไป หญิงชราตระกูลหลินนั่งอยู่บนเตียงเตาในห้องโถง ด้านข้างคือหลินเอ้อร์ฝูและภรรยาของเขาซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าไม่พอใจ นอกจากนี้ ยังมีชายหนุ่มแปลกหน้าในห้องกำลังต่อว่าอะไรบางอย่างกับพวกเขา “ผมไม่สน ถ้าพวกคุณไม่ยอมพา ‘หลินเซี่ย’ กลับมาหาผม งั้นก็คืนเงินทั้งหมดที่เธอรีดไถจากผมมาให้ครบ ผมไม่ยอมเสียเงินโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงได้ยินว่าตอนเรียนอยู่เสิ่นอวี้อิ๋งเคยหลอกเอาเงินจากผู้ชาย ใบหน้าของหล่อนก็ฉายแววหดหู่ รู้สึกผิดหวังมาก
ค่าเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยมปลายของเสิ่นอวี้อิ๋ง คือเงินที่หล่อนได้รับเป็นค่าชดเชยจากการประสบอุบัติเหตุระหว่างทำงานของหลินต้าฝู ส่วนค่าครองชีพคือเงินทั้งหมดที่ได้รับจากการทำงานล่วงเวลาในแต่ละเดือน เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ แล้ว หล่อนมีอันจะกินกว่าพวกเขามาก แล้วทำไมหล่อนถึงยังหลอกเอาเงินจากคนอื่นอีก?
เมื่อแม่เฒ่าหลินได้ยินว่าอีกฝ่ายเรียกร้องให้พวกเขาหาเงินมาคืน นางก็ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิทันที ตอบกลับอย่างเย็นชาว่า “เธออยากโง่ให้เงินผู้หญิงสารเลวคนนั้นด้วยความเสน่หาเองทำไมล่ะ พวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยสักนิด เรื่องอะไรต้องหาเงินมาคืนด้วย ไปตามทวงเอาจากหล่อนสิ”
“แต่หล่อนเป็นลูกสาวของครอบครัวคุณ หล่อนเอาเงินผมไปไม่คืนแบบนี้ จะให้ผมไปทวงจากใครถ้าไม่ใช่ผู้ปกครอง? ถ้าวันนี้พวกคุณไม่ยอมคืนเงินให้ผม ผมก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ทันทีที่หลินเซี่ยเดินเข้ามาในห้อง เธอรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าช่างดูคุ้นเคย
หลังจากได้ยินเรื่องที่เขาโต้เถียงกับหญิงชราตระกูลหลิน ดวงตาของเธอก็สั่นไหวเล็กน้อย จำตัวตนของเขาได้ทันที
เจิ้งต้าเฉิง!
แฟนคนแรกของเสิ่นอวี้อิ๋ง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ก่อเรื่องตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นเลยนะยัยอวี้อิ๋ง แต่ชาตินี้เธอจะไม่ได้เกิดในวงการบันเทิงแล้วล่ะ เซี่ยเซี่ยมาเปลี่ยนเหตุการณ์แล้ว
ไหหม่า(海馬)