บทที่ 5 ดรรชนีกระบี่เทพ เตรียมพร้อมสร้างฐาน
หานเจวี๋ยตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
เขาพยายามแสดงความประหลาดใจสุดกำลัง เตรียมป้องกันหากสิงหงเสวียนลงมือทุกเมื่อ
จู่ๆ สิงหงเสวียนก็ก้าวเดินมา จับมือของเขาไว้แน่น ก่อนยิ้มกล่าวอย่างตื่นเต้น “สมกับที่เป็นเจ้า เจ้าเป็นตัวนำโชคของข้าจริงๆ!”
“แค่ท่านมีความสุขก็พอแล้ว”
[ความประทับใจที่สิงหงเสวียนมีต่อท่านเพิ่มขึ้น สามารถผูกสัมพันธ์เป็นคู่บำเพ็ญเพียร ระดับความประทับใจคือ 3 ดาว]
หานเจวี๋ยเห็นตัวอักษรประโยคดังกล่าวก็ยิ้มขมขื่นออกมา
แต่สิงหงเสวียนมองไม่ออก นางเดินอ้อมหานเจวี๋ยไปหยิบตำราโอสถมาเริ่มพลิกเปิดอ่าน
ดูเหมือนว่านางกำลังหาอะไรบางอย่าง
หานเจวี๋ยคอยด้วยความกระวนกระวายใจ
ควรลงมือดีหรือไม่
หากให้สิงหงเสวียนนำตำราโอสถออกไป เขาก็จะไม่ได้วิชากระบี่มา
ดูเหมือนสิงหงเสวียนจะได้รับบาดเจ็บ กลิ่นอายพลังไม่สงบอย่างยิ่ง
หรือว่าจะลอบทำร้ายนาง
ทำให้นางรับมือไม่ไหวแล้วถอยไป
ในขณะที่หานเจวี๋ยลังเลอยู่นั้น พลันมีลมเย็นยะเยือกสายหนึ่งม้วนเข้ามาจากทางประตูใหญ่
หานเจวี๋ยไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกชนกระเด็นออกไปกระแทกกับผนัง จากนั้นร่วงลงบนพื้น
ไม่เจ็บปวดเท่าใดนัก แค่ตกใจเล็กน้อย
หานเจวี๋ยเพ่งมองไป ผู้เฒ่าเถี่ยนี่!
เขาคอพับ เท้าขวาสั่นกระตุก แสร้งเป็นลมล้มลงไป
“วางตำราโอสถของข้าลงเดี๋ยวนี้!”
ผู้เฒ่าเถี่ยออกคำสั่งเสียงเข้ม น้ำเสียงเย็นเฉียบ
สิงหงเสวียนยิ้มเย็น “ที่แท้ท่านก็กลับมาแล้ว!”
ผู้เฒ่าเถี่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ากลับมานานแล้ว เพียงแต่รอให้เจ้าเผยตัวออกมา ครั้งก่อนข้ากลับมาก็เห็นพวกเจ้าสองคนเช่นกัน หลายปีที่ผ่านมา ศิษย์คนอื่นไม่มีผู้ใดรับทำหน้าที่ของข้า มีเพียงเจ้าสองคนที่ตกลงรับ ต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเป็นแน่”
เมื่อพูดจบ ผู้เฒ่าเถี่ยซัดฝ่ามือไปทางสิงหงเสวียนทันที
กลางฝ่ามือของเขามีกระดาษยันต์แปะอยู่หนึ่งแผ่น
สิงหงเสวียนกระโดดหลบตามจิตใต้สำนึก ฝ่ายผู้เฒ่าเถี่ยปล่อยสายฟ้าออกจากกลางฝ่ามือ แปรเปลี่ยนเป็นตาข่ายสายฟ้าพันรัดสิงหงเสวียนเอาไว้
จากนั้นผู้เฒ่าเถี่ยยกขาเตะสิงหงเสวียนลอยกระเด็นออกไป
แทบจะพริบตาเดียว ผู้เฒ่าเถี่ยก็ชิงตำราโอสถกลับคืนมาได้
ร่างของสิงหงเสวียนร่วงลงกับพื้น นางสั่นกระตุกไปทั้งตัว
ผู้เฒ่าเถี่ยถือโอกาสโจมตีต่อ สิงหงเสวียนจึงลนลานวิ่งหนีไป
คนทั้งสองพุ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นเกิดความลังเลว่าจะลุกขึ้นมาดีหรือไม่
ไม่ได้!
ถึงจะลุกขึ้นมา ก็ไม่อาจลบล้างความผิดได้อยู่ดี
หานเจวี๋ยก็อยากจะหนีเช่นกัน แต่สถานการณ์อันตรายเกินไป เขาไม่รู้ว่าควรหนีไปทางไหนด้วยซ้ำ
เขารอคอยด้วยความอดทน
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็ม หานเจวี๋ยทนไม่ไหวเกาก้นตัวเอง
จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่ใกล้เข้ามาทางหอ
ผู้เฒ่าเถี่ย!
หานเจวี๋ยไม่กล้าขยับตัว
ผู้เฒ่าเถี่ยก้าวเข้ามาในหอ เมื่อเขาเห็นหานเจวี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หานเจวี๋ยไอขึ้นมาทันใด
ผู้เฒ่าเถี่ยเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง พลางจ้องมองหานเจวี๋ยอย่างเงียบๆ
หานเจวี๋ยเผยทักษะการแสดงที่โดดเด่นและสมจริงที่สุดจากชาติก่อนและชาตินี้ออกมา
เขากุมศีรษะลุกขึ้น จากนั้นมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง ครั้นเห็นผู้เฒ่าเถี่ยก็พลันทำท่าประหลาดใจ
“ผู้เฒ่าเถี่ย! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
หานเจวี๋ยหดคอมองไปรอบด้านด้วยความตื่นตระหนก
เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “มารหญิงคนนั้นไปที่ใดแล้ว”
ผู้เฒ่าเถี่ยมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หานเจวี๋ยกุลีกุจอลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลงพลางหันไปหาผู้เฒ่าเถี่ย ทำท่าทางวิตกกระวนกระวาย
หานเจวี๋ยกำลังเดิมพัน!
เดิมพันว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องที่สิงหงเสวียนกับเขาพูดคุยกันแน่นอน
เพราะหากถูกจับได้ละก็ หานเจวี๋ยมีแต่ต้องสู้สุดชีวิตเท่านั้น
“นางบอกกับเจ้าว่าอย่างไร” ผู้เฒ่าเถี่ยถาม
หานเจวี๋ยไม่กล้าปิดบัง ตอบไปตามความจริง
“หึ นางอยากเลี้ยงเจ้าไว้เป็นสามีอย่างนั้นหรือ ช่างน่าขันเสียจริง”
ผู้เฒ่าเถี่ยทั้งฉุนทั้งขำ รู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้กำลังเพ้อฝันอยู่
เขาพินิจพิจารณาหานเจวี๋ย
เอ๋ จะว่าไป เจ้าเด็กคนนี้ดูดีขึ้นจริงๆ ดูจากแค่ใบหน้าและแววตาของเขาแล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ฝ่ายในเหล่านั้นเลย
เปลี่ยนไปมากนัก!
หรือว่า…
ผู้เฒ่าเถี่ยยื่นมือออกมาจับข้อมือขวาของหานเจวี๋ย ครุ่นคิดไตร่ตรองดู
หานเจวี๋ยตึงเครียดยิ่ง เตรียมพร้อมจะตอบโต้ทุกเวลา
‘เจ้าเด็กคนนี้ไร้รากวิญญาณ อีกทั้งยังไร้ตบะ หรือว่าข้าจะคิดมากเกินไป’
ผู้เฒ่าเถี่ยคิดในใจ ครั้นเห็นหานเจวี๋ยที่ประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เขาอดนึกถึงบิดามารดาของหานเจวี๋ยไม่ได้ และรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
ผู้เฒ่าเถี่ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวกลับไปนอนเสีย!”
หานเจวี๋ยถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะรีบร้อนคำนับลา
เขาออกมาจากหออย่างรวดเร็ว
ทางฝั่งผู้เฒ่าเถี่ยก็เริ่มเก็บกวาดภายในหอ
…
เมื่อกลับมาถึงในเรือนพัก หานเจวี๋ยขึ้นไปบนเตียงอย่างเงียบเชียบ
[เนื่องจากท่านไม่ได้ช่วยสิงหงเสวียนขโมยตำราโอสถ ท่านได้รับวิชากระบี่ดรรชนีกระบี่เทพเป็นผลสำเร็จ]
หานเจวี๋ยดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดก็มีวิชารักษาชีวิตแล้ว!
เขารีบกดสืบทอดวิชาทันที
ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขา
วิชาดรรชนีกระบี่เทพไม่นับว่าเป็นวิชายุทธ์ แต่เป็นวิชาเวท จะใช้นิ้วแทนกระบี่ และเปลี่ยนพลังวิญญาณเป็นปราณกระบี่
หานเจวี๋ยมีความเข้าใจมรรคกระบี่ในระดับสูงสุด แค่คืนนี้ก็ฝึกวิชาเวทวิชานี้สำเร็จแล้ว
ทว่าเขาไม่ได้เผยมันออกมา ยังคงทำตัวสงบเสงี่ยมเช่นเดิม
วันต่อมา
หลังจากหานเจวี๋ยตื่นนอน ก็ได้ยินข้ารับใช้คนอื่นๆ คุยกันว่าจางเกอตายแล้ว
เท่าที่รู้มาคือตายอย่างน่าเวทนายิ่ง เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
ผู้บำเพ็ญชายที่อารักขาอยู่หน้าประตูสวนสมุนไพรก็หนีไปตั้งแต่รุ่งสาง เมื่อคืนเหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะไว้อาลัยให้กับจางเกอ
[ความประทับใจที่สิงหงเสวียนมีต่อท่านเพิ่มขึ้น สามารถผูกสัมพันธ์เป็นคู่บำเพ็ญเพียร ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3.5 ดาว]
หานเจวี๋ยอึ้งงัน
เหตุใดระดับความประทับใจถึงได้เพิ่มขึ้นอีก
แปลกประหลาดเสียจริง!
แต่ภายในเวลาสั้นๆ นี้ สิงหงเสวียนคงไม่กล้าปรากฏตัวออกมาอีกแน่ หานเจวี๋ยสามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างสงบสุข
…
หลังจากนั้นครึ่งเดือน
ผู้เฒ่าเถี่ยก็ออกไปจากสวนสมุนไพรอีกครั้ง
ในระยะเวลาสิบปีมานี้ เขาเดินทางออกนอกสำนักบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
หานเจวี๋ยได้ยินเฒ่าหวางบอกว่า ผู้เฒ่าเถี่ยเหมือนจะใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว ตอนนี้กำลังออกตามหาสมุนไพรช่วยเพิ่มอายุขัย
ไม่ใช่ทุกคนที่จะทะลวงระดับต่อเนื่องอย่างง่ายดายได้เหมือนหานเจวี๋ย
ระดับตบะของผู้เฒ่าเถี่ยติดอยู่ที่หลอมปราณขั้นเจ็ด ไม่อาจพัฒนาได้อีก
นี่ก็คือความแตกต่างของคุณสมบัติแต่ละคน
ผู้เฒ่าเถี่ยเป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่บำเพ็ญเซียน และอยากจะฝืนลิขิตฟ้าเปลี่ยนชะตา
หานเจวี๋ยภาวนาในใจ ปรารถนาให้ผู้เฒ่าคนนี้ตายระหว่างทาง
เหตุที่เขาอำมหิตเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเขาเห็นระดับความเกลียดชัง 1 ดาวที่ผู้เฒ่าเถี่ยมีต่อเขา
นับว่าเป็นศัตรูกัน!
…
ในชั่วพริบตา
สองปีก็ผ่านไป
หานเจวี๋ยในวัยยี่สิบปีฝึกบำเพ็ญรากวิญญาณทั้งสี่สายไปจนถึงระดับหลอมปราณขั้นเก้าแล้ว
แค่ต้องฝึกรากวิญญาณอัสนีและอัคคีให้ถึงระดับหลอมปราณขั้นเก้าเช่นกัน เขาก็เตรียมตัวทะลวงไประดับสร้างฐานได้
ทว่าเขาสัมผัสรากวิญญาณอัสนีและอัคคีในบริเวณสวนสมุนไพรไม่พบเลย
หานเจวี๋ยรู้ได้ทันทีว่าตนเองควรต้องไปแล้ว
ในคืนนั้น หานเจวี๋ยออกเดินทางอย่างเงียบเชียบ
หานเจวี๋ยยังมีหินวิญญาณชั้นสูงหนึ่งพันก้อนที่ยังไม่ได้กดรับมา สิ่งนี้จะเสริมความมั่นใจให้เขาเดินทางไปในแดนบำเพ็ญพรตได้
ระหว่างทาง หานเจวี๋ยก้าวเดินพลางใช้จิตสำรวจบริเวณรอบๆ
เขาคิดที่จะตรงไปฝากตัวที่สำนักหยกพิสุทธิ์ ขอเป็นศิษย์ของสำนักนี้
สำนักหยกพิสุทธิ์ไม่น่าจะปฏิเสธผู้บำเพ็ญระดับหลอมปราณขั้นเก้าเช่นเขา
ตอนเช้าตรู่
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็หาประตูทางเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์พบ
สำนักหยกพิสุทธิ์ตั้งอยู่ในหุบเขาท่ามกลางทิวเขา มีเมฆหมอกเซียนปกคลุม ตรงประตูทางเข้าสองฝั่งมีรูปปั้นหินขนาดใหญ่ยักษ์ลักษณะคล้ายกิเลนตั้งอยู่
“หยุดก่อน แสดงป้ายสำนักด้วย”
ศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์คนหนึ่งกล่าวพร้อมยกกระบี่ในมือขึ้นมา
ศิษย์ที่อารักขาประตูทางเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์มีสี่คน ตบะอยู่ระดับหลอมปราณขั้นห้าทั้งหมด
หานเจวี๋ยเก็บซ่อนพลังเอาไว้ ประสานมือคารวะพลางเอ่ย “ข้าน้อยหานเจวี๋ย เป็นผู้บำเพ็ญอิสระ ระดับหลอมปราณขั้นเก้า ต้องการฝากตัวเข้าเป็นศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่ทราบว่าพอจะมีหนทางหรือไม่”
ระดับหลอมปราณขั้นเก้า!
ลูกศิษย์ทั้งสี่เปลี่ยนท่าทีในทันที
ศิษย์ที่ยกกระบี่ขึ้นมากล่าวกับศิษย์คนด้านข้าง ก่อนที่ศิษย์ผู้นั้นจะรีบเร่งออกไป
“ท่านรอก่อน ข้าส่งคนไปแจ้งผู้ดูแลสำนักฝ่ายนอกแล้ว” ศิษย์ที่ถือกระบี่บอก
หานเจวี๋ยกล่าวขอบคุณ
นอกจากผู้เฒ่าเถี่ยแล้ว ไม่มีผู้บำเพ็ญคนอื่นในสำนักหยกพิสุทธิ์รู้ชื่อของเขา ผู้เฒ่าเถี่ยยังไม่กลับมา อาจจะตายอยู่ด้านนอกไปแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงกล้าเปิดเผยตัวตน
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียให้สำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกละอายใจ
……………………………………….