บทที่ 4 ผู้บำเพ็ญสายมารคุกคาม ได้วิชากระบี่เป็นรางวัล

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 4 ผู้บำเพ็ญสายมารคุกคาม ได้วิชากระบี่เป็นรางวัล
หานเจวี๋ยและสิงหงเสวียนเข้ามาในป่าที่ไร้ผู้คน หานเจวี๋ยกระวนกระวายใจ กลัวว่าสิงหงเสวียนจะขอให้ทำอะไรทำนองนั้น

สิงหงเสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย

หานเจวี๋ยไม่กล้าสบตาด้วย

สิงหงเสวียนหัวเราะพร้อมกับกล่าว “พี่ชายน้อย ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้จะสร้างความลำบากให้เจ้า ข้าเพียงอยากถามสักหน่อย เจ้าจะยอมเป็นข้ารับใช้ในสวนสมุนไพรแห่งนี้ไปทั้งชีวิตเลยหรือ”

หานเจวี๋ยนิ่งเงียบ

‘จากนั้นก็จะให้ข้าก้มหัว ยอมตกเป็นของเล่นในกำมือเจ้าอย่างนั้นหรือ’

สิงหงเสวียนสาวเท้ามาหนึ่งก้าว กระซิบข้างหูหานเจวี๋ยว่า “ช่วยอะไรข้าอย่างหนึ่งสิ แล้วข้าจะช่วยเจ้าบำเพ็ญเซียน หลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์”

“ให้ข้าช่วยอะไร”

สิงหงเสวียนขยับปาก ไม่ได้ส่งเสียงอันใด ทว่าหานเจวี๋ยกลับได้ยินอย่างชัดเจน

‘ช่วยนำตำราโอสถของผู้เฒ่าเถี่ยมาให้ข้า แล้วข้าจะพาเจ้าออกจากสำนักหยกพิสุทธิ์ไปที่ลัทธิมาร ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี ภายใต้ความดูแลของข้า เจ้าจะไม่ได้รับความเดือดร้อนแม้แต่น้อย หากว่าคุณสมบัติของเจ้าไม่เลว ฝึกบำเพ็ญสำเร็จ พวกเราก็ถึงขั้นเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันได้’

วิชาถ่ายทอดเสียง!

หานเจวี๋ยเบิกตากว้าง

แม่นางผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นผู้บำเพ็ญสายมาร!

หานเจวี๋ยสับสนแล้ว

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากเขารับปากก็เท่ากับว่าทรยศทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์

แต่ถ้าเขาปฏิเสธละก็ สิงหงเสวียนต้องไม่ยอมปล่อยเขาออกไปจากป่านี้แน่

ผู้เฒ่าเถี่ยไม่อยู่ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นแค่ฝ่ายนอกของสำนักหยกพิสุทธิ์ เขาร้องขอความช่วยเหลือไปก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน

สิงหงเสวียนก็ไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ นางเดินวนรอบๆ หานเจวี๋ยและเฝ้ารออย่างอดทน

หานเจวี๋ยกำลังประเมินโอกาสที่จะชนะหากว่าเขาต้องประมือกับสิงหงเสวียน

แม้จะอยู่ระดับหลอมปราณขั้นเจ็ดเหมือนกัน แต่เขาไม่มีทั้งวิชาเวทและอาวุธเวทใดๆ จะเอาชนะสิงหงเสวียนได้อย่างไรกัน

‘เข้าปะทะตรงๆ ไม่ได้’

หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นหวาดกลัว บอกว่า “ข้าไม่ทราบว่าของสิ่งนั้นอยู่ที่ใด อีกอย่างยังมีจางเกออยู่…”

สิงหงเสวียนมีสีหน้าพึงพอใจ หานเจวี๋ยไม่ได้พูดว่าตำราโอสถออกมาตรงๆ นับว่ายังฉลาดนัก

“ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา ข้ารอได้” สิงหงเสวียนกล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ

นางหยิบโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง “โอสถนี้จะช่วยให้เจ้าเปิดรากวิญญาณได้ เจ้ากินเข้าไปเสียก่อน ถือว่าเป็นของขวัญเมื่อได้พบหน้า”

หานเจวี๋ยมองไปยังโอสถเม็ดนี้ ลักษณะคล้ายคลึงกับช็อกโกแลตนัก

แน่นอนว่ามันคือยาพิษ!

หานเจวี๋ยไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้เพียงกลืนมันลงไป

เขาใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มโอสถเอาไว้ ป้องกันไม่ให้มันละลาย

เมื่อกลืนลงไปแล้ว หานเจวี๋ยอ้าปากตั้งใจให้สิงหงเสวียนดู จากนั้นกล่าวอย่างดีใจ “ขอบคุณท่านเซียน! ข้าจะพยายามอย่างถึงที่สุดแน่นอน!”

‘เวรเอ๊ย! รอข้าฝึกบำเพ็ญอีกหนึ่งปีก่อน แล้วข้าจะให้เจ้ารู้ถึงความร้ายกาจของข้า!’

หานเจวี๋ยไม่อาจเข้าร่วมลัทธิมารทั้งอย่างนี้เด็ดขาด

เขาต้องการจะเป็นอมตะ ไม่ได้ต้องการเสี่ยงชีวิต

สิงหงเสวียนปิดปากหัวเราะ ยื่นมือจับแก้มของหานเจวี๋ยพลางยิ้มกล่าวว่า “พี่ชายน้อยช่างรู้ความเสียจริง เด็กดี ภายหลังข้าจะเลี้ยงเจ้าไว้เป็นสามี”

หานเจวี๋ยทำท่าทางตื่นเต้น แต่ในใจนึกรังเกียจ

‘นางผู้หญิงเหม็นโฉ่ เจ้าคู่ควรกับข้าหรือ’

หลังจากถูกสิงหงเสวียนเอาเปรียบสักครู่ ทั้งสองคนก็กลับไปยังสวนสมุนไพร

ผู้บำเพ็ญชายขมวดคิ้ว มองไปยังหานเจวี๋ยด้วยความสงสัย

สิงหงเสวียนยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นนั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญต่อ

หานเจวี๋ยเดินเข้าไปในสวนสมุนไพร จู่ๆ ตัวอักษรก็เริ่มปรากฏขึ้นด้านหน้าเขาทีละบรรทัด

[ท่านถูกสิงหงเสวียนผู้บำเพ็ญสายมารคุกคาม ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ขโมยตำราโอสถ จะได้รับความโปรดปรานจากสิงหงเสวียน ได้รับระดับความเกลียดชัง 5 ดาวจากสำนักหยกพิสุทธิ์]

[สอง ไม่เชื่อฟังเด็ดขาด ไม่ให้สิงหงเสวียนได้ตำราโอสถ และรอจนสิงหงเสวียนจากไป จะได้รับวิชากระบี่–ดรรชนีกระบี่เทพ]

อืม?

มีให้เลือกรางวัลด้วยหรือนี่

เอาสิ!

หานเจวี๋ยตาเป็นประกายทันที ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ยิ่งขึ้นว่าจะไม่ทำตามเด็ดขาด

ค่ำคืนมืดมิดมาถึง

หานเจวี๋ยกลับไปยังที่พัก ก่อนจะเปิดการทำงานของเขตอาคม

เขาคายโอสถที่กลืนลงท้องไปออกมาเหน็บไว้ใต้เข็มขัด

จากนั้นเขาเดินไปนั่งหน้าเตียงไม้ หยิบหมั่นโถวออกมากิน

เขาเลิกกินธัญพืชทั้งห้า[1]แล้ว แต่เพราะต้องแสดงละครจึงต้องกินอาหารบ้าง

ครั้นเข้าสู่ช่วงกลางดึก

รอจนข้ารับใช้ทั้งห้านอนหลับสนิทแล้ว หานเจวี๋ยจึงจะฝึกบำเพ็ญต่อ

ดูจากคุณสมบัติของเขาแล้ว การอยู่เหนือสิงหงเสวียนไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ผ่านไปอีกหลายวัน หานเจวี๋ยยังตั้งใจทำงานเช่นเคย

จางเกอฝึกบำเพ็ญอยู่ในหอของผู้เฒ่าเถี่ยตลอดเวลา ทำให้หานเจวี๋ยมีข้ออ้างที่จะไม่เข้าไปในหอนั้น

สิงหงเสวียนก็เหมือนจะไม่รีบร้อนเช่นกัน

ในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปครึ่งปี

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 18/85]

[เผ่าพันธุ์: มนุษย์]

[ตบะ: ระดับหลอมปราณขั้นแปด]

[วิชายุทธ์: วิชาวัฏจักรหกวิถี (สืบทอดได้) ]

[วิชาเวท: ไม่ปรากฎ]

[พลังวิเศษ: ไม่ปรากฎ]

[อาวุธเวท: ไม่ปรากฎ]

[คุณสมบัติรากวิญญาณ: ร่างวิญญาณหกสาย ประกอบด้วยรากวิญญาณวายุ รากวิญญาณอัคคี รากวิญญาณวารี รากวิญญาณพสุธา รากวิญญาณพฤกษา และรากวิญญาณอัสนีระดับสูงสุด เสริมดวงชะตาขึ้นอีกระดับ]

[ดวงชะตาแต่กำเนิดมีดังนี้]

[ไม่เป็นสองรองใคร: รูปโฉมหล่อเหลา เจ้าเสน่ห์ระดับสูงสุด]

[ชะตาเซียนกระบี่: คุณสมบัติมรรคกระบี่ระดับสูงสุด ความเข้าใจมรรคกระบี่ระดับสูงสุด]

[ความไวของท่าร่าง: คุณสมบัติท่าร่างระดับสูงสุด]

[ทายาทจักรพรรดิเซียน: ได้รับวิชายุทธ์บำเพ็ญเซียนระดับสูงและหินวิญญาณชั้นสูงหนึ่งพันก้อน (เบิกถอนได้) ]

[ตรวจสอบค่าความสัมพันธ์]

หานเจวี๋ยทะลวงระดับหลอมปราณไปถึงขั้นแปดแล้ว รากวิญญาณทั้งสี่สายก็ไปถึงขั้นแปดด้วยเช่นกัน

สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ อายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบปีแล้ว ทำให้เขาดีใจดีอกนัก

ความรู้สึกที่พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วช่างวิเศษจริงๆ

ตรงกันข้าม ตบะของสิงหงเสวียนกับผู้เฒ่าเถี่ยกลับไร้การเปลี่ยนแปลง

นี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างผู้มีพรสวรรค์กับมนุษย์ธรรมดา

หานเจวี๋ยแอบภาคภูมิใจกับตัวเอง

เป็นไปตามที่คาดไว้ ต้องมานะอดทนอยู่กับความเดียวดายถึงจะแกร่งขึ้นได้

หากเขาเริ่มบำเพ็ญเซียนในขณะที่เป็นมนุษย์ธรรมดาตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าแม้แต่ขั้นสี่ของระดับหลอมปราณก็อาจไปไม่ถึง

ในค่ำคืนนี้

หานเจวี๋ยได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก เขารีบเอนกายนอนพร้อมกับปิดเขตอาคม

‘ข้าจะเตรียมล่อจางเกอออกมา จากนั้นเจ้าก็เข้าไปหาของเสีย’

เสียงของสิงหงเสวียนลอยเข้ามาในหูของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยลืมตา ผุดลุกขึ้นมาทันที

‘ให้ตายเถอะ ยังหลบไม่พ้นอีก’

หานเจวี๋ยอดทนรอคอย

เขาที่อยู่ระดับหลอมปราณขั้นแปดฝึกการใช้พลังจิตสำเร็จแล้ว ประสาทสัมผัสก็ไวกว่าคนทั่วไป

เขาได้ยินเสียงโต๊ะเก้าอี้ถูกชนดังแว่วมาจากหอซึ่งอยู่ไกลออกไป

‘เจ้าออกมาได้แล้ว’

เสียงของสิงหงเสวียนลอยมา จากนั้นหานเจวี๋ยก็สัมผัสได้ว่าสิงหงเสวียนกับจางเกอโฉบออกไปจากบนชายคา

หานเจวี๋ยยันกายขึ้นช้าๆ เตรียมไปแสร้งทำทีว่าหาของ

หลังจากออกมาด้านนอกเรือนด้วยความระมัดระวังแล้ว เขาชำเลืองมองไปทางประตูสวนสมุนไพร และเห็นผู้บำเพ็ญชายล้มอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

‘เป็นคนนอกที่อ่อนแอนัก’

หานเจวี๋ยแอบเหยียดหยามในใจ

เขามุ่งหน้าไปยังหอ

หอของผู้เฒ่าเถี่ยมีทั้งหมดสองชั้น ลักษณะเหมือนคฤหาสน์ โอ่อ่าหรูหรา มีเครื่องกระเบื้องเคลือบและภาพวาดทิวทัศน์เต็มไปหมด หานเจวี๋ยเข้าไปด้านในแล้วก็เริ่มเดินวนรอบๆ โดยไร้จุดหมาย

เขาไม่ได้ตั้งใจหาเลย

ถึงจะมีของล้ำค่าอยู่จริง เขาก็ไม่มีที่เก็บอยู่ดี

หลังจากนั่งอยู่ครึ่งชั่วโมง หานเจวี๋ยถึงจะยันกายลุกขึ้นเริ่มรื้อค้นต่อ อย่างน้อยก็ต้องแสร้งทำเช่นนั้น

เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง

สิงหงเสวียนกลับมาแล้ว

นางเข้ามาในหออย่างรีบร้อน เมื่อเจอหานเจวี๋ยก็เอ่ยถาม “หาพบหรือยัง”

หานเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างแจกันดอกไม้หันกลับมาตอบ “ยังไม่พบเลย ข้าหาไปรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่พบ”

ทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นว่าบนร่างของสิงหงเสวียนเต็มไปด้วยรอยเลือด

หรือว่าจางเกอจะถูกนางกำจัดทิ้งแล้ว

หานเจวี๋ยก้าวถอยหลังตามจิตใต้สำนึก ผลคือไม่ระวังชนแจกันบนโต๊ะตัวเล็กตกลงมา

เพล้ง…

แจกันตกลงมาแตกละเอียดบนพื้น

หานเจวี๋ยมองเห็นเคล็ดตำราเล่มหนึ่งปรากฏอยู่กลางเศษแจกัน ด้านบนมีตัวอักษรตัวใหญ่สลักไว้

‘ตำราโอสถ’

เงียบสงัด!

ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ ได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหล่นกระทบพื้น

หานเจวี๋ยอึ้งอยู่กับที่ กระอักกระอ่วนเป็นที่สุด

นี่มัน…

มารดามันเถอะ!

ผู้เฒ่าเถี่ยซ่อนของไว้อย่างนี้เองน่ะหรือ

สิงหงเสวียนละสายตาจากตำราโอสถ มองมายังหานเจวี๋ยด้วยแววตาอึมครึม

หานเจวี๋ยพลันกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “ที่แท้ก็ซ่อนไว้ในแจกันนี่เอง ผู้เฒ่าคนนี้ซ่อนของเก่งเสียจริง!”

………………………………………

[1] ไม่กินธัญพืชทั้งห้า คือการงดกินข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว เป็นวิธีการฝึกฝนอย่างหนึ่งทางเต๋า