บทที่ 3 ระดับหลอมปราณขั้นเจ็ด ดวงชะตาเจ้าเสน่ห์สมควรตาย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 3 ระดับหลอมปราณขั้นเจ็ด ดวงชะตาเจ้าเสน่ห์สมควรตาย
สายการฝึกฝนหรือ

หานเจวี๋ยไม่ได้ลังเลมากนัก

เขารู้สึกได้ว่าตนเองได้รับวิชาวัฏจักรหกวิถีมาแล้ว คิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับร่างวิญญาณหกสายแน่ คุณสมบัติรากวิญญาณชั้นยอดทั้งหกสายจะต้องพัฒนาร่วมกัน ไม่อาจเน้นแค่บางส่วนได้

ในขณะเดียวกัน เขาก็มีคุณสมบัติมรรคกระบี่ชั้นยอด แน่นอนว่าต้องเลือกสายกระบี่!

หานเจวี๋ยคิดได้ดังนั้น ก็รีบกดเลือกสายกระบี่ทันที

เพียงชั่วพริบตา แหล่งความร้อนที่แปลกประหลาดสายหนึ่งเอ่อล้นอยู่ข้างในกายเขา

เขาตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง ราวกับมีความฝันที่ยาวนานมาก แต่เขากลับจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในฝันบ้าง

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หานเจวี๋ยเหงื่อโซมกาย

ภาพฉายด้านหน้าเขาเปลี่ยนเป็นหน้าต่างค่าสถานะแล้ว

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 16/65]

[เผ่าพันธุ์: มนุษย์]

[ตบะ: ไม่ปรากฏ]

[วิชายุทธ์: วิชาวัฏจักรหกวิถี (สืบทอดได้) ]

[วิชาเวท: ไม่ปรากฏ]

[พลังวิเศษ: ไม่ปรากฏ]

[อาวุธเวท: ไม่ปรากฏ]

[คุณสมบัติรากวิญญาณ: ร่างวิญญาณหกสาย ประกอบด้วยรากวิญญาณวายุ รากวิญญาณอัคคี รากวิญญาณวารี รากวิญญาณพสุธา รากวิญญาณพฤกษา และรากวิญญาณอัสนีระดับสูงสุด เสริมดวงชะตาขึ้นอีกระดับ]

[ดวงชะตาแต่กำเนิดมีดังนี้]

[ไม่เป็นสองรองใคร: รูปโฉมหล่อเหลา เจ้าเสน่ห์ระดับสูงสุด]

[ชะตาเซียนกระบี่: คุณสมบัติมรรคกระบี่ระดับสูงสุด ความเข้าใจมรรคกระบี่ระดับสูงสุด]

[ความไวของท่าร่าง: คุณสมบัติท่าร่างระดับสูงสุด]

[ทายาทจักรพรรดิเซียน: ได้รับวิชายุทธ์บำเพ็ญเซียนชั้นเลิศและหินวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันก้อน]

[ตรวจสอบค่าความสัมพันธ์]

หานเจวี๋ยไม่รีบร้อนสืบทอดวิชาวัฏจักรหกวิถี แต่กดเข้าไปดูค่าความสัมพันธ์ด้านล่างสุด

ภาพฉายเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพประจำตัว อีกทั้งเป็นภาพถ่ายของคนจริงๆ

ภาพของผู้เฒ่าเถี่ยเหมือนกับตัวจริงทุกประการ

[ผู้เฒ่าเถี่ย: ระดับหลอมปราณขั้นเจ็ด เกลียดชังท่านมาก หากท่านมีรากวิญญาณบำเพ็ญเซียน เขาจะต้องเล่นงานท่านแน่ ระดับความเกลียดชังคือ 1 ดาว]

‘บ้าเอ๊ย ข้าอุตส่าห์ลำบากตรากตรำทำงานให้ ท่านยังเกลียดชังข้าอีกหรือนี่’

หานเจวี๋ยก่นด่าอย่างรุนแรงอยู่ในใจ

จากนั้นเขาก็สงบสติอารมณ์ลง

นี่มันสูตรโกงขนานแท้! สามารถดูได้ว่าคนอื่นมีภาพจำอย่างไรกับตนเอง

แต่ว่าทำไมถึงไม่มีผู้อื่นอีก

หรือไม่ได้นับมนุษย์ธรรมดาเข้าไปด้วย

จางเกอก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อเขาหรือ

หานเจวี๋ยคิดไม่ออก ก็ไม่คิดให้มากความ เขาผลักประตูเปิดออก พบว่าเวลาจวนจะเที่ยงแล้ว แอบอู้งานไม่ได้อีก ไม่เช่นนั้นจะถูกจับได้

เขารีบวิ่งไปยังสวนสมุนไพร

“หานเจวี๋ย เจ้าแอบไปงีบหลับมาใช่หรือไม่”

ข้ารับใช้วัยกลางคนผู้หนึ่งดุเขายิ้มๆ หานเจวี๋ยเกาศีรษะอย่างกระดากอาย พาให้ข้ารับใช้คนอื่นหัวเราะไปตามๆ กัน

พวกเขาไม่ได้ถือสาและต่อว่าอะไร หานเจวี๋ยละทิ้งหน้าที่น้อยครั้งมาก นานๆ ทำสักครั้งไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร

จู่ๆ ผู้บำเพ็ญหญิงที่นั่งอยู่ตรงทางเข้าสวนสมุนไพรก็ลืมตามองมาทางหานเจวี๋ย

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย

‘เด็กหนุ่มคนนี้…รูปงามยิ่งนัก!’

ประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย

[สิงหงเสวียนเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

นี่มันอะไรกัน

สิงหงเสวียนคือผู้ใด

หานเจวี๋ยงุนงง หันไปมองตามจิตใต้สำนึก

หรือว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญหญิงคนนั้น

เป็นดังที่คาดไว้ สตรีผู้นั้นกำลังจ้องมองมาทางเขา

เมื่อสายตาสบประสานกัน สิงหงเสวียนยิ้มบางๆ ให้เขา

หานเจวี๋ยรีบหันหน้ากลับมา

‘ซวยแล้ว เสน่ห์ดึงดูดระดับสูงสุดทำให้ถูกหมายตาจนได้

ข้าเป็นมนุษย์ธรรมดา ส่วนนางเป็นผู้บำเพ็ญเซียน จะรักกันไม่ได้

หรือว่านางจะจับข้าไปทำเป็นเตาหลอม[1]

ไม่ได้!

ต้องหาทางหลบเลี่ยง!’

ยามราตรี

หลังจากที่ข้ารับใช้อีกห้าคนในเรือนหลับสนิทกันแล้ว หานเจวี๋ยเอนกายอยู่บนเตียงนอน เริ่มสืบทอดวิชาวัฏจักรหกวิถี

ความทรงจำมากมายพรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขา

เวลาผ่านไปนาน

เขาลืมตาขึ้นมา

‘นี่น่ะหรือวิชายุทธ์บำเพ็ญเซียน ช่างซับซ้อนยิ่งนัก…’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เขาสืบทอดวิชายุทธ์ถึงขั้นแรกเท่านั้น สามารถฝึกฝนได้ถึงระดับหลอมปราณขั้นเก้า

วิชาวัฏจักรหกวิถีจะมุ่งเน้นที่การยกระดับอย่างสมดุลของรากวิญญาณทั้งหกสาย ในร่างกายจะต้องหล่อเลี้ยงพลังวิญญาณทั้งหกธาตุขึ้นมา ถึงแม้ขั้นตอนการฝึกฝนจะซับซ้อนกว่าการฝึกรากวิญญาณเพียงหนึ่งสาย แต่คุณสมบัติของหานเจวี๋ยดีเยี่ยมยิ่ง สามารถทดแทนในส่วนนี้ได้

เมื่อพลังวิญญาณทั้งหกสายบรรลุถึงระดับหนึ่ง จึงจะสร้างฐานได้!

หานเจวี๋ยรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ลุกขึ้นมานั่งอย่างเงียบเชียบ เขาให้ระบบใช้เตียงของเขาเป็นพื้นที่เปิดเขตอาคม ป้องกันไม่ให้ผู้บำเพ็ญสามคนด้านนอกจับสังเกตได้

ข้ารับใช้ห้าคนที่เหลือหลับสนิท กรนเสียงดังลั่น ถึงอย่างไรพวกเขาก็เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว

หานเจวี๋ยเริ่มกำหนดลมหายใจตามวิธีการฝึกจิตขั้นแรก

การกำหนดลมหายใจเป็นวิธีการหายใจประเภทหนึ่ง

ในระหว่างการกำหนดลมหายใจ ต้องอดทนและสัมผัสพลังวิญญาณฟ้าดิน

ไม่ถึงสิบอึดใจ หานเจวี๋ยก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณสายวายุ พสุธา พฤกษา และวารีที่กระจายอยู่ในอากาศ

ส่วนพลังวิญญาณอัคคีและอัสนี ในตอนนี้เขายังไม่สามารถสัมผัสได้

หานเจวี๋ยเริ่มดูดซับพลังวิญญาณทั้งสี่สายนี้

ทันใดนั้นก็มีตัวอักษรหลายแถวปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

เขาไม่ได้ลืมตาแท้ๆ แต่กลับมองเห็นตัวอักษรพวกนี้ได้ ช่างอัศจรรย์โดยแท้

[ท่านได้เริ่มฝึกเป็นครั้งแรก เส้นทางการฝึกของท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง อัจฉริยะผู้ถูกเลือกที่สูงส่ง จะได้รับอาวุธเวทระดับหลอมปราณหนึ่งชิ้น]

[สอง ฝึกบำเพ็ญอย่างเงียบเชียบ สามารถเปิดการทำงานของตบะและรากวิญญาณที่ซ่อนอยู่]

หานเจวี๋ยไม่มีความลังเลใดๆ กดเลือกข้อที่สองทันที

ความสามารถในข้อสอง มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นทักษะขั้นเทพ

เช่นนี้ต่อไปเขาก็ฝึกบำเพ็ญได้อย่างโล่งใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับได้แล้ว!

[ท่านสามารถกดเปิดการทำงานที่ซ่อนอยู่ได้ตลอดเวลา]

หานเจวี๋ยเผยยิ้มออกมา ตั้งใจแน่วแน่แล้ว

ผู้เฒ่าเถี่ยยังไม่กลับมา เขาต้องรีบทำเวลาฝึกฝนให้แกร่งขึ้น

เพียงชั่วพริบตา

เวลาสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยในวัยสิบแปดปีอยู่ระดับหลอมปราณขั้นเจ็ดแล้ว อีกทั้งรากวิญญาณวายุ พสุธา พฤกษา และวารีก็ถึงระดับหลอมปราณขั้นเจ็ดเช่นเดียวกัน

เมื่อดูค่าความสัมพันธ์ หานเจวี๋ยพบว่าตบะของสิงหงเสวียนก็อยู่ระดับหลอมปราณขั้นเจ็ดเช่นกัน

ตลอดเวลาสองปีมานี้ ผู้เฒ่าเถี่ยไม่ได้กลับมาเลย

สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือ ระดับความประทับใจที่สิงหงเสวียนมีต่อเขาเพิ่มขึ้นเป็น 2 ดาวแล้ว โดยที่ทั้งสองคนไม่เคยติดต่อพูดคุยกันเลย

ทว่าหานเจวี๋ยรู้สึกถึงสายตาที่เพ่งมองมาของสิงหงเสวียนได้ ทำให้เขาไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

รูปงามเกินไปก็เป็นภัยเหมือนกัน

‘เฮ้อ ข้าเพียงต้องการฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนเท่านั้น’

หานเจวี๋ยถอนหายใจอยู่ภายในใจ

รูปโฉมของสิงหงเสวียนงดงามทีเดียว แต่ยังไม่ถึงขั้นงามล่มเมือง หานเจวี๋ยไม่อยากสานความสัมพันธ์ใดๆ กับนาง

หากมีความรักเกิดขึ้น นั่นเท่ากับว่าเขามีจุดอ่อนแล้ว

เขาจะอยู่ยืนยาวเป็นอมตะ จะมาตายระหว่างทางไม่ได้

รอจนเขาเป็นอมตะก่อน ค่อยคิดเรื่องความรักอีกที

ขอเพียงไม่มีศัตรู ถึงเวลานั้นอยากจะมีสตรีข้างกายกี่คนก็ได้ และก็ไม่ต้องกลัวศัตรูมารังควานด้วย!

หานเจวี๋ยทำงานไปพลางคิดอย่างเด็ดเดี่ยวไปพลาง มองสิงหงเสวียนเป็นดั่งภูตผีปีศาจไป

ในเวลานี้เอง

จู่ๆ สิงหงเสวียนก็ลุกขึ้นมา

นางก้าวเดินมาอย่างช้าๆ ดึงดูดบรรดาข้ารับใช้ให้ชำเลืองมอง

นางมุ่งตรงมาตรงหน้าหานเจวี๋ย กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าตามข้ามาสักประเดี๋ยว”

หานเจวี๋ยงุนงง

ข้ารับใช้คนอื่นๆ มองมาทางเขาอย่างอิจฉาริษยา

ถ้าถูกเทพธิดาเช่นนี้หมายตาได้ ก็น่าจะมีข้อดีอยู่

หากว่าเป็นพวกเขาละก็ ต่อให้ได้คบค้าสมาคมอยู่ฝ่ายเดียว ชีวิตนี้ก็พอใจยิ่งแล้ว

หานเจวี๋ยไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักหน้ารับ

ทั้งสองเดินออกจากสวนสมุนไพรไป

ผู้บำเพ็ญชายคนนั้นลืมตาขึ้นก่อนถามว่า “ศิษย์น้องสิง เจ้าคนนี้คือใคร”

เขาพินิจมองหานเจวี๋ย และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เจ้าเด็กคนนี้รูปโฉมงดงามนัก!

ตลอดทั้งชีวิตบรรดาข้ารับใช้ในสวนสมุนไพรไม่เคยออกไปจากสวนนี้ ไม่มีสุนทรียภาพ อีกทั้งแนวความคิดยังเฉื่อยชา ทำให้ไม่ได้สังเกตหานเจวี๋ยเลย

ในฐานะเพศตรงข้าม สิงหงเสวียนเห็นจุดที่ไม่เหมือนคนอื่นของหานเจวี๋ยได้ก่อนใคร

ผู้บำเพ็ญชายคนนั้นเพิ่งพิจารณาหานเจวี๋ยอย่างละเอียดก็เพราะสิงหงเสวียนนี่เอง

รูปลักษณ์ของหานเจวี๋ยทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจตามสัญชาตญาณ

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ฝึกบำเพ็ญต่อเถิด ข้าอยากพูดคุยกับพี่ชายน้อยคนนี้เป็นการส่วนตัว” สิงหงเสวียนปิดปากพร้อมอมยิ้มเอ่ย

หานเจวี๋ยยิ้มอักอ่วนให้ผู้บำเพ็ญชายคนนั้น ดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

ผู้บำเพ็ญชายขมวดคิ้วแน่น ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

หานเจวี๋ยเดินตามสิงหงเสวียนตรงไปยังป่า

ในใจเขาจมอยู่กับความคิดที่ขัดแย้งกัน

‘ดวงชะตาเจ้าเสน่ห์ที่สมควรตายของข้า!

แล้วนี่ข้าจะทำเช่นไรต่อไปดี

ต่อต้าน?

หรือว่า…คล้อยตาม?’

……………………………………….

[1] เตาหลอมหรือหลูติ่ง หมายถึงการฝึกบำเพ็ญคู่ระหว่างชายและหญิง โดยจะใช้ร่างกายเป็นดั่งเตาหลอม เสริมหยินและหยาง ประสานลมปราณให้เข้ากัน