แน่นอนว่าซิฟนั้นแข็งแกร่งมาก มันไม่ใช่ปัญหาเลยที่ให้เธอไปจัดการกับพวกดาร์กเอลฟ์ลูกระจ๊อก แต่ซู่เจินก็ไม่อยากให้เธอต่อสู้มากเกินไป ดังนั้นซู่เจินจึงควบคุมเปลวเพลิงของเขาและพุ่งเข้าไปหาพวกดาร์กเอลฟ์อย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าเปลวเพลิงจะไปโดนส่วนไหนของร่างกายพวกดาร์กเอลฟ์ พวกมันก็เริ่มกลายเป็นเถ้าถ่านทันที

และซู่เจินยังควบคุมพลังจิตของเขาห่อหุ้มร่างกายของเขาและซิฟเอาไว้เพื่อไม่ให้ร่างกายของพวกเขาต้องเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยผงขี้เหล่านี้!

ตอนนี้ได้เหลือดาร์กเอลฟ์เพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของซู่เจินและมันกำลังมองมาที่ซู่เจินด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม

ซู่เจินยกมือของเขาขึ้นและดาร์กเอลฟ์คนนั้นก็ถูกพลังจิตของซู่เจินยกไปไว้ด้านข้างทันที

เมื่อมองไปที่มาเลคิธ ซู่เจินก็พูดขึ้นมาอย่างติดตลกว่า “ดูสิว่าเขาคือใครกันน้า ? อ๋อ! ผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์นี่เอง….ทำไมตอนนี้คุณดูเหมือนมดตัวเล็ก ๆ ที่ผมสามารถบดขยี้ได้ง่าย ๆ เลยล่ะ ความยิ่งผยองของคุณหายไปไหนหมดแล้ว?

“เจ้าอย่ามั่นใจในตัวเองมากเกินไป เพราะว่าที่นี่คืออาณาจักรสวาทาลฟ์ไฮม์ดินแดนของเหล่าดาร์กเอลฟ์ และถ้าเกิดว่าเจ้าทำให้ข้าขุ่นเคืองแม้แต่นิดเดียวละก็…ข้าจะตามฆ่าคนที่เจ้ารักให้หมดสิ้นเลยคอยดูสิ!

“ผมคิดว่าเขาคงไม่กล้าทำจริง ๆ หรอก เพราะดูยังไงเขาก็ไม่มีรัศมีของความเป็นผู้นำเลยแม้แต่น้อย” ซู่เจินหันหน้าไปถามซิฟ

ชิฟยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่หรอก เขากลัวเจ้าต่างหาก!”

“เผ่าดาร์กเอลฟ์งั้นหรอ? ฮ่าฮ่า … วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เผ่าดาร์กเอลฟ์จะหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้!”

ซู่เจินยิ้มออกมา ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นมากจากร่างกายของซู่เจินอย่างรวดเร็วและเขาก็เดินเข้าไปหามาเลคิธทีละก้าวอย่างช้า ๆ และในขณะที่ซู่เจินเดินอุณหภูมิมันก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเปลวเพลิง มาเคลิธเริ่มรู้สึกได้ถึงความแสบร้อนบนใบหน้าของเขาที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

คลื่นความร้อนกระทบเข้าที่ใบหน้าของมาเลคิธเรื่อย ๆ ทำให้มาเลคิธเริ่มหวาดกลัวและหันหลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินโบกมือของเขาเบา ๆ ด้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีสนามพลังปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของมาเลคิธ ทำให้มาเลคิธที่กำลังวิ่งหนีชนเข้าไปกับสนามพลังนั้นอย่างรุนแรงและกระเด็นถอยหลังไปเล็กน้อย หลังจากนั้นสนามพลังก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีเหลี่ยมล้อมรอบตัวของมาเลคิธเอาไว้และขังเขาไว้ด้านใน

มาเลคิธพยายามที่จะใช้พลังของเขาทำลายมัน แต่ว่ามันก็ไร้ผล เพราะว่าสนามพลังจิตของซู่เจินมันแข็งแกร่งเกินไป

ซู่เจินค่อย ๆ ยื่นมือของเขาผ่านเข้าไปในสนามพลังจิตของเขา หลังจากนั้นเขาก็ควบคุมเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่เข้าไปในสนามพลังจิตของเขาทั้งหมดทันที!

“นี่แหละคือ พลังของซูเปอร์โนวา!!“

ซู่เจินระดมเปลวเพลิงของเขาและปลดปล่อยพลังของซุปเปอร์โนวาขึ้นมาอีกครั้ง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างทั้งสองครั้งที่เขาได้ใช้พลังของซูเปอร์โนวาก็คือ ในครั้งแรกซู่เจินได้ใช้ทุกส่วนของร่างกายในการใช้พลังของซูเปอร์โนวาทำให้เขาสามารถใช้พลังของมันได้อย่างจำกัด ส่วนครั้งที่สองเขาใช้แค่ส่วนแขนของเขาเท่านั้น!

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ด้วยความสามารถของปีศาจเพลิง จอห์น ที่สามารถควบคุมเปลวเพลิงได้อย่างอิสระ ทำให้ซู่เจินในตอนนี้ได้ควบคุมเปลวเพลิงไปที่แขนของเขาและค่อย ๆ ปล่อยมันออกมา

“ไม่ไม่……”

ตอนนี้ซู่เจินไม่สามารถมองเห็นมาเลคิธที่อยู่ในเปลวเพลิงได้อีกต่อไป เขาได้ยินแต่เสียงกรีดร้องอย่างทนทุกข์ทรมาณของมาเลคิธที่ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ตายไปซะ!”

เมื่ออุณหภูมิในสนามพลังจิตของซู่เจินเริ่มถึงจุดสูงสุด ซู่เจินก็ตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงร้องดัง

ตูม!

เปลวเพลิงที่อยู่ในสนามพลังจิตก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง เหมือนกับคลื่นน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิงที่สามารถละลายได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกนี้…

“มาเลคิธ ? ดาร์กเอลฟ์ ? ฮ่า ฮ่า … ”

ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็หันไปหาซิฟและพูดว่า “คุณคิดว่าการที่ผมช่วยฆ่ามาเลคิธ โอดินจะขอบคุณผมใหม ?”

“ไม่ใช่แค่โอดิน แต่คนทั้งเก้าโลกจะต้องกล่าวขอบคุณเจ้าอย่างแน่นอน!” ซิฟพูดขึ้นมาด้วยความจริงจัง

ผู้นำของดาร์คเอลฟ์ มาเคลิธ คือศัตรูตัวฉกาจที่สร้างปั่นป่วนให้กับอาณาจักรทั้งเก้ามาอย่างยาวนาน และการที่ซู่เจินสามารถฆ่าเขาได้ด้วยฝีมือของตนเอง ถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้เป็นคนที่ได้มาเห็นกับตาด้วยตัวเอง เธอคงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าซู่เจินจะเป็นคนที่ฆ่ามาเลคิธได้จริง ๆ!

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มาเลคิธก็ได้ตายไปแล้ว ทำให้เธอกลัวว่าซู่เจินจะจากไปจากเธอในเร็ว ๆ นี้แน่นอน

เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ทั้งนั้น และในตอนนี้เธอรู้สึกว่าถ้าเธอยังไม่ทำอะไรสักอย่างก่อนที่ซู่เจินจะจากไป เธอจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน เพราะว่าระหว่างเธอกับซู่เจินจะต้องอยู่ห่างไกลกัน ไกลออกไป!

“ยานบินลำนี้สภาพดีมากและฉันยังไม่มียานบินเป็นของตัวเองด้วย ดังนั้นฉันจึงสามารถใช้โอกาสเพื่อเอายานบินลำนี้ไปที่โลกได้ เพราะว่า SHIELD ก็มียานบรรทุกเครื่องบินของเขา ส่วนผมก็มียานบินของดาร์กเอลฟ์ ซึ่งเทคโนโลยีของดาร์กเอลฟ์มันก้าวหน้ากว่าที่โลกมาก!”

เหตุผลที่ซู่เจินมาตามล่ามาเลคิธก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและอีกอย่างหนึ่งก็คือยานบินลำนี้

เขาจะพลาดของดี ๆ แบบนี้ไปได้ยังไงจริงไหม?

และยานบินลำนี้อยู่คนละดับกับยานบรรทุกเครื่องบินของ SHIELD อย่างสิ้นเชิง โดยไม่ต้องพูดถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เลยแม้แต่น้อยเพราะว่ายานบรรทุกเครื่องบินของ SHIELD สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีบนโลก แต่ยานบินของดาร์กเอลฟ์สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และเมื่อยานบินของดาร์กเอลฟ์นี้ได้ปรากฏต่อสาธารณชน มันจะเกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขนาดดาร์กเอลฟ์ที่มีพลังมากมายขนาดนี้ยังถูกฆ่าโดยเขา แล้วพวกเขาล่ะ ?

นี่คือการปฏิวัติอย่างแน่นอน!

ก่อนหน้านี้ที่ซู่เจินจงใจโยนดาร์กเอลฟ์ตัวสุดท้ายออกไปและไม่ได้ฆ่าทิ้งก็เพื่อให้ดาร์กเอลฟ์ตัวนั้นสอนวิธีการขับยานบินให้กับเขา

“ได้โปรด … อย่าฆ่าข้า ข้าขอสวามิภักดิ์ต่อท่าน!”

ดาร์กเอลฟ์ตนนั้นได้สติขึ้นมาทันทีและเมื่อเห็นซู่เจินเดินเข้ามา เขาก็ตื่นตระหนกและรีบร้องขอความเมตตาทันที

ซู่เจินหน้ามุ่ยเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณสอนวิธีการใช้ยานบินลำนี้ให้กับผม และถ้าเกิดว่าคุณมีความประพฤติที่ดีผมจะไม่ฆ่าคุณ เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นดาร์กเอลฟ์คนสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ดังนั้นผมจะรับคุณไว้เป็นคนรับใช้ของผมก็แล้วกัน! “

เมื่อได้ยินซู่เจินบอกว่าจะปล่อยให้เขามีชีวิตรอด เขาก็บอกบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้ให้กับซู่เจินในทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างภายในยานหรือวิธีการทำงานของยานบินลำนี้ เพราะถึงยังไงยานบินลำนี้ก็มีขนาดใหญ่มาก และแม้ว่ามันจะมีระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ ซู่เจินก็อยากรู้ข้อมูลของยานบินลำนี้ให้มากที่สุดอยู่ดี!

“ อย่าพยายามคิดที่จะวิ่งหนีจะหนีกว่านะ!”

ซู่เจินหันเตือนกับดาร์กเอลฟ์และเพิกเฉยต่อเขาทันที

แน่นอนว่าดาร์กเอลฟ์คนนี้มีความซื่อสัตย์แต่เขาก็ขี้ขลาดเล็กน้อย เขาไม่กล้าวิ่งหนีเมื่ออยู่ต่อหน้าซู่เจินอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าดาร์กเอลฟ์อย่างมาเลคิธ ก็ยังถูกซู่เจินฆ่าได้อย่างง่ายดาย แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขา?

“ซู่เจินพาข้าไปดูห้องภายในยานบินลำนี้หน่อยสิ แม้ว่าข้าจะสู้กับดาร์กเอลฟ์มาเป็นเวลานาน แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นว่าห้องของพวกดาร์กเอลฟ์นั้นมีลักษณะอย่างไร” เมื่อเห็นซู่เจินพูดจบซิฟก็เดินเข้ามาหาซู่เจินและถามขึ้นมาทันที

“ได้! ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”

ซู่เจินตอบขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและจูงมือของซิฟไปเดินดูห้องภานในยานบิน และเมื่อพวกเขาเดินดูกันจนทั่วก็พบว่ามันก็เหมือนกับห้องพักธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่มันมีเพียงห้องโดยสารเท่านั้นที่แตกต่างจากห้องพักเหล่านั้น

ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงห้องพักที่ใหญ่ขึ้นและกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิมและในที่สุดพวกเขาก็พบกับสิ่งที่คล้ายกับเตียงนอนที่ใช้สำหรับพักผ่อน

“ดาร์กเอลฟ์พวกนี้มันไม่เบื่อกันตายเลยรึไงเนี้ย!”

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ และทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปิดประตูที่ด้านหลังของเขาและเมื่อเขาหันหน้าไปมองก็เห็นว่าซิฟกดปิดประตูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่ท่าทางของซิฟที่แสดงออกมา

มันเต็มไปด้วยความขี้อายและความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นซู่เจินก็รู้ว่าเธอต้องการที่จะทำอะไรกันแน่ และเมื่อซู่เจินกำลังจะพูดขึ้นมา อยู่ดี ๆ ซิฟก็ยกมือขึ้นมาห้ามเอาไว้!

“อย่าได้พูดอะไรขึ้นมา ข้ากลัวว่าข้าจะสูญเสียความกล้าหาญของตัวเองไป ข้าไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงได้ตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ แต่อยู่ดี ๆ มันก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัวใจของข้าว่า ‘ถ้าเกิดว่าข้าไม่ทำแบบนี้ ข้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตของข้าแน่ ๆ’ และเจ้าอาจจะเห็นได้ว่าข้าเกลียดความความกะล่อนของเจ้าในตอนแรก แต่ตอนนี้มันกับทำให้ข้าสามารถยิ้มได้อย่างมีความสุขและข้าก็รู้สึกโชคดีมากที่ได้รู้จักกับเจ้า

กึก!

เกราะอกของซิฟที่ตกลงพื้นส่งเสียงดังออกมา!

เมื่อซู่เจินเห็นว่าซิฟกำลังกังวลเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่ปล่อยให้ชุดเกราะหล่นลงมาเสียงดังขนาดนั้น แถมเธอยังเป็นผู้หญิงที่สวยราวกับเทพธิดา ยังมีความกล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องแบบนี้ แล้วเขาที่เป็นผู้ชายล่ะ ? จะไม่ทำอะไรในฐานะของผู้ชายบ้างเลยงั้นหรอ!

มันคงจะเป็นเรื่องน่าอายเกินไปที่จะปล่อยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนเริ่มในเรื่องแบบนี้!

“พอเถอะ เดี๋ยวผมช่วยคุณเอง”

ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ และซิฟก็ก้มหัวลงด้วยความเขินอายและหยุดอยู่กับที่ทันที…….