ลูเมี่ยนวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่านถนนเส้นเล็กที่เปียกแฉะไปด้วยน้ำ เขาหัวเราะร่าพลางกระโจนข้ามม้านั่งสาธารณะที่มีคนไร้บ้านกำลังนอนหลับอยู่ ในมือถือกระเป๋าเงินของใครบางคน

กลิ่นของน้ำฝนและฝุ่นควันทำให้เขาแอบสำลักเล็กน้อยและไอออกมา ท้องฟ้าสีเทาหม่นเต็มไปด้วยเมฆหมอก ลูเมี่ยนครุ่นคิดกับตัวเองอย่างยินดี

วันนี้เขาสามารถล้วงกระเป๋ามาได้ตั้งสามคน! ถึงจะไม่รู้ว่าเงินที่ขโมยมาได้จะเยอะเท่าไหร่ก็เถอะ แต่การได้เห็นสีหน้าโมโหของชนชั้นกลางที่ไปฉกกระเป๋ามาก็คุ้มเหนื่อยแล้ว

เขานึกสนุกขึ้นมาเล็กน้อยระหว่างที่กำลังวิ่งหนี แถวๆ นี้เต็มไปด้วยตึกอาคารที่เก่าแก่และทรุดโทรม ถ้าเขาล่อพวกชนชั้นกลางพวกนั้นให้วิ่งตามไปยังสถานที่ต่างๆ ในเขตสลัมได้ มันจะสนุกขนาดไหนนะ

หึหึ การได้เห็นพวกนั้นเหนื่อยหอบพลางพยายามวิ่งตามเนี่ย เหมือนเกมดีๆ เลยไม่ใช่รึไงกัน?

ลูเมี่ยนตัดสินใจหยุดกึก ก่อนจะหันไปมองเหล่าผู้คนที่กำลังตามเขามา มีหญิงสาวร่างท้วมที่แต่งหน้าหนาเตอะหนึ่งคน บอดี้การด์ราวๆ สองคน และผู้คนที่เหมือนจะเป็นลูกจ้างของผู้หญิงคนนั้นราวๆ สองคน ถึงลูเมี่ยนจะไม่ใช่ชนชั้นกลาง แต่เขาก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะมีฐานะมากพอสมควรถึงได้จ้างคนมาได้มากขนาดนั้น

“เฮ้ไอ้พวกโง่ แน่จริงก็ตามมาให้ได้เซ่!!” เขาเริ่มการยั่วยุอีกฝ่าย ก่อนจะหันหลังให้และตีก้นใส่หน้า “มาดมตูดฉันนี่มา! ไอ้พวกลูกหมา!”

“ไอ้เด็กเวร จับมันให้ได้!”

เสียงตะโกนอันกราดเกรี้ยวนั่นทำให้ลูเมี่ยนหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขาก้มตัวลงอย่างรวดเร็วพลางก้มหยิบก้อนหินขึ้นมาและเขวี้ยงมันใส่อีกฝ่าย ก่อนที่จะเริ่มเผ่นแนบไป

ปั้ง เปรี้ยง เสียงของกระสุนปืนเฉียดหน้าของเขาไป ลูเมี่ยนแสยะยิ้มเบาๆ แต่ภายในใจรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ถึงหวาดกลัวแต่ก็รู้สึกดี นี่แปลว่าพวกมันโมโหจนถึงกับใช้ปืนเลยไม่ใช่รึไงกัน?

ใช่ว่าเขาดิ้นรนหาความตายหรอก แต่ในบางครั้งความหวาดกลัวมันก็ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่ายังไงล่ะ ชีวิตของเด็กไร้บ้านก็แบบนี้แหละ ตื่นเต้น เสี่ยงตาย อ้อ แน่นอนว่าคนอื่นไม่มีใครเป็นแบบเขาหรอก เขามันเด็กที่ผิดแผกไปจากคนอื่น แม้แต่เพื่อนเด็กไร้บ้านด้วยกันยังบอกเลยว่าเขามันไอ้เพี้ยน

ด้วยประสบการณ์ในการวิ่งหนีเอาชีวิตรอด และด้วยความที่เขาเชี่ยวชาญพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ทำให้เขาสามารถใช้ประโยชน์จากที่กำบังต่างๆ ในการหลบหลีกกระสุนปืนได้ และมุมอับสายตาต่างๆ ตามบริเวณมุมตึกทำให้เขาเอาตัวรอดมาได้นักต่อนัก

รู้สึกราวกับได้มีชีวิตใหม่เลยล่ะ เขาพยายามเชิญชวนเพื่อนเด็กไร้บ้านให้ลองทำแบบเขาดูบ้างแล้ว ทั้งการหลบกระสุนปืน ทั้งการยั่วโมโหคนอื่น ทั้งหมดนั่นมันน่าตื่นเต้นมากแค่ไหน เขาพยายามบอกคนอื่นถึงเรื่องนั้น แต่น่าเสียดายที่พวกนั้นไม่คิดจะทำแบบเขาบ้างเลย ไม่งั้นป่านนี้เขาคงกำลังวิ่งหนีกระสุนพร้อมกับพวกนั้น พร้อมกับหัวเราะร่าไปด้วยกันได้แล้ว

พวกนั้นมักจะบอกกับเขาว่า ‘ไปวิ่งเองคนเดียวเลยไป’ นั่นมันน่าหงุดหงิดสุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไงกัน? พวกแกจะตายเพราะชีวิตอันน่าเบื่อบัดซบเอานะ ทำไมถึงไม่มาหลบกระสุนปืนด้วยกันล่ะ?

ฝนสาดเทลงมาใส่เด็กชายที่กำลังพุ่งทะยาน กลิ่นของมันเจือปนไปด้วยฝุ่นควันจากโรงงานอุตสาหกรรมที่เปิดในเมืองแห่งนี้ แย่แล้ว ฝนบ้านี่อีกแล้ว ถ้าเขาจำไม่ผิด น้องสาวของเขาก็ตายเพราะมันเนี่ยแหละ พ่อกับแม่ที่เสียใจก็ตรอมใจจนตาย

ลูเมี่ยนตัดสินใจยุติเกมการไล่จับไว้แต่เพียงเท่านี้ เขาหยิบเงินออกมาจากระเป๋าที่ฉกมา ก่อนจะทิ้งกระเป๋าเปล่าๆ เอาไว้บนถนน หวังจะให้พวกนั้นมาเจอและดีใจเก้อว่าตัวเองเจอของของพวกมันแล้ว ทั้งๆ ที่มันก็แค่กระเป๋าเปล่าๆ

ลูเมี่ยนเปิดฝาท่อระบายน้ำแถวๆ นั้น ก่อนจะเข้าไปข้างใน เตรียมตัวนำเงินที่ได้มาไปแบ่งให้คนที่รอด้านใน

ช่างเป็นชีวิตที่ตื่นเต้นดีเหลือเกิน

 

วาคาดะ ซายูริวางแผนบางอย่างเอาไว้ในใจ ขั้นแรก เด็กสาวนำเงินปอนด์ไปซื้อน้ำมะนาวมาหนึ่งแก้วตามที่ฮันน่าบอก ก่อนจะนำมันไปให้กับพนักงานเก็บกุญแจที่มีชื่อว่าโรนา

“หืม?” อีกฝ่ายทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “ให้ฉันเหรอ?”

สีหน้าอิดโรยของอีกฝ่ายคงไปกระตุ้นต่อมสงสารของฮันน่าล่ะมั้ง ผนวกกับที่ฮันน่าเป็นพวกเห็นใจคนอื่นง่าย ทำให้อีกฝ่ายให้เงินเธอมาซื้อน้ำมะนาวแบบนี้

เด็กสาวพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะบอกอีกฝ่ายไปว่าพี่สาวของเธอเป็นคนสั่งให้เธอทำแบบนี้เอง จากนั้นก็วางน้ำมะนาวไว้บนเคาน์เตอร์ของโรนา อีกฝ่ายรับมันไปดื่มด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

อึก อึก น้ำมะนาวไหลลงคอของหญิงสาว เธอรู้สึกชุ่มชื่นในลำคอ ความเปรี้ยวของน้ำมะนาวผนวกกับรสหวานเล็กน้อยทำให้โรนารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เมื่อหยุดดื่มรสเปรี้ยวหวานก็ยังคงทิ้งเอาไว้คาลิ้น

สำหรับสาวที่ต้องทำงานดึกดื่นบ่อยๆ การได้ลิ้มรสของน้ำเย็นๆ บ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน

“ฝากไปบอกขอบคุณพี่สาวของเธอด้วยนะ” โรนากระแอมในลำคอเล็กน้อย “บอกไปว่าขอบคุณสำหรับน้ำมะนาว”

แม้แต่ตอนฝากฝังให้ขอบคุณโรนาก็ยังพูดด้วยสีหน้าราบเรียบเหมือนเคย แต่มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาบ้างแล้ว สีหน้าที่ดูแข็งกระด้างในตอนแรกดูอ่อนโยนขึ้นมามาก บางทีคงเพราะน้ำมะนาวทำให้สดชื่นขึ้นล่ะมั้ง

ยูริพึ่งสังเกตุว่าผมสีฟ้ายาวของอีกฝ่ายค่อนข้างกระเซิงเลยทีเดียว แปลว่าที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองงั้นหรือ? ดวงตาสีเขียวมรกตดูอ่อนล้า จะว่าไป ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เธอลองถามบางอย่างจากอีกฝ่ายจะดีกว่า

“นอกจากคำขอบคุณแล้ว หนูอยากให้พี่ช่วยตอบคำถามสักข้อสองข้อด้วยได้ไหมคะ?”

ถึงเธอจะเริ่มทำตัวเหมือนนักข่าวก็เถอะ แต่นี่เป็นคำถามที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อแผนการในอนาคตของเธอ ดังนั้นในฐานะคนต่างโลกที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย เธอต้องการข้อมูลติดตัวเอาไว้บ้าง

“คำถาม?” โรนาทำสีหน้าสงสัย “คำถามอะไรล่ะ”

ยูริสูดลมหายใจเขาสักพัก หัวสมองเรียบเรียงสิ่งที่ต้องการจะพูดออกไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยคำถามเรียบๆ และง่ายดายที่สุด

“ช่วงนี้พี่สาวหนูนอนไม่หลับ มียาที่ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้นหรือเปล่าคะ?”

เธอวางแผนเอาไว้ว่าจะวางยาฮันน่าให้สลบ จากนั้นก็ฉวยโอกาสนั้นออกไปสำรวจเมือง แน่นอนว่าเธอมีเป้าหมายบางอย่างในใจแล้วยังไงล่ะ

โรนาทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง เธอลูบปลายคางเบาๆ มันดูมีเสน่ห์และน่าหลงไหลเล็กน้อย บางทีแต่ก่อนอีกฝ่ายอาจจะสวยมากกว่านี้ก็ได้ แต่เพราะการทำงานหนักทำให้ดูเหมือนคนอดนอน—ซึ่งก็น่าจะอดนอนจริงๆ นั่นแหละ

“ในโรงแรมจำได้ว่ามีหนึ่งกระปุก เดี๋ยวไปเอามาให้”

ถึงจะพูดด้วยรูปประโยคที่ทำให้รู้สึกว่ายานั่นอยู่ไกลก็ตาม แต่อีกฝ่ายทำเพียงแค่ก้มหัวลงเล็กน้อย มีเสียงครืดของการเปิดลิ้นชักโต๊ะ ก่อนที่เสียงกุกกักบางอย่างจะดังขึ้นมา อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นและหยิบกระปุกยาสีขาวมาให้

“กินหนึ่งเม็ดจะหลับยาวราวๆ สองชั่วโมง เป็นตัวยาที่ใช้ได้ทุกเผ่าพันธุ์ ทั้งเผ่ามนุษย์ แวมไพร์ พวกหูสัตว์ และมนุษย์หมาป่า แต่อย่ากินเกินวันละสองเม็ดล่ะ ไม่งั้นอาจจะช็อกได้ ถ้าไม่จำเป็นอย่ากินเลยจะดีกว่า มันส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว”

จากนั้นอีกฝ่ายก็ยื่นตัวยามาให้ เด็กสาวรับมันไปพลางก้มหัวอย่างขอบคุณ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะใส่ใจกว่าที่คิด ถึงภายนอกจะเฉื่อยชาก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เตือนให้เห็นถึงผลดีผลเสียของตัวยานี้ หรือนี่จะเป็นการขอบคุณที่ช่วยซื้อน้ำมะนาวมาให้กัน?

“อีกคำถามค่ะ” เธอเอ่ย อีกฝ่ายทำสีหน้าแปลกใจ “มีเวลาตอบรึเปล่าคะ?”

โรนาลูบคางอีกครั้ง ดูเหมือนอีกฝ่ายเป็นพวกที่เวลาใช้ความคิดก็จะลูบคางตัวเองเบาๆ สินะ

“ตอนนี้ยังไม่มีลูกค้ามาด้วย ฉันยังพอมีเวลาตอบอยู่”

ยูริครุ่นคิดถึงคำถามที่ตัวเองยังไม่เคยได้รับคำตอบ เธอจำได้ว่าวันที่ดวงจันทร์หายนะทรีอาร์ขึ้นบนฟากฟ้า เธอหวาดกลัวจนฉี่รดที่นอนทำให้ฮันน่าต้องพาเธอมายังเมืองนี้

วันนั้นฮันน่าเป็นคนที่ช่วยเด็กสาวในการเลือกชุด อีกฝ่ายบังคับให้เธอสวมฮู้ดสีน้ำตาล พลางอ้างเหตุผลว่ามนุษย์และเผ่าอมนุษย์ในเมืองกำลังมีปัญหาบางอย่าง ซึ่งจนถึงป่านนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าปัญหานั่นคืออะไรกันแน่

“พี่สาวเล่าให้ฟังว่ามนุษย์และเผ่าอมนุษย์กำลังมีปัญหากัน หนูเลยสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหรอคะ เท่าที่ดู เมืองนี้ก็สงบดีนี่น่า?”

โรนาจ้องหน้าเธอนิ่งๆ นั่นทำให้เธอเสียวสันหลังวาบหน่อยๆ

“เธอมาจากเมืองอื่นใช่ไหม?”

โรนาถาม และโดยไม่รอคำตอบ อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ความจริงที่ว่ามนุษย์และเผ่าอื่นๆ กำลังมีปัญหากระทบกระทั่งกันนั่นมันก็เรื่องจริงหรอก แต่มันก็มีปัญหากันแค่ในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นแหละ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ในบางครั้งการทะเลาะกันเองของกลุ่มเล็กๆ ที่ว่านั่นก็ส่งผลกระทบกับคนอื่น มนุษย์บางจำพวกไม่ยอมรับการมีอยู่ของเผ่าอื่นๆ พวกนั้นเลยมักจะหาเรื่องต่อยตีและทำร้ายเผ่าอมนุษย์อยู่เสมอๆ”

“และด้วยเหตุนั้น เผ่าอมนุษย์บางส่วนเลยก่อตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นมาเพื่อต่อกรกับพวกนั้นอีกทีหนึ่ง ในสายตาของคนนอกแล้ว ทั้งสองกลุ่มนั่นก็ไม่ต่างอะไรจากแก๊งอันธพาลเลย เป็นแก๊งคู่อาฆาตที่เกลียดชังอีกฝ่าย ถ้าเป็นไปได้พยายามอย่าไปเดินบนถนนคนเดียวในตอนกลางคืน เพราะไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหน มันก็อันตรายทั้งนั้น”

เข้าใจแล้ว มันคือปัญหาเรื่องการแบ่งแยกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ และต้นกำเนิดนี่เอง กลุ่มขี้เหยียดถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ และมีกลุ่มที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายกลุ่มขี้เหยียดที่ว่านั่น และสุดท้ายการมีอยู่ของทั้งสองกลุ่มก็สร้างปัญหาให้กับประชาชนธรรมดาๆ

ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่มีแนวคิดแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ และไม่ใช่เผ่าอมนุษย์ทุกคนที่หวังจะกระทืบเผ่ามนุษย์เพียงเพราะชังขี้หน้า มันเป็นเพียงความขัดแย้งของเด็กน้อยบางกลุ่มเท่านั้น

น่าสมเพชชะมัด จะแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ไปทำไมกัน? พวกแกมันก็ขยะกันหมดนั่นแหละ ไม่ต้องมาเสียเวลาแยกขยะเปียกกับขยะแห้งกันหรอก ยังไงขยะก็คือขยะ

แต่วาคาดะ ซายูริก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ถ้ามันเป็นเพียงความขัดแย้งเล็กๆ ระหว่างกลุ่ม แล้วทำไมฮันน่าต้องให้เธอปลอมตัวด้วยล่ะ? ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้ไม่ว่าเผ่าไหนๆ ก็มีโอกาสซวยเหมือนกันหมด ไม่ว่าเธอจะเข้าเมืองในฐานะมนุษย์หรือว่าอมนุษย์ เธอก็มีสิทธิ์ถูกกระทืบทั้งสองกรณีอยู่ดี

ไม่สิ ฮันน่าเป็นแวมไพร์ เธอเป็นมนุษย์ เนื่องจากทั้งสองกลุ่มนั้นมันเสียสติไปแล้ว บางทีพวกมันอาจจะมองว่าการที่มนุษย์และแวมไพร์จะมาอาศัยอยู่ด้วยกันนั้นคือเรื่องผิดปกติ ดูจากที่โรนาเล่าแล้ว พวกมันคือกลุ่มหัวรุนแรงที่พร้อมจะทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะไม่ชอบเป็นการส่วนตัว ดังนั้นแล้วการที่ฮันน่าให้เธอปลอมตัว ก็เพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นความสนใจจากพวกมันมากเกินจำเป็น

ให้ตายสิ แปลว่าชีวิตของเธอก็โคตรเสี่ยงอันตรายเพราะพวกมันเลยไม่ใช่รึไงกัน? แบบนี้การออกเดินทางยามค่ำคืนก็ทำไม่ได้งั้นเหรอ?

“มีวิธีดูอยู่ว่าใครคือสมาชิกของกลุ่มหัวรุนแรงพวกนั้น”

โรนาเล่าต่อ คงคิดว่าอยากจะเตือนเด็กสาวให้ระมัดระวังเอาไว้

“เนื่องจากกลุ่มของพวกมันทั้งสองเป็นกลุ่มหัวรุนแรง ทำให้พวกมันเลือกหาสัญลักษณ์ประจำกลุ่มมาใส่เพื่อยั่วยุอีกฝ่ายให้เข้ามาโจมตี และมุ่งหวังจะทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งน่ะ”

เสียสติชะมัด ทำแบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากรนหาที่ตายเลยนี่น่า

“กลุ่มที่เป็นกลุ่มของมนุษย์หัวรุนแรงที่มุ่งหวังจะทำลายเผ่าพันธุ์อื่นๆ มีชื่อว่าองค์กรล่ามาร ถึงจะชื่อว่าเป็นองค์กรก็เถอะ แต่พวกมันก็แค่ศูนย์รวมคนบ้าเท่านั้นแหละ ไม่ใช่องค์กรที่ใหญ่อะไรนัก พวกมันมักจะมาพร้อมหน้ากากคณะละครใบ้ เป็นหน้ากากสีขาวเรียบง่ายน่ะ เพื่อให้ง่ายต่อการจำแนกสมาชิกในกลุ่ม”

“ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มของเผ่าอมนุษย์ เป็นกลุ่มที่มีชื่อว่ากุหลาบสีชาด มักจะมีสมาชิกประกอบไปด้วยเผ่าอมนุษย์ ทั้งมนุษย์หมาป่า
แวมไพร์ เบนชี มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ชอบขี้หน้าพวกหัวรุนแรงในองค์กรล่ามาร ไม่มีสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงกลุ่มเหมือนกับองค์กรล่ามาร ต้องระวังไว้ให้ดี”

“แต่กลุ่มกุหลาบสีชาดจะมีพวกเสียสติน้อยกว่าองค์กรล่ามาร ส่วนใหญ่แล้วพวกนั้นมีคนดีๆ อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย ฉันเคยเจอสมาชิกคนหนึ่งที่พุ่งเข้าไปช่วยเด็กชายชาวมนุษย์จากเงื้อมมือของฆาตกรโรคจิต และสมาชิกที่ว่าก็เป็นเผ่ามนุษย์หมาป่า”

เข้าใจแล้ว กลุ่มกุหลาบสีชาดนี่เป็นกลุ่มฝ่ายดีสินะ แม้บางครั้งจะสร้างความเดือดร้อนไปบ้าง แต่เป้าหมายดังเดิมของการตั้งกลุ่มแต่แรกคือการทำลายองค์กรล่ามารที่หวังจะทำลายล้างเผ่าพันธุ์อื่น

และที่น่าแปลกใจก็คือ สมาชิกในกุหลาบสีชาดดันมีมนุษย์ธรรมดาอยู่ด้วย แปลว่าไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะเห็นชอบกับอุดมการณ์ของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตัวเองสินะ

นับว่าเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ แต่ก็ยังสร้างความเดือดร้อนอยู่ดีนี่หว่า

“มีคำถามอะไรอีกไหม? ฉันต้องทำงานแล้ว”

แต่งานของเธอก็แค่อยู่เฉยๆ รอมอบกุญแจไม่ใช่รึไง? ดูก็รู้ว่าไม่อยากคุยต่อแล้ว แต่ก็เข้าใจได้ ยืนอยู่เฉยๆ ทั้งวันมันน่าจะเหนื่อยน่าดู บางทีตอนที่ไม่มีลูกค้ามา อีกฝ่ายคงแอบงีบหลับ

“ไม่มีแล้วค่ะ”

เด็กสาวบอก ความจริงแล้วเธอยังมีคำถามอีกเพียบเลย แต่ถามตอนนี้คงไม่ได้สินะ

“ขอให้อร่อยกับน้ำมะนาวนะคะ”

หลังจากนั้นเด็กสาวก็เดินขึ้นบันไดไป หมายจะกลับเข้าห้อง…