บทที่ 9 ความสามารถที่ไม่เคยพบเจอ

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ก็มีเสียงดูถูกเหยียดหยามดังขึ้นทั่วบริเวณ 

“หา ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ แม้แต่ผู้หญิงไร้ค่าคนนี้ก็สามารถสมัครแข่งขันงานชุมนุมเจ้ายุทธ์ได้เช่นนั้นหรือ” 

“เฮ่อเหลียนเวยเวยบ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน นางเสียสติหลังจากที่ถูกซื่อจื่อยกเลิกการแต่งงานเช่นนั้นหรือ” 

“ช่างไม่เจียมตัวเสียจริง หึหึ…” 

ผู้ดูแลมองเฮ่อเหลียนเวยเวย น้ำเสียงของเขาฟังดูลังเล”ตามข้ามา” 

หลังจากนั้น ผู้ดูแลก็หมุนตัวเดินเข้าไปในหอเฟิ่งหวง 

การทดสอบไม่ได้จัดขึ้นภายในอาคาร แต่เป็นศาลาโบราณ ด้านในศาลานั้นมีโต๊ะหินหยกขาวตั้งอยู่ และมี ‘เศษเหล็ก’ วางเรียงรายอยู่บนนั้น ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เขากำลังหลับตาอยู่ แม้กระทั่งตอนที่รู้สึกได้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามา เขาก็ยังคงไม่ลืมตา แต่พูดขึ้นว่า “ทุกอย่างอยู่บนโต๊ะแล้ว การทดสอบมีเวลาครึ่งชั่วยาม ประกอบมันให้เข้ากันได้พอดี” 

ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครแสดงความโดดเด่นออกมาเลย ผู้อาวุโสดูเหมือนจะผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด และหมดความสนใจในตัวผู้เข้ารับการทดสอบที่เหลือแล้ว 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดู ‘เศษเหล็ก’ บนโต๊ะหินตรงหน้า ดวงตาของนางหรี่ลง ทันใดนั้นก็เหมือนมีแสงวาบผ่านดวงตาที่เป็นประกายของนาง 

หยวนหมิงมองนางด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ ทำไมจู่ๆ นางถึงดูตื่นเต้นเช่นนั้น 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงแค่ยิ้มกรุ้มกริ่ม และเดินเข้าไปที่โต๊ะหินอย่างไม่รีบร้อน ท่าทางราวกับคนเกียจคร้าน 

นั่นทำให้ผู้ดูแลที่ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้วแน่น 

ผู้เฒ่าคนนั้นไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะอย่างไรก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำสำเร็จได้ภายในเวลาครึ่งชั่วยาม 

เฮ้อ เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ของเขาเท่านั้น เขาไม่ควรมาจัดการทดสอบขึ้นที่นี่เลย… 

ในที่สุด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เคลื่อนไหว 

นางดูเหมือนเป็นวาทยกรที่เก่งกาจ เริ่มจากมัดผมเป็นทรงหางม้าสูงให้เรียบร้อย จากนั้นก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น ดวงตาของนางก้มดู ‘เศษเหล็ก’ มือข้างซ้ายง่วนอยู่กับการถอดแยกชิ้นส่วน แล้วทำการประกอบรวมกันด้วยมือขวา 

นิ้วของนางเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและเป็นจังหวะ ‘เศษเหล็ก’ ที่อยู่ในมือของนางนั้น ดูราวกับมีชีวิตขึ้นมา 

คลิก 

เมื่อชิ้นส่วนแรกเสร็จเรียบร้อย นางก็รีบหยิบ ‘เศษเหล็ก’ ชิ้นส่วนที่สองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 

สีหน้าของผู้อาวุโสยังคงเรียบเฉย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ดูแลประหลาดใจก็คือผู้อาวุโสคนนั้นได้ลืมตาขึ้น และตั้งใจมองเฮ่อเหลียนเวยเวย 

เฮ่อเหลียนเวยเวยบิดแขน และเคลื่อนไหวนิ้วมือได้อย่างใจนึก โดยสายตานั้นจับจ้องกับสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ พร้อมกับเอ่ยถาม “หากข้าชนะ ข้าจะได้รับเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงใช่หรือไม่” 

“หา” ผู้ดูแลไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้ เขาจึงชะงักไปชั่วขณะ 

เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว แล้วหยุดมือลง “ไม่มีรางวัลให้เช่นนี้หรือ” แล้วนางจะทำสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไรเล่า 

“ทำต่อไป” ผู้อาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและขึงขัง ดวงตาของเขาจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวย “นังหนู ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าจะทำได้เร็วเพียงใด” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเม้มริมฝีปากบาง และยิ้ม “งั้นก็เอาเงินมาให้ข้าก่อน” 

“เงินหรือ เงินอะไรกัน” ในที่สุด เขาก็ได้พบเมล็ดพันธุ์ชั้นดี เด็กสาวคนนี้ยังจะมาพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กับเขาอีก ช่างน่าเหนื่อยใจยิ่งนัก 

สีหน้าของผู้ดูแลเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน “หอเฟิ่งหวงเตรียมเงินรางวัลเอาไว้ สำหรับผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัล ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้ขอรับ” 

“นังหนู เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม ตอนนี้ เจ้าทำมันต่อเลยได้หรือไม่” ไม่แปลกเลยที่ท่านผู้เฒ่าจะกระสับกระส่ายเช่นนี้ เขาอยากจะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองเห็นอยู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตาหรือไม่ 

“ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับคอของนางอย่างสง่างาม 

ครั้งนี้ นางเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าเดิม ดวงตาหงส์ของนางเบิกกว้างขึ้น นิ้วมือที่สัมผัสกับ ‘เศษเหล็ก’ นั้นขยับอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับเริ่มจดจ่อกับการประกอบมันอีกครั้ง 

ไม่มีใครรู้ว่าสำหรับนางที่เกิดในยุคสมัยใหม่ การถอดประกอบอาวุธเป็นเพียงกิจวัตรประจำวันทั่วไปเท่านั้น 

นางสามารถหลับตาแล้วถอดอุปกรณ์ของปืนซุ่มยิงแบบพกพารุ่นเคสี่ได้ภายในสิบวินาที และประกอบชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายทั้งหมดกลับเข้าไปใหม่ได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจเช่นกัน 

แล้วนางก็คุ้นเคยกับชิ้นส่วนเหล่านี้เป็นอย่างดี ถึงจะเป็นวัสดุที่ไม่รู้จัก แต่ก็มีความโค้งมนที่สมบูรณ์แบบ ในศตวรรษที่ 21 นางเล่นอยู่กับสิ่งนี้ทุกวัน ไม่คิดว่าในยุคโบราณจะมีการฝึกฝนเช่นนี้ด้วย แล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่คันไม้คันมือได้อย่างไร 

คลิก 

ชิ้นส่วนที่สองก็เสร็จสมบูรณ์อย่างง่ายดายเช่นกัน และประกอบเข้ากับชิ้นส่วนแรกได้อย่างพอดี 

ดวงตาของผู้ดูแลเบิกกว้างและมองไปทางผู้อาวุโส 

ผู้อาวุโสกำถ้วยชาในมือ ส่วนมืออีกข้างก็ค้ำเก้าอี้โยกเอาไว้ ราวกับต้องการจะลุกขึ้นยืน… 

คลิก… คลิก 

ชิ้นที่สามแล้ว! 

ผู้ดูแลยืดคอมองอย่างตื่นเต้น 

ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่ได้รับผลกระทบจากคนรอบข้างเลย มือของนางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน เพียงแค่กะพริบตา ก็อาจจะพลาดการเคลื่อนไหวของนางได้ 

ขณะนั้นเอง ผู้ดูแลก็คิดว่ามือคู่นั้นช่างเรียวยาวงดงามอย่างมาก ดูเหมือนนางไม่ได้กำลังถอดประกอบเศษเหล็กอยู่ แต่เสียงคลิกดังขึ้นจากการเชื่อมต่อกันได้พอดีของชิ้นส่วนทุกชิ้น กลับฟังดูเหมือนนางกำลังเล่นดนตรีอันไพเราะอยู่ 

ส่วนของโซ่เหล็กถูกวางไว้บนโต๊ะหินหยกขาวอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบ 

ผู้อาวุโสคนนั้นลุกขึ้นยืนได้แล้ว และสีหน้าตกตะลึงของเขาก็ดูเปลี่ยนไปอย่างมาก 

สิบปีที่แล้ว เขายอมรับศิษย์คนหนึ่งที่มีพรสวรรค์มาจากตระกูลมู่หรง หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีความสามารถมากที่สุด แต่เด็กชายนามว่ามู่หรงฉางเฟิงจากตระกูลมู่หรงคนนั้นกลับทำสำเร็จเพียงแค่สามชิ้นเท่านั้น 

แต่เด็กสาวคนนี้… 

ทำได้ถึงเก้าชิ้นส่วน 

นางประกอบทุกชิ้นส่วนสำเร็จ 

ผู้เฒ่าสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกถ้วยชาในมือขึ้นมาดื่มเพื่อสงบใจ เมื่อเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นว่าเฮ่อเหลียเวยเวยหมุนข้อมืออย่างรวดเร็ว และชิ้นส่วนที่ประกอบทั้งหมดก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวจากการเคลื่อนไหวอันว่องไวของนาง จนกลายเป็นเส้นสีเงินส่องประกาย… 

ฉับ 

เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับนิ้วของตนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วแส้สีเงินยาวเส้นหนึ่งก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นกลีบดอกซากุระที่แตกกระจาย 

“อสรพิษเงินเก้าบทเพลง” 

ผู้อาวุโสตะโกนร้องอย่างลืมตัว มือของเขาสั่นไหว และปากก็ไม่สามารถหุบลงได้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับว่าเขาได้ค้นพบสมบัติล้ำค่า 

ผ่านมากี่ปีแล้ว 

กี่ปีแล้วที่ไม่มีใครสามารถถอดประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันได้สำเร็จภายในครึ่งชั่วยาม 

ยิ่งไปกว่านั้น นางยังประกอบมันเป็นอสรพิษเงินเก้าบทเพลงได้อีกด้วย 

นางอาจจะเป็นยอดอัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นในรอบสิบปี ไม่สิ อาจจะในรอบร้อยปีเลยก็เป็นได้ 

ผู้อาวุโสเห็นอนาคตอันใกล้ได้ว่าเด็กคนนี้จะต้องเป็น ‘เจ้ายุทธ์’ ที่น่าทึ่งและเปล่งประกายโดดเด่นขนาดไหน เมื่อคิดเช่นนั้น ผู้อาวุโสก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ 

เขาหัวเราะลั่นอย่างมีความสุขและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “นังหนู ข้าคนนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์” เขาพูดขึ้นอย่างเบิกบาน 

เฮ่อเหลียนเวยเวยถือแส้ยาวอยู่ในมือ หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น นางก็ไม่ตอบอะไร สีหน้าของนางไม่เผยความยินดียินร้ายใดๆ 

ผู้ดูแลยืนมองเฮ่อเหลียนเวยเวยจากด้านข้างด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขยับ เขาก็คิดว่านางน่าจะตกใจ จึงรีบพูดเสริมทันที “มัวทำอะไรอยู่น่ะ ผู้อาวุโสคนนี้ไม่รับลูกศิษย์คนใดมากว่าสิบปีแล้ว และครั้งนี้ เขาอยากจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แม่นาง นี่ถือเป็นโชคดีของเจ้า หากเจ้าได้เป็นลูกศิษย์ของเขา เจ้าจะมีอาจารย์คนเดียวกับมู่หรงซื่อจื่อ หลังจากนี้อนาคตของเจ้าก็สดใสแล้ว” 

ผู้อาวุโสลูบเคราของตนเองอย่างช้าๆ และโบกมือให้พร้อมรอยยิ้ม 

อย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือเฮ่อเหลียนเวยเวยจะตอบกลับมาว่า “ข้าขอปฏิเสธ”