บทที่ 10 การเคลื่อนไหวของดาววิหคแดง

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ดูแลก็ตกตะลึงจนกรามค้าง 

ดูเหมือนผู้เฒ่าจะคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นนี้ เขาตัวแข็งค้าง และทำตาโตจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวย “เพราะเหตุใดเล่า” 

“ไม่มีเหตุผล” เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ วางแส้ยาวในมือของนางลง และหยิบเงินรางวัล ก่อนจะจากไปโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของคนที่อยู่ข้างหลัง 

สีหน้าของผู้อาวุโสคนนั้นแข็งเกร็ง เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่อาจยอมรับได้ว่าตนเองถูกปฏิเสธ เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนเองในเวลานี้อย่างไร ตกใจ อึดอัด รวมถึงผิดหวังที่ไม่ได้คนที่มีความสามารถมาเป็นลูกศิษย์… จิตใจของเขาว้าวุ่น ก่อนจะข่มเสียงต่ำและลั่นวาจาไปว่า “ผู้ดูแลจาง ทุกอย่างที่เจ้าเห็นในวันนี้ จะต้องไม่มีผู้ใดรู้” 

“ขอรับ” ผู้ดูแลจางรีบพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ผู้อาวุโสตู๋ถึงจริงจังขึ้นมา แต่ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลหอเฟิ่งหวง สิ่งเดียวที่เขาต้องทำก็คือเก็บเป็นความลับ 

ผู้เฒ่ามอง ‘อสรพิษเงินเก้าบทเพลง’ ที่วางอยู่บนโต๊ะหิน ก้มลงหยิบแส้ขึ้นมา แล้วห่อมันด้วยผ้าสีดำ จากนั้นจึงพูดขึ้น “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว สำหรับการทดสอบที่เหลือ เจ้าก็ดำเนินการต่อได้เลย ข้าจะไปหาท่านปรมาจารย์ก่อน” 

“หา” ผู้ดูแลมองแผ่นหลังของผู้อาวุโสที่รีบเดินออกไปด้วยความรู้สึกมึนงง เขาเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลคนหนึ่งที่ไม่รู้วิธีการจัดระดับของอาวุธต่างๆ 

“ผู้อาวุโสตู๋ ผู้อาวุโสตู๋” 

ผู้ดูแลจางวิ่งไล่ตามผู้อาวุโสสองสามก้าวพลางตะโกนเรียกอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าเขาจะร้องเรียกอย่างไร ผู้อาวุโสก็ไม่แม้แต่จะหันมามองเขาเลยแม้แต่น้อย 

ตอนนี้ ใจของผู้อาวุโสตู๋นั้นคิดเพียงแค่ว่าจะเอาชนะนังหนูที่มีพรสวรรค์คนนั้นได้อย่างไร หากคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้าทุกคนต้องออกตามหานางแทบพลิกแผ่นดินอย่างแน่นอน ดังนั้น เขาจะต้องรีบไปพบท่านปรมาจารย์โดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้หารือเรื่องนี้อย่างรอบคอบ… 

… 

“พวกเจ้าดูนั่นสิ นังคนไร้ค่าออกมาแล้ว” 

“เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ นางก็ถูกผู้อาวุโสตู๋ไล่ออกมาแล้วหรือ” 

“ฮ่าๆ เป็นไปได้มากทีเดียว ผู้อาวุโสตู๋เป็นคนอารมณ์ร้อน เดิมทีผู้ที่มีความสามารถพอจะเป็นเจ้ายุทธ์ได้ก็มีไม่มากอยู่แล้ว และนังขยะนั่นก็ยังมาที่นี่เพื่อเข้าทดสอบอีก จะโดนไล่ออกมาก็เป็นเรื่องธรรมดา” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเมินเฉยต่อคำพูดเยาะเย้ยที่ดังขึ้นรอบตัว สีหน้าของนางเรียบเฉย ท่าทีของนางยังคงเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เดินเข้าไป ตอนนี้ การทดสอบนั้นได้จบลงอย่างรวดเร็ว และนางก็เดินออกมาแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องแย่มาก 

ทุกคนต่างมองดูด้วยความเย้ยหยัน และมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง พวกเขามั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นเป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง จากนั้น พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกเลย นางเป็นเพียงแค่ขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่คุ้มค่าที่พวกเขาต้องเปลืองแรงด้วย 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้เลยว่า ‘ขยะ’ ที่พวกเขาพูดถึงนั้น ได้รับรางวัลใน ‘งานชุมนุมเจ้ายุทธ์’เป็นที่เรียบร้อยแล้ว… 

… 

ใจกลางของจักรวรรดิจ้านหลง มีพระราชวังโบราณตั้งอยู่จากฝั่งทิศตะวันตก ไปจนถึงฝั่งทิศตะวันออก กลิ่นกล้วยไม้จากธูปชั้นดียังคงโชยอยู่ภายในวังแห่งนั้น หมอกขาวที่ลอยอยู่จางๆ ขับกล่อมให้ผู้คนหลับใหล 

เหล่าข้ารับใช้แขวนม่านผ้าไหมสีเงินที่ปักลวดลายหรูหราเอาไว้ แล้วเปิดกระถางธูปเบาๆ ก่อนจะใช้ช้อนทองเติมเครื่องหอมลงไป จากนั้นจึงถอยออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนอนตะแคงอยู่บนบัลลังก์ไม้จันทร์ที่ทำจากทองคำ แขนของเขารองศีรษะอยู่ ผมสีดำราวกับราตรีกาลของเขาสยายออก บนมือด้านซ้ายกำลังถือกระดาษม้วนเก่าๆ อยู่ 

หญิงสาวรูปงามสองคนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เขา บนมือถือกระถางธูปหอม แต่เสื้อผ้าที่พวกนางใส่นั้นช่างบางยิ่งนัก 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างเย็นชา เปรี้ยง! เขาเตะกระถางธูปนั้น 

“ออกไป” เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกเสียวสันหลัง 

นางในทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน และตัวสั่นเทาอยู่ข้างเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มือข้างหนึ่งจับชายเสื้อคลุมของเขาเอาไว้ “ฝ่าบาท บ่าวทำอะไรผิดไปหรือเพคะ บ่าวปรับปรุงได้…” 

หญิงสาวเงยหน้าที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยประกายของหยาดน้ำตา ขนตายาวเป็นแพราวกับพัด 

ไม่ว่าผู้ชายคนใดก็ไม่สามารถต้านทานความเย้ายวนเช่นนี้ได้ 

แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น 

ขณะที่นางในคนหนึ่งต้องการจะเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แสงสีเงินก็ส่องวาบเข้ามา 

หน้าผากของนางในคนนั้นเอียงไปด้านข้าง จากนั้นเลือดก็ไหลออกจากมุมปากของนางอย่างน่าสะพรึงกลัว 

“จัดการให้เรียบร้อย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ในวังแห่งนี้ก็ไม่มีนางในที่รกหูรกตาอีกต่อไป 

เงาทมิฬที่ทำตามคำสั่งยืนอยู่ด้านหลังไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาถือกระบี่ที่เย็นเฉียบพร้อมกับมองดูเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาเรียบเฉย 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะอย่างเยือกเย็น และถอดเสื้อคลุมออกอย่างไม่เร่งรีบ แล้วโยนทิ้ง “เอาไปเผาทิ้งซะ” 

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ เขาคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ นายท่านของเขาไม่เคยอนุญาตให้ใครสัมผัสเสื้อคลุมของเขาได้ 

ดูเหมือนว่า นอกจากคุณหนูของตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้นแล้ว ก็ยังไม่มีใครสามารถเข้าใกล้นายท่านของเขาได้เลย 

… 

อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่เพราะคุณหนูคนนั้นกล้ายั่วโทสะนายท่านของเขา ก็เป็นไปได้ที่นายท่านจะฆ่านางทิ้งไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้ ที่นายท่านไว้ชีวิตนาง ก็เพราะรู้สึกสนใจอีกฝ่ายเป็นพิเศษ 

เงาทมิฬมองดูรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนายท่าน แล้วขนแขนของเขาก็ลุกชันขณะที่โยนเสื้อคลุมราคาแพงเข้าไปในเตา เขาก็สงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่ออุทิศให้แก่ผู้หญิงที่ไม่รู้จักคนนั้น หวังว่าครั้งหน้า นางจะไม่ตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ 

ขณะที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่นั้น ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอก 

“เจ้าหนู อย่าแสร้งว่าเจ้าไม่อยู่ที่นี่ต่อหน้าผู้เฒ่าคนนี้ ข้ารู้ดีว่าเจ้าอยู่ในนั้น หากเจ้ามีความสามารถก็ออกมาหาผู้เฒ่าคนนี้เสียดีๆ แล้วผู้เฒ่าคนนี้จะยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ทันที” 

เมื่อเงาทมิฬได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านนอก สีหน้าที่บ่งบอกว่า “ไม่เอาน่า มาที่นี่อีกแล้วหรือ” ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา จากนั้น จึงรีบเรียกคนมาเตรียมเสื้อผ้าให้นายท่านของเขาสวมใส่ 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่มีท่าทีรีบร้อน เขารับเสื้อคลุมมาแล้วสอดแขนไปในเสื้อ ติดกระดุมทีละเม็ดโดยไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกเลยแม้แต่น้อย 

“เจ้าหนู” ผู้อาวุโสที่สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาวดูสะดุดตารีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เขาเหนื่อยหอบขณะที่พูดขึ้น “ผู้เฒ่ารู้ดีว่าเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่” 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเมินเขา และไม่แม้แต่จะเหลือบมองอีกฝ่าย สายตาของเขาดูเย็นชาอย่างมาก ทำให้ผู้เฒ่าลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว 

เขาปรับลมหายใจของตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ถ้อยคำที่ดูจริงจังมากขึ้น “เมื่อวานนี้มหาปุโรหิตได้ทำการทำนาย และในคำทำนายนั้นบอกว่าในอีกสามวัน เจ้าจะได้พบกับใครบางคน… นี่ นี่ อย่าดึงข้า ถ้าเจ้ายังดึงข้าอีก ข้าจะโกรธแล้วนะ” 

“ท่านปรมาจารย์” เงาทมิฬลดเสียงลงต่ำพร้อมกับมองไปทางเจ้ายุทธ์ผู้เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดในจักรวรรดิ ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากเกรงว่าหากนายท่านของเขาอารมณ์เสียแล้ว ก็จะทำร้ายคนจนถึงแก่ความตาย 

ผู้เฒ่าสะบัดเขาออก และชี้เข้าไปข้างในห้องโถง ก่อนจะตะโกนว่า “เจ้าหนูตัวเหม็น ทุกอย่างที่ผู้เฒ่าคนนี้พูดเป็นความจริง ดาววิหคแดงมีการเคลื่อนไหว จะต้องเกิดเรื่องตามมาอย่างแน่นอน หากเจ้ายังอยากจะรักษาอิสรภาพและทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ เจ้าควรจะยอมรับข้าในฐานะอาจารย์ของเจ้า และผู้เฒ่าคนนี้จะช่วยแก้ดวงชะตาให้เจ้าเอง” 

“ออกไป” เสียงทุ้มลึกที่ฟังดูน่ากลัวดังก้องออกมาจากท้องพระโรง ราวกับมีใบมีดน้ำแข็งบางๆ แหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังก่อตัวและสามารถบาดคอของอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ 

ทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัว 

เสียงของชายชราเงียบลงในทันที พร้อมกับหดคอลง “ก็ได้ ถึงเจ้าจะไม่อยากเรียกข้าว่าอาจารย์ แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรกลับไปฝึกฝนที่สำนักไท่ไป๋ หากเจ้ายังไม่ไปเรียน ผู้เฒ่าคนนี้ก็จะลบคะแนนของเจ้าทิ้งซะ” พูดจบเขาก็รีบเดินจากไป 

ในมุมมืด หน้าผากของเหล่าขันทีที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ พวกเขาตัวสั่นด้วยความตกใจ แขนของพวกเขาไร้เรี่ยวแรง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น 

เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสจากไปแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นจากบัลลังก์ด้วยมือข้างเดียว ผ้าคลุมขนสัตว์สีดำปลอดสะบัดเบาๆนัยน์ตาหงส์ที่แคบยาวคู่นั้นราวกับได้ค้นพบความสนุกท่ามกลางชีวิตที่น่าเบื่อ ยิ่งเลวร้ายมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งอยากทำลายมากขึ้นเท่านั้น… 

“ดาววิหคแดงเคลื่อนย้ายเช่นนั้นหรือ เหอะ ข้าอยากรู้นักว่าดาววิหคแดงที่ดับมอดไปแล้ว จะยังเคลื่อนไหวได้อยู่หรือไม่”