บทที่ 11 รับนางเข้าเป็นศิษย์

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ลมเย็นๆ พัดผ่านเส้นผมของชายผู้นั้น เผยให้เห็นแสงวิบวับในดวงตา แต่กลับทำให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น 

เหล่าขันทีต่างหนาวสั่นไปทั้งตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็บวาบที่กระดูกสันหลัง 

[นายท่าน ได้โปรดหยุดยิ้มเถิดขอรับ นี่ไม่เข้ากับนิสัยของท่านเลย] 

[ผู้ใดที่ทำให้ท่านขุ่นเคือง ก็เรียกนางมาเลยขอรับ พวกเรารับรองว่าจะไม่ทุบตีนางจนตาย] 

 

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้อาวุโสตู๋ก็ยืนอยู่ด้านนอกวัง เขาเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ จนกระทั่งผู้อาวุโสอีกคนเดินออกมาจากวัง ดวงตาของผู้อาวุโสตู๋ก็เป็นประกายและรีบเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที “ท่านปรมาจารย์ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว” 

“อ้อ เจ้านี่เอง ตู๋เทียน” ปรมาจารย์คนนี้ถือเป็นราชครูที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดคนหนึ่ง นอกจากสหายคนนี้จะมองว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีและมีอัธยาศัยดีแล้ว เขายังเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมในสายตาของคนอื่นๆ อีกด้วย “การทดสอบในงานชุมนุมเจ้ายุทธ์เป็นเช่นไรบ้าง” 

เมื่อได้ยินคำถามจากปรมาจารย์ ผู้อาวุโสตู๋ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหอเฟิ่งหวงขึ้นมา ใบหน้าที่มีริ้วรอยของเขาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น “จริงๆ แล้ว ข้าผู้เฒ่าเพิ่งได้พบกับอัจฉริยะที่หายากยิ่งคนหนึ่งในระหว่างการทดสอบนั้น” 

“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ปรมาจารย์หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจนัก “มู่หรงฉางเฟิงที่เจ้ารับมาเป็นลูกศิษย์นั้นมีความสามารถดีทีเดียว หากเจ้ารับลูกศิษย์เพิ่มอีกคน ชีวิตของเจ้าก็คงจะสมบูรณ์แบบ ไม่เหมือนกับข้า จนถึงตอนนี้ก็ยังคงอยู่คนเดียวไม่มีลูกศิษย์เลยสักคน” 

ตู๋เทียนโบกมือ “ท่านปรมาจารย์เลิกล้อข้าเล่นเถอะ ไม่มีใครในจักรวรรดิจ้านหลงนี ไม่รู้ว่าท่านมีมาตรฐานสูงเพียงใด หากท่านลดมาตรฐานของตนเองลงมาสักหน่อย ประตูบ้านของท่านก็คงจะพัง เพราะมีคนจำนวนมากต้องการจะเป็นศิษย์ของท่านไปแล้ว” 

ท่านปรมาจารย์ยิ้ม แต่หัวใจของเขากลับไม่ได้ยิ้มตาม 

เขาเพียงแค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้น ในสายตาของเขา ระดับของผู้ฝึกปราณอย่างมู่หรงฉางเฟิงนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย 

เพียงแต่… 

ใครบอกกันว่าหากเขาลดมาตรฐานลงแล้ว ประตูของเขาจะพัง 

ทุกวัน… ที่เขาไปเหยียบธรณีประตูวังของคนๆ นั้น แต่ก็ไม่เห็นจะมีวี่แววว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนั้นจะตกลงเป็นลูกศิษย์ของเขาเลย 

เขากัดฟัน… ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาอยากร้องไห้ 

“ไม่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้” ทันใดนั้น ตู๋เทียนก็นึกถึงจุดประสงค์ที่ตนเองมาที่นี่ ก่อนจะรีบดึงผ้าสีดำออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “นังหนูคนนั้นใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยามในการแยกชิ้นส่วนแล้วประกอบอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมา เมื่อเทียบกับนางแล้ว ลูกศิษย์ของข้าช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว” 

ท่านปรมาจารย์รู้สึกเพียงมีแสงสีเงินสว่างวาบผ่านตาเขาไป หลังจากที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่อาวุธที่ส่องประกายชิ้นนั้นชัดๆ เขาก็รีบหยิบแส้นั้นขึ้นมา และมองตู๋เทียนด้วยดวงตาเบิกกว้าง “คนที่เจ้าพูดถึง ตอนนี้นางอยู่ที่ใด” 

“อยู่ที่…ข้าก็ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหนขอรับ” ตู๋เทียนไม่เคยเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีสูงส่งเช่นนี้มาก่อน เขากลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “ตอนที่ข้ามาที่นี่ นางก็เอาเงินรางวัลและจากไปแล้ว” 

คำพูดดังกล่าวไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของท่านปรมาจารย์ลดลงเลย “นางชื่ออะไร ร่ำเรียนมาจากที่ใดกัน” 

เมื่อตู๋เทียนได้ยินดังนั้น เขาก็เลียริมฝีปากแล้วตบหน้าผากอย่างแรง “ไอ้หยา ข้ามัวแต่รีบร้อน จนลืมถามชื่อนังหนูไป” ผู้อาวุโสตู๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

ปรมาจารย์ชะงักค้าง ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ “ตู๋เทียน ทำไมเจ้าถึงโง่เขลาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเช่นนี้เล่า” 

ไม่จำเป็นต้องให้สหายเก่าของเขาตอกย้ำ ตู๋เทียนก็รู้สึกเสียใจจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว เขากำหมัดทุบฝ่ามือของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับเดินวนไปวนมารอบวัง 

ดวงตาของท่านปรมาจารย์หรี่ลง เหมือนจะพูดกับตู๋เทียนแต่ก็เหมือนพึมพำกับตัวเองด้วยเช่นกัน “อสรพิษเงินเก้าบทเพลง นอกจากเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนั้นที่สามารถทำได้แล้ว ก็ยากมากที่จะมีใครฉลาดหลักแหลมได้เท่านี้ ผู้เฒ่าคนนี้อยากจะพบนังหนูคนนั้นและขอให้นางมาเป็นลูกศิษย์จริงๆ…” 

อะไรนะ 

ตู๋เทียนเงยหน้าขึ้นมองสหายของตนเองในทันที 

ท่านปรมาจารย์เป็นใครกัน 

ราชครูผู้เป็นที่ยกย่องนับถือมากที่สุดในจักรวรรดิจ้านหลง อาวุธใดๆ ที่เขาสร้างขึ้นนั้นมีค่ามากกว่าทองคำหรือเงินเสียอีก และเป็นสมบัติที่ผู้ฝึกปราณทุกคนปรารถนา 

แต่ถึงกระนั้น เขาก็เป็นคนที่รักอิสระ ไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด แม้แต่ฮ่องเต้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ 

มีคนไม่น้อยที่อยากกราบไหว้ท่านปรมาจารย์เป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือชนชั้นสูงต่างก็นำของขวัญราคาแพงมามอบให้ เพื่อพยายามเอาอกเอาใจเขา 

แต่เขาก็ไม่ได้รับใครเป็นลูกศิษย์เลย 

เมื่อห้าปีก่อน เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ทั้งชีวิตของเขา เขาจะรับลูกศิษย์เพียงคนเดียวนั่นก็คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ย” 

โชคไม่ดีนัก เพราะหลังจากนั้น องค์ชายสามก็สูญเสียพลังลมปราณของตนไป แม้ว่าเขาจะยังมียศถาบรรดาศักดิ์อยู่ แต่มันก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ย่อมไม่มีทางที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะได้เป็นลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์… 

และตอนนี้ เขาพูดออกมาว่าต้องการรับลูกศิษย์อีกครั้ง 

ไม่รู้ว่าถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้คนทั้งเมืองจะแตกตื่นกันเพียงใด… 

… 

ปัง 

เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไหลเวียนภายในลมปราณของตนตั้งแต่จุดตันเถียนไปจนถึงแขนขาของนาง นางยังไม่ทันจะทำอะไร ควันสีดำไร้รูปร่างก็พุ่งใส่หินที่อยู่ริมแม่น้ำจนสลายกลายเป็นผุยผง 

“แม่นาง พิษทั้งหมดในร่างกายของเจ้าถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว” หยวนหมิงยิ้ม “จากนี้ ข้าจะเปิดเส้นลมปราณที่ถูกกีดขวางเอาไว้ มันจะเจ็บปวดมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า เจ้าแน่ใจนะว่าจะทนไหว” พอพูดเช่นนั้น เขาก็ลังเล ก่อนจะเลียริมฝีปากบางด้วยปลายลิ้น “จริงๆ แล้ว เจ้าสามารถเลือกวิธีที่สองได้ หากเจ้ายกวิญญาณให้ข้า เจ้าก็ไม่ต้องทำอะไรเลย และข้าจะเป็นคนเติมเต็มความปรารถนาของเจ้า แล้วทำไมเจ้าจะต้องทนทรมานด้วยเล่า…” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยม้วนแขนเสื้อขึ้น หน้าผากของนางมีเหงื่อเกาะอยู่บางๆ นางกระตุกยิ้มที่มุมปาก “หยวนหมิง หยุดพูดจาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เช่นนั้นเสียที ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น ข้าไม่ขายวิญญาณของตัวเองเด็ดขาด เพราะถึงอย่างไร… สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ข้าจะต้องแก้แค้นในสิ่งที่พวกเขาทำกับข้าเอาไว้ด้วยตัวเอง” 

หยวนหมิงตกตะลึง ก่อนจะหัวเราะออกมาในทันที “แม่นาง เจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ” 

เขาเคยเห็นมนุษย์มามากมาย แต่ไม่มีใครสามารถทนต่อการล่อลวงของเขาได้เลย สุดท้าย ทุกคนก็กลายเป็นอาหารอันโอชะของเขา 

แต่ผู้หญิงคนนี้… หึหึ น่าจับตามองจริงๆ 

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้น ข้าจะเริ่มเปิดทางให้เส้นลมปราณของเจ้าทั้งหมด ณ บัดนี้” ริมฝีปากของหยวนหมิงยกขึ้น “ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่ได้โกหกเรื่องความเจ็บปวดหรอกนะ” 

ทันทีที่เขาพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนของตนเองกำลังถูกกรีดด้วยใบมีดคม นางสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่กัดกินไปทั่วร่าง เจ็บปวดจนริมฝีปากไร้สีเลือด 

แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดเจียนตาย นางก็ไม่ได้บอกให้หยวนหมิงหยุด กลับทำเพียงกำมือแน่น ขมวดคิ้ว พร้อมกับก้มหน้าอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งหมดนั้น 

จนกระทั่งความเจ็บปวดที่รุนแรงผ่านไป นางก็สัมผัสได้ถึงกระแสน้ำอันอบอุ่นและอ่อนโยนที่ห่อหุ้มนางเอาไว้ทีละชั้น ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกสบายอย่างมาก ราวกับว่านางกำลังนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่น มันสบายจนนางรู้สึกผ่อนคลายสุดๆ… 

“นายข้า ยินดีด้วย ท่านทำสำเร็จแล้ว” 

นี่เป็นประโยคแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินหลังจากที่ร่างกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าจะมีพลังที่ไม่รู้จบกำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกายของนาง จนกระทั่งหายเข้าไปในฝ่ามือของนางในที่สุด มันเป็นขั้นตอนที่ดูซับซ้อน แต่ก็ทำให้ร่างกายของนางเหมือนถูกเติมเต็มขึ้นในทุกขณะ เกิดการเยียวยาที่ดี 

แสงสีทองโอบล้อมร่างกายของนาง ทำให้นางดูเหมือนดวงดาวที่สุกสกาวขึ้นมาในทันที เปล่งประกายเจิดจ้าจนทำให้ดวงตาพร่ามัว 

ทั้งหมดนี้ ไม่มีผู้ใดมองเห็น มีเพียงแต่นางเท่านั้นที่มองเห็น…