บทที่ 7 ท่านพ่อไม่เป็นไรแล้ว

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 7 ท่านพ่อไม่เป็นไรแล้ว (รีไรท์)

บทที่ 7 ท่านพ่อไม่เป็นไรแล้ว (รีไรท์)

เสี่ยวเป่าดูออกว่าท่านพ่อกลายเป็นเช่นนี้เมื่อหมอกดําเหล่านี้ปรากฏขึ้น เด็กหญิงกอดต้นขาของผู้เป็นบิดาไว้แน่นแล้วยกมือเล็ก ๆ ขึ้นปัดไล่หมอกดำ

นางไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้เข้าใกล้ท่านพ่อ

หนานกงสือเยวียนตกอยู่ในอารมณ์แปรปรวน นัยน์ตาสีโลหิตจดจ้องเด็กหญิงที่กอดขาตน ก่อนจะยกมือขึ้นช้า ๆ

ออกแรงเพียงเล็กน้อย เด็กหญิงไม่กลัวตายคนนี้ก็คงถูกเขาบีบจนตายได้อย่างง่ายดายเหมือนมดตัวหนึ่ง

“อย่ามาใกล้ท่านพ่อนะ!”

ขณะที่เขากำลังโทสะพลุ่งพล่าน แสงสีเขียวจาง ๆ ก็สว่างวาบบนเนื้อตัวเจ้าก้อนแป้ง แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของมนุษย์ แต่มันสามารถทำลายกลุ่มหมอกดำเหล่านั้นบนร่างกายของหนานกงสือเยวียนได้

เสียงอึกทึกครึกโครมในหูของหนานกงสือเยวียนกลายเป็นเสียงกรีดร้องรุนแรงทันที เขากุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด ได้ยินเพียงเสียงหึ่ง ๆ ในหัว

แต่ในไม่ช้า เสียงกระซิบของปีศาจเหล่านั้นก็หายไป โลกทั้งใบกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง

หนานกงสือเยวียนที่ควบคุมตนเองไม่ได้เมื่อครู่ ตอนนี้ค่อย ๆ มีสติขึ้นมาแล้ว

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกครั้งที่อาการป่วยกำเริบ เขาจะกลายเป็นสัตว์ร้าย ครั้งแรกที่อาการเช่นนี้ปรากฏขึ้น หนานกงสือเยวียนก็ฆ่าคนที่ปรนนิบัติตัวเองในวังนับไม่ถ้วน

ตอนเขาได้สติคืนมา ท้องนภาปกคลุมไปด้วยม่านพิรุณ ฟ้าแลบสาดประกายวาบ ฉายภาพศพรอบกายให้เห็น ในมือยังถือกระบี่เปื้อนเลือดอยู่ ดูไม่ต่างจากปีศาจร้ายที่คลานออกมาจากนรกโลกันตร์

วันนั้นเลือดเจ่อนองไปทั่วทั้งวัง ชื่อเสียงที่โหดเหี้ยมอำมหิตจากการสังหารบิดาและพี่น้องคนอื่น ๆ ยิ่งโหมสะพัด ไม่เพียงคนในนครหลวงเท่านั้นที่หวาดกลัว แม้แต่ราษฎรทั่วหล้าก็หวาดกลัวเขาเช่นกัน

หลังจากนั้น เขาก็มีอาการป่วยเป็นระยะ ๆ กลายเป็นสัตว์บ้าคลั่งที่รู้จักแต่ฆ่าคนด้วยโทสะ

นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ให้คนรับใช้มาอยู่ใกล้ตัว

ทว่าวันนี้เป็นอุบัติเหตุ เด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเลยบุกเข้ามาในสถานที่ที่น่ากลัวเสียได้

นิ้วมือของหนานกงสือเยวียนสั่นเทา นัยน์ตาสีโลหิตมองดูเด็กตัวเล็ก ๆ ที่กอดขาตัวเองแนบแน่น นางกำลังพยายามปัดไล่อะไรบางอย่างไม่ยอมหยุด

จิตใจของเขามีแต่ความสับสน

เขามีสติแล้วงั้นหรือ…

ในช่วงหลัง ตอนที่มีอาการกำเริบขึ้นมา หนานกงสือเยวียนจะขังตัวเองอยู่ในห้องลับเป็นเวลาหลายชั่วยามจนกว่าจะกลับมามีสติครบถ้วนอีกครั้ง บางครั้งถึงกับใช้เวลาทั้งคืน

แต่วันนี้อาการยังไม่ทันกำเริบเต็มที่ เขาก็สามารถกลับมาควบคุมสติได้แล้ว

ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน…

ฮ่องเต้หนุ่มมองมือที่กำลังสั่นของตนอย่างตกตะลึง ริมฝีปากและใบหน้าซีดลงอย่างน่ากลัว เมื่อสักครู่นี้ เขาเกือบจะฆ่าเด็กน้อยไปแล้ว

“ห้ามเข้าใกล้ข้า ข้าเป็นสัตว์ร้าย”

ดูท่าเสียงของเด็กคนนี้คงปลุกสติของเขาขึ้นมาจริง ๆ

หนานกงสือเยวียนเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงแล้วขมวดคิ้ว ดวงตายาวแคบวาบปลาบ สีหน้ายังมืดมน แต่เขาก็อุ้มเด็กน้อยที่กอดขาตัวเองขึ้นมา

“เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อครู่นี้…” เจ้าเกือบตายไปแล้ว

“ท่านพ่อไม่เป็นไรแล้ว”

หนานกงสือเยวียนไม่ทันพูดคําหลังออกมา เด็กหญิงก็อ้าแขนเล็ก ๆ แล้วกระโจนเข้าไปในอ้อมแขน ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างดีอกดีใจ

เสี่ยวเป่ากอดคอพ่อ ใช้หน้าเล็กกลมถูกรอบใบหน้าของบิดา

“ท่านพ่อไม่ต้องกลัว เสี่ยวเป่าไล่สิ่งเลวร้ายออกไปหมดแล้ว ท่านพ่อไม่ต้องเจ็บปวดแล้ว”

นางยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นบิดา จากนั้นก็มุ่ยปากเล็ก เป่าฟู่ฟู่ไปที่ศีรษะอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

“ไม่เจ็บน้า ไม่เจ็บแล้ว โอ๋ ๆ~”

ท่าทางเหมือนนางจะคิดว่าหนานกงสือเยวียนเป็นเด็กน้อยที่ต้องการคำปลอบโยน

หนานกงสือเยวียน “…”

สีหน้าเขาเกือบกลับมาน่ากลัวอีกครั้ง

เด็กหญิงกอดคอบิดาก่อนจะหาวออกมา

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าง่วงมาก เสี่ยวเป่าอยากนอนกับท่านพ่อ”

เมื่อครู่ นางใช้พลังวิญญาณที่สะสมไว้ไปจำนวนมาก บัดนี้จึงง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมา

เด็กหญิงในอ้อมกอดตัวนุ่มนิ่ม มีกลิ่นหอมพิเศษติดตัว เป็นกลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้งาม เวลานี้เสียงพูดข้างหูฟังดูสะลึมสะลือมากแล้ว

ยามนี้ผู้อยู่ยงคงกระพันในสนามรบ ฮ่องเต้ผู้ทรงอำนาจที่สุดในวังหลวง ไม่รู้ว่าจะเอามือของตนเองไปวางที่ไหนแล้ว

แม้เขาจะมีโอรสหลายคน แต่กลับไม่เคยอุ้มลูกมาก่อน

หนานกงสือเยวียนได้แต่ยกมือขึ้นประคองธิดาตัวน้อยในอ้อมแขนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ระวังไม่ให้นางตกลงไป เขาได้ยินนางบอกว่าง่วงนอน จึงทำท่าจะบอกนางว่าจงกลับไปที่ตำหนักของตัวเอง แต่ข้างหูกลับมีเสียงหายใจดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

เสี่ยวเป่ากอดคอบิดาพร้อมหลับสนิทไปแล้ว

สีหน้าเย็นชาของหนานกงสือเยวียนในวันนี้ดูแตกต่างจากเดิมมากโข

เขาพยายามวางเด็กน้อยลง แต่แม้จะหลับไปแล้ว องค์หญิงน้อยก็กอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยมือ มิหนำซ้ำยังขมวดคิ้ว ดูไม่พอใจอีกด้วย

“มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

องครักษ์เงาปรากฏตัวขึ้นในลมหายใจต่อมา ก่อนจะคุกเข่าลงด้วยความเคารพ

“พานางกลับไปนอนที่ตำหนักของนางซะ”

หนานกงสือเยวียนไม่ชินการนอนกับคนอื่น แม้แต่บุตรสาวก็เช่นกัน

ยิ่งกว่านั้น เขายังมีอาการป่วยที่ไม่รู้ว่าจะกำเริบอีกเมื่อใด ถึงตอนนั้น เขาอาจจะทำร้ายเด็กคนนี้ก็เป็นได้

องครักษ์เงาเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อย เจ้าตัวเล็กที่นอนหลับอยู่ไม่กอดคอผู้เป็นบิดาอีกต่อไป แต่มือเล็กสองมือกลับจับชายเสื้อบิดาไม่ยอมปล่อยแทน

องค์หญิงน้อยปากคว่ำ ราวกับกำลังทนทุกข์ทรมานจากความคับข้องใจอย่างใหญ่หลวง พร้อมจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา

หนานกงสือเยวียนมองนางพลางขมวดคิ้ว “เบา ๆ หน่อย”

องครักษ์เงา “…”

แต่ท่านไม่ยอมปล่อยมือเองนะ

ก็ใช่ว่าหนานกงสือเยวียนไม่อยากปล่อยมือ หลัก ๆ คือเขาไม่เคยอุ้มลูกจริง ๆ หากปล่อยมือ เด็กน้อยนี้อาจจะตกกระแทกพื้นได้

และ…

เด็กน้อยก็จับชายเสื้อของเขาไม่ปล่อยเช่นกัน สถานการณ์จึงค้างคาอยู่เช่นนี้

หนานกงสือเยวียนเหลือบมององครักษ์เงาแวบหนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “โง่เง่า เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ก็ทําไม่ได้ ออกไป”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

องครักษ์เงารีบหมุนตัวถอยกลับไปอย่างไม่รอช้า อดนึกน้อยใจไม่ได้ว่านี่เป็นความผิดของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

ทันทีที่องครักษ์เงาคนนั้นปล่อยมือ หนานกงสือเยวียนก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบุตรสาวซุกตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง

ร่างเล็ก ๆ ขดตัวเป็นก้อนกลม สองมือน้อย ๆ จับเสื้อผ้าแน่น ส่วนศีรษะก็ซุกเข้าหาหน้าอกของเขาเหมือนลูกหมู

หนานกงสือเยวียนยืนอุ้มบุตรสาวอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจว่า

“แล้วต่างจากลูกหมูตรงไหนกัน”

แต่เขาก็ยังคงอุ้มเด็กน้อยในอ้อมแขนเดินไปที่เตียงมังกร

เมื่อวางเด็กหญิงนอนให้ตะแคงอยู่บนเตียง หนานกงสือเยวียนก็พบว่าเด็กน้อยยังคงไม่ยอมออกจากอ้อมอกของเขาง่ายๆ เสื้อตรงหน้าอกจึงเผยให้เห็นแผงอกกำยำเล็กน้อย

หนานกงสือเยวียนหน้าคล้ำเครียด เขาแงะมือของเด็กหญิงออกด้วยแรงที่ไม่เบาไม่หนักเกินไป

“เฮ้อ!”

แขนนี่ช่างนุ่มนิ่มเสียจริง

เป็นเด็กประสาอะไรกัน เหตุใดถึงผอมแห้งขนาดนี้