บทที่ 8 ท่านพ่อ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 8 ท่านพ่อ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร (รีไรท์)

บทที่ 8 ท่านพ่อ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร (รีไรท์)

เมื่อมองไปที่เด็กน้อย หนานกงสือเยวียนก็ขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจะเลี้ยงเด็กตัวเล็กเช่นนี้ได้อย่างไร

เสี่ยวเป่าที่หลับสนิทเมื่อครู่รู้สึกว่าใบหน้าเล็ก ๆ ถูกบีบขณะกำลังซุกอ้อมอกของบิดา

หนานกงสือเยวียนจ้องมองใบหน้าของเด็กน้อยด้วยแววตาล้ำลึกราวกับห้วงนทีบรรพกาล พบว่าเด็กในอ้อมแขนมีคิ้วและดวงตาที่ค่อนข้างคล้ายกับเขา วันนี้…นับเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหน้าลูกสาวจากบ้านนอกคนนี้

หนานกงสือเยวียนหลับตา ก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ในห้วงนิทรา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ฝันถึงสิ่งใด แต่ระหว่างนั้น จู่ ๆ ร่างกายก็หนักอึ้งราวกับมีบางอย่างกดทับ

หนานกงสือเยวียนขมวดคิ้ว ในไม่ช้า น้ำหนักบนร่างกายก็หายไป แต่มีเสียงหนึ่งลอดเข้ามาในโสตประสาทแทน

เพราะเหนื่อยมามากเกินไป เขาไม่ได้นอนหลับตามปกติเป็นเวลานานแล้ว และวันนี้ อาการป่วยของเขาก็เกือบจะกำเริบอีกครั้ง ร่างกายย่อมอ่อนล้าเพราะใช้พลังมากเกินไป เขาจึงไม่ตื่นแม้จะได้ยินเสียงรบกวนที่ข้างหูก็ตาม

เช้าวันรุ่งขึ้น…

แสงสว่างลอดผ่านม่านเมฆ แต่ขันทีกับนางกำนัลที่เฝ้าอยู่ทางด้านนอกตำหนักกลับไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงเรียกจากห้องบรรทม ทั้งที่จวนจะถึงเวลาประชุมขุนนางในช่วงเช้าแล้ว

ฝูไห่กงกงมีสีหน้าร้อนรน เขาเดินไปเดินมา “ฝ่าบาท เหตุใดถึงยังไม่เรียกบ่าวไพร่อีกนะ จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”

ในที่สุด เมื่อเห็นว่าจวนจะได้เวลาประชุมขุนนางตอนเช้าแล้ว เขาก็กัดฟัน นำคนรับใช้ตรงไปยังตำหนักฉินเจิ้งของพระองค์ด้วยความระมัดระวัง

ทุกคนก้มหัวลง หัวใจสั่นสะท้าน เหล่าข้ารับใช้ในวังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหนานกงสือเยวียนด้วยตนเองเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะกลัวหัวหด หัวใจของทุกคนต่างเต้นระทึก เพราะหวาดเกรงว่าตนเองอาจจะต้องกลายเป็นวิญญาณด้วยกระบี่ของฝ่าบาทในวันนี้

ฝูไห่กงกงขอให้ทุกคนรออยู่ที่หน้าประตู ส่วนตนเองเลื่อนประตูเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปพร้อมส่งเสียงกระซิบ

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เวลานี้ คนที่ถูกเรียกยังคงนอนอยู่บนเตียง แต่ลืมตาขึ้นมาแล้ว

หนานกงสือเยวียนลุกขึ้นนั่งทันที ม่านตาหดลงเมื่อเขาเห็นท้องฟ้าข้างนอกอย่างชัดเจน

แม้สีหน้าจะยังคงเย็นชา แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

เขาผล็อยหลับจริง ๆ หลับไปโดยไม่ต้องจุดธูปเพื่อสะกดจิต และ…ไม่ฝันเลยตลอดทั้งคืน

ตั้งแต่อายุสิบเก้า เป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว กว่าเขาจะได้นอนหลับอย่างสงบสุขเช่นนี้

เมื่อฟื้นจากความมึนงง หนานกงสือเยวียนก็รู้สึกเย็นกายเล็กน้อย พอก้มมองลงไปก็ชะงักทันตา

แล้วผ้าห่มของเขาล่ะ?

เมื่อหันมองไปที่ด้านข้าง เปลือกตาก็กระตุกทันที

ผ้าห่มที่เดิมอยู่บนตัวของหนานกงสือเยวียนได้หายไปหมดแล้ว ตอนนี้ ผ้าห่มผืนนั้นได้ไปอยู่บนตัวของเด็กหญิงที่กำลังนอนหลับสนิท

ทันใดนั้น นางในเวลานี้ดูเหมือนจะถูกปลุกให้ตื่นจากเสียงพูดคุยข้างนอก ปากเล็ก ๆ ที่อ้าเปิดอยู่ในตอนแรกปิดลงอย่างช้า ๆ แต่เสี่ยวเป่าขี้เกียจเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมา

สุดท้ายเด็กหญิงก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงง มองไปที่ตัวเองแล้วมองไปที่ท่านพ่อบนเตียง

นางกะพริบตากลมโต ใช้หัวที่ไม่ฉลาดนักคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยพึมพำถาม

“ท่านพ่อ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”

เด็กน้อยไม่เข้าใจจริง ๆ

หนานกงสือเยวียน “…”

นางยังมีหน้ามาถามอีกหรือ?

เขาเงียบไปชั่วลมหายใจหนึ่ง แล้วเอื้อมมือไปหาเด็กหญิงที่นั่งอยู่บนเตียง

“ยังอยากนอนต่อหรือไม่”

ซูเสี่ยวเป่าถดกายลงจากตักของบิดา นางยืดคอเล็ก ๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง

“ยังไม่เช้าเลย ท่านพ่อไม่นอนต่อหรือ”

หนานกงสือเยวียนพูดเสียงเบาว่า “ข้าจะไปประชุมขุนนาง”

“ถ้าอย่างนั้น เสี่ยวเป่าก็ลุกด้วย”

เด็กน้อยพึมพำ ขณะที่มือขยี้ตาพลางหาว

“เสี่ยวเป่าจะตื่นเต็มที่ถ้าได้ล้างหน้าแล้ว”

หนานกงสือเยวียนหยิบผ้าห่มขึ้นมา สายตาจ้องมองไปที่บุตรสาวของตนเอง และหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อยู่ในใจ

เมื่อคืนอาการของเขากำเริบกะทันหัน แต่แล้วเขาก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อคืนเขาก็หลับสนิทอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่มีฝันร้ายคอยรบกวนด้วย

นี่เป็นเรื่องบังเอิญใช่หรือไม่?

หนานกงสือเยวียนไม่เชื่อ สิ่งเดียวที่พิเศษเมื่อวานนี้คือการที่บุตรสาวมาหาเขานั่นเอง

“ฝ่าบาท”

เสียงของฝูไห่กงกงที่อยู่ข้างนอกขัดจังหวะความคิดของฮ่องเต้หนุ่ม เขาหลับตา บดบังม่านความคิดในแววตาก่อนจะลุกขึ้นยืน

“เข้ามา”

น้ำเสียงของเขายังคงเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง ปราศจากความรู้สึกใด

ทว่าฝูไห่กงกงกลับรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเสียงของฮ่องเต้ เขาเช็ดเหงื่อเย็นจากหน้าผากเนื่องจากความกังวลใจ หากฝ่าบาทไม่ตอบสนอง เขาจะต้องบุกเข้าไปในห้องบรรทมของพระองค์แน่นอน

ชายชรานำคนรับใช้เดินผ่านประตูเข้าไปทันที เขาก้มศีรษะลง ไม่กล้ามองหน้าเจ้าเหนือหัวโดยตรง แต่เผอิญเห็นดวงตากลมใสที่อยากรู้อยากเห็นคู่หนึ่งเสียก่อน

ฝูไห่กงกง “!!!”

มีคนอื่นอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ได้อย่างไร!

หลังจากคอยรับใช้อยู่ข้างกายหนานกงสือเยวียนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน เขาผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มขันทีมั่นใจว่า ไม่เคยมีผู้ใดนอนห้องเดียวกับฝ่าบาทมาก่อน

แต่เวลานี้ เหตุใดถึงได้มีเด็กอยู่ในห้องนอนของฮ่องเต้ได้ล่ะ มิหนำซ้ำ ยังอยู่บนเตียงนอน และไม่ถูกโยนออกไปอีกด้วย!

ความคิดภายในใจของฝูไห่กงกงเปลี่ยนไปมาดุจน้ำไหล ด้วยประสบการณ์การเป็นหัวหน้าคนรับใช้ ทำให้ในไม่ช้าเขาก็สามารถตั้งสติได้ แม้จะสงสัยและอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่กล้าแสดงมันออกมาทางสีหน้า

“ฝ่าบาท บรรดาขุนนางมารอเข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนรับคำในลำคอเบา ๆ เมื่อเขากางแขนออก นางกำนัลก็ก้าวไปข้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วยความนอบน้อม

“ไปเตรียมอาหารเช้า หาน้ำสะอาดมาให้องค์หญิงน้อยล้างหน้าล้างตาซะ”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”

ฝูไห่กงกงรีบเรียกนางกำนัลมาแต่งตัวและล้างหน้าล้างตาให้แก่ซูเสี่ยวเป่า

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เสี่ยวเป่าทำเองได้”

เด็กน้อยภูมิใจมาก นางยังสามารถใส่เสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา และบ้วนปากเองได้อีกด้วย

แต่ขณะนี้ไม่มีเสื้อผ้าเด็กให้นางผลัดเปลี่ยน จะมีเสื้อผ้าเด็กในห้องบรรทมของหนานกงสือเยวียนได้อย่างไร เหล่าคนรับใช้ไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้า พวกเขาจึงต้องไปตำหนักที่เสี่ยวเป่าอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้

เด็กหญิงบิดผ้าเช็ดหน้าเพื่อล้างหน้า ก่อนจะแปรงฟันด้วยแท่งไม้หอม

หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย นางก็พบว่าท่านพ่อเตรียมตัวจะเดินออกไปแล้ว นางจึงรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วกอดเขาไว้

เมื่อเห็นภาพนี้ ลูกตาของฝูไห่ก็แทบจะถลนออกมา บ่าวไพร่คนอื่น ๆ ก็ลอบมองมาอย่างใคร่รู้ แม้จะก้มหน้าลง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถซ่อนความตกใจบนใบหน้าของพวกเขาได้เลย

“ท่านพ่อจะไปไหน ไม่พาเสี่ยวเป่าไปด้วยหรือเจ้าคะ”

เสียงนุ่มนวลของเด็กหญิงทำให้ทุกคนเบิกตากว้าง

นางกล้าดีอย่างไร!!!

นี่คือสิ่งที่ทุกคนกำลังคิดอยู่ในเวลานี้ แต่พวกเขากังวลมากกว่าว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จะถูกฝ่าบาทโยนทิ้งในภายหลังหรือไม่

ชื่อเสียงของพระองค์โหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่องค์หญิงน้อยผู้นี้เลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฝ่าบาทไม่เคยสวมกอดบรรดาองค์ชายที่อยู่ในพระราชวังเลยสักครั้ง

ขณะที่ฝูไห่และคนอื่น ๆ กำลังวิตกกังวล ความคิดมากมายก็เกิดขึ้นในหัวของพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เห็นฉากที่เด็กหญิงตัวน้อยถูกโยนออกไปในอีกไม่ช้า

แต่หลังจากนั้นไม่นาน หนานกงสือเยวียนผู้ยิ่งใหญ่ไร้ความเมตตาของพวกเขา ไม่เพียงจะไม่ขับไล่เด็กหญิงออกไปเท่านั้น แต่ยังก้มตัวลงไปหานาง…

ทั้งยังสวมกอดอีกด้วย!!!

แม้สิ่งนี้สมควรจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่กลับน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง!