บทที่ 9 ปลูกผักที่นี่ได้หรือไม่

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 9 ปลูกผักที่นี่ได้หรือไม่? (รีไรท์)

บทที่ 9 ปลูกผักที่นี่ได้หรือไม่? (รีไรท์)

ฝูไห่กงกงเพียงชำเลืองมอง จากนั้นรีบก้มหน้าลงไม่กล้ามองอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาตกใจแค่ไหน

เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าฝ่าบาทของพวกเขาเป็นบิดาที่อุ้มลูกไม่เก่งนัก การเคลื่อนไหวนั่นไม่สามารถเรียกว่าอุ้มได้ด้วยซ้ำ ควรจะเรียกว่าการบีบรัดด้วยท่อนแขนมากกว่า

เด็กหญิงดิ้นรนด้วยความอึดอัดพลางบ่นว่า

“ท่านพ่อ อุ้มเสี่ยวเป่าแบบนี้ไม่ได้นะ เสี่ยวเป่าอึดอัด”

หนานกงสือเยวียนเอ่ยอย่างไม่สนใจ “ไม่เป็นไร แค่เจ้าไม่ล้มก็พอแล้ว”

หากไม่อุ้มท่านี้แล้วยังจะมีท่าไหนอีก?

ไม่มีทางที่เสี่ยวเป่าจะยอมง่าย ๆ นางรีบจับแขนของบิดา ปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนแขนแล้วซบใบหน้าลงบนหัวไหล่ของเขา

“ตั้งแต่นี้ไปท่านพ่อจะต้องอุ้มเสี่ยวเป่าแบบนี้!”

หนานกงสือเยวียนใช้นิ้วจิ้มแก้มขาวนุ่มด้วยความเอ็นดู

“รู้แล้ว”

เสี่ยวเป่าตีขาอย่างเริงร่า นางวางคางไว้บนไหล่ของท่านพ่อแล้วหรี่ตาลง

“ข้าจะไปว่าราชการตอนเช้า คนพวกนี้จะคอยติดตามเจ้า ข้าจะให้คนมาทำความสะอาดตำหนักข้าง ๆ เจ้าจะได้ย้ายเข้ามาอยู่”

เสี่ยวเป่าหยุดชะงัก มือเล็ก ๆ ยังจับชายเสื้อบิดาแน่นไม่ปล่อย

“ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวเป่าไปกับท่านพ่อได้หรือไม่”

เด็กน้อยมองเขาอย่างกระตือรือร้นราวกับกลัวว่าเขาจะวิ่งหายไปในพริบตา

ถึงหนานกงสือเยวียนจะใจอ่อนกับบุตรสาวของตนเอง แต่เขายังคงปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี

“ไม่ได้”

ทันทีที่เขาปฏิเสธก็เห็นองค์หญิงตัวน้อยหลบตา แสงในแววตาของนางหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

หนานกงสือเยวียนกระแอมไอ “รอไม่นาน อาหารเช้าก็มาส่งแล้ว รับรองว่าเจ้าต้องไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อนแน่นอน”

ศีรษะของเด็กหญิงกลับมาตั้งตรงอีกครั้ง ดวงตาที่ชื้นน้ำตาพลันเปล่งประกายระยิบระยับ

“จริงหรือเจ้าคะ?”

ของอร่อยงั้นหรือ!

หนานกงสือเยวียนชักจะแปลกใจ เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงเห็นแก่อาหารเพียงนี้?

แล้วเขาก็ได้ยินบุตรสาวถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านพ่อกินข้าวเช้ากับเสี่ยวเป่าได้หรือไม่เจ้าคะ”

อารมณ์ของหนานกงสือเยวียนพลันดีขึ้นนิด ๆ

แต่ตอนนี้สายมากแล้ว เขาจึงส่งเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนให้นางกำนัลคนหนึ่ง

“ข้าต้องไปว่าราชการกับขุนนาง แต่ข้าอาจจะกลับมากินมื้อเที่ยงกับเจ้า”

เสี่ยวเป่าเฝ้าดูท่านพ่อจากไปอย่างไม่อาจห้ามได้ ดวงตาเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

แต่ไม่นานสาวใช้ก็ยกอาหารเช้าเข้ามา ความสนใจของเด็กหญิงจึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง

หนานกงสือเยวียนมองนางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะออกจากตำหนักตนเองไปพร้อมกับขันที

แปลกเหลือเกิน พวกเขาพ่อลูกเพิ่งพบหน้ากันเพียงคืนเดียว แต่เช้านี้ เขากลับไม่อยากแยกจากกับลูกสาวเสียแล้ว

หนานกงสือเยวียนเหลือเพียงสีหน้าเรียบเฉย เคาะนิ้วกับราวจับเก้าอี้บนเกี้ยว ดวงตาหรี่ลงอย่างเย็นชาเมื่อนึกอะไรได้

“ไปสืบมาว่าผู้ใดทำหน้าที่ดูแลองค์หญิงน้อยก่อนหน้านี้ แล้วนำตัวมันไปประหารซะ”

น้ำเสียงไร้ความรู้สึกดังขึ้น ฝูไห่กงกงพลันตกตะลึง เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

คนอื่น ๆ ทั้งหมดที่ได้ยินคำพูดของฝ่าบาทต่างก้มศีรษะลง ร่างกายตึงเครียดไปชั่วขณะ กลัวว่าจะทำให้พระองค์กริ้วมากกว่าเดิม

บรรยากาศราวกับเมฆดำตั้งเค้าในบัดดล แต่หนานกงสือเยวียนกลับเฉยเมยราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เช่น ‘วันนี้อากาศดีจริง ๆ’

เด็กหญิงผู้เป็นต้นเหตุย่อมไม่รู้ว่าท่านพ่อสั่งการแบบใดลงไป ยามนี้ นางได้รับการดูแลจากนางกำนัลอย่างระมัดระวัง

เสี่ยวเป่านั่งบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟังพร้อมทานอาหารเช้า ดวงตากลมมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเช้าทุกชนิดก็อ้าปากค้าง

หน้าตาสวยงามและรสชาติอร่อยมาก! ไม่มีจานไหนไม่อร่อยเลย!

ท่านแม่คนสวยพูดถูกแล้ว ชีวิตของนางจะดีขึ้นเมื่อได้มาอยู่กับท่านพ่อ!

แต่…

กระเพาะอาหารของเด็กหญิงมีขนาดเล็ก ต่อให้อยากกินอาหารจนหมดโต๊ะ นางก็ไม่สามารถกินได้หมดตามใจปรารถนา

ในที่สุด เมื่อมองไปที่อาหารเช้าบนโต๊ะ เด็กน้อยก็กินไม่ไหวอีกแล้ว

อาหารมีมากเกินไป เสี่ยวเป่าเป็นเด็กบ้านนอก จึงรู้ดีถึงคุณค่าของอาหาร โดยเฉพาะนางที่เติบโตมากับการทำไร่ไถนา จึงทราบดีว่าไม่ควรกินอาหารอย่างทิ้งขว้างเด็ดขาด

“พี่สาวคนใช้ เสี่ยวเป่ากินไม่หมด ควรทำอย่างไรกับอาหารที่เหลือดี?”

เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความเป็นกังวล

นางกำนัลคุกเข่าลงแล้วส่ายศีรษะ “องค์หญิงจะเรียกข้าว่าพี่สาวไม่ได้นะเพคะ เรียกบ่าวว่าชุนสี่เถิดเพคะ หากองค์หญิงยินดี อาหารเช้าที่เหลือสามารถมอบเป็นรางวัลให้ข้ารับใช้ได้เพคะ”

อาหารที่เจ้านายกิน แม้แต่ของเหลือก็นับว่าเป็นอาหารระดับสูงและอร่อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ นางจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับอาหารต่อจากองค์หญิงน้อย

“เข้าใจแล้ว ทุกคนลุกขึ้นเถอะ เสี่ยวเป่ากินไม่ไหวแล้ว งั้นฝากให้ชุนสี่แบ่งทุกคนด้วยนะ”

ชุนสี่คุกเข่าอย่างมีความสุขและกล่าวว่า “ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ”

เสี่ยวเป่า “…”

เหตุใดถึงคุกเข่าอีกแล้วเนี่ย

เด็กน้อยยกมือเกาหัวอย่างไม่คุ้นชิน

หลังจากทานอาหารจนเต็มท้อง เสี่ยวเป่าก็เดินไปรอบ ๆ ห้องบรรทมพร้อมกับพุงกลมป่อง

ชุนสี่แนะนำว่า “องค์หญิง ออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะเจ้าค่ะ”

เสี่ยวเป่าอยู่ในอาภรณ์สีเขียวอ่อนที่งดงาม ผมถูกนางกำนัลมัดเป็นมวยน่ารัก

ที่สำคัญคือองค์หญิงน้อยเป็นคนอารมณ์ดี พูดจานุ่มนวล หลังจากที่ได้คอยดูแลรับใช้นางเพียงครู่เดียว สาว ๆ ในวังต่างก็ชอบองค์หญิงน้อยมาก

“พวกเราไปกันเถอะ”

ดวงตากลมโตสดใสมองไปมา ก่อนจะถามทันทีว่า “ท่านพ่อบอกแล้วหรือไม่ว่าข้าจะได้ที่พักอยู่ที่ใดหลังจากนี้”

ชุนสี่พูดทันที “หม่อมฉันจะพาองค์หญิงไปที่นั่นเพคะ”

จากนั้นเด็กน้อยก็ถูกพาไปที่ตำหนักอีกหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างที่ประทับของหนานกงสือเยวียน

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นตำหนักย่อยที่อยู่ด้านข้าง แต่เนื่องจากอยู่ใกล้กับตำหนักของฮ่องเต้ที่สุด สภาพของมันจึงหรูหราวิจิตรตามากกว่าตำหนักหลังอื่น

เด็กหญิงยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับอ้าปากกว้าง ก่อนจะอุทานด้วยความตกใจ

“ใหญ่เหลือเกิน มีใครอยู่ที่นี่อีกหรือไม่?”

นางหลงคิดไปว่าห้องพักก่อนหน้านี้ใหญ่โตมากแล้ว

“ไม่มีเพคะ ฝ่าบาทไม่ชอบให้ผู้ใดเข้าใกล้ที่ประทับของพระองค์มากเกินไป จึงไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่ ตอนนี้มีเพียงองค์หญิงคนเดียวเพคะ”

เสี่ยวเป่าใช้ขาสั้นป้อมเดินไปทางโน้นทางนี้อย่างมีความสุข นางคิดไม่ถึงเลยว่าตำหนักใหม่ของตนเองจะใหญ่โตถึงเพียงนี้ ที่นี่ไม่เลวเลยจริง ๆ

สิ่งแรกที่นางเห็นคือสนามหญ้าขนาดใหญ่

ลานหน้าตำหนักดูเหมือนมีเนื้อที่ประมาณหนึ่งหมู่*[1] ถึงแม้จะจัดไว้อย่างดี แต่ก็ไม่มีอะไรปลูกอยู่เลย

ดวงตาของซูเสี่ยวเป่าเป็นประกายระยิบระยับเมื่อมองไปยังสถานที่แห่งนี้

ชุนสี่เหลือบมองไปที่องค์หญิงน้อย รู้สึกพิศวงเล็กน้อย เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าความสนใจขององค์หญิงน้อยอยู่ที่พื้นดินกันนะ?

สงสัยนางจะคิดไปเอง

เมื่อชุนสี่คิดเช่นนั้น ก็ได้ยินองค์หญิงถามขึ้นมาพอดีว่า

“ปลูกผักที่นี่ได้หรือไม่”

ชุนสี่ “เพคะ???”

หลังจากหนานกงสือเยวียนขึ้นว่าราชการตามกำหนดการประจำวัน หากเป็นเมื่อก่อน เขาต้องจัดการกับงานราชการทันที

แต่หลังจากที่เขาประชุมขุนนางในวันนี้ สิ่งแรกที่นึกถึงคือบุตรสาวของตนเอง

“องค์หญิงน้อยกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้”

หัวหน้าฝูไห่กงกงจะรู้ได้อย่างไร เขาไม่ได้ติดตามเด็กหญิงผู้นั้นอยู่สักหน่อย

“บ่าวจะให้คนไปถามให้พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้อง พวกเรากลับไปดูกันเถอะ”

[1] หนึ่งหมู่ หรือประมาณ สองไร่