บทที่ 10 ปลูกผักวิเศษน้อย ๆ แสนอร่อยให้ท่านพ่อกิน

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 10 ปลูกผักวิเศษน้อย ๆ แสนอร่อยให้ท่านพ่อกิน (รีไรท์)

บทที่ 10 ปลูกผักวิเศษน้อย ๆ แสนอร่อยให้ท่านพ่อกิน (รีไรท์)

หนานกงสือเยวียนนั่งเกี้ยวตรงไปยังตำหนักของบุตรสาวทันที

เหล่าข้าราชบริพารรายงานมาว่าขณะนี้องค์หญิงน้อยกำลังอยู่ที่ตำหนักใหม่

หนานกงสือเยวียนกำชับไม่ให้ผู้ใดบอกเด็กหญิง เขายังไม่ทันเดินผ่านประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงใสเจื้อยแจ้วลอยออกมาแล้ว

เขาสวมเสื้อคลุมมังกรสีดำสลับสีทอง ความสง่างามแผ่ซ่าน ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองมาตรง ๆ

ตอนนี้เอง หนานกงสือเยวียนก้าวเข้าไปในตำหนักหลังใหม่ของบุตรสาวก่อนที่ฝีเท้าจะหยุดนิ่ง

ลานหน้าตำหนักมีชีวิตชีวาขึ้นมากจริง ๆ ก่อนเข้าไปเขาคิดว่าบุตรสาวคงกำลังเล่นกับบรรดาคนรับใช้ แต่ไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นฉากเช่นนี้

บุตรสาวตัวน้อยของเขากำลังถือจอบเล็ก ๆ อยู่ในมือ นางกำลังขุดดินพร้อมคนรับใช้กับขันทีอีกสองสามคน

นางกำนัลและขันทีเหล่านี้ล้วนถูกส่งเข้าวังเมื่อยังเด็กมาก แม้พวกเขาจะรู้วิธีการทำนามาก่อน แต่สิ่งสำคัญที่พวกเขาได้เรียนรู้หลังจากอยู่ในวังมานานคือกฎต่าง ๆ แล้วพวกเขาจะใช้จอบเป็นได้อย่างไร?

เพราะเหตุนี้ ในสายตาของหนานกงสือเยวียน คนเหล่านี้จึงใช้จอบได้ไม่ดีเท่ากับลูกสาวของเขา

ไม่รู้ว่าพวกเขาขุดดินมานานแค่ไหนแล้ว ดินส่วนใหญ่ที่สนามถูกขุดจนกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ เสี่ยวเป่าย่อตัวลงบนพื้น ไม่กลัวที่จะเหนื่อยหรือสกปรก นางค่อย ๆ ขุดดินทีละนิดด้วยจอบเล่มเล็กของตนเอง

กระโปรงแสนสวยที่นางใส่เมื่อเช้าถูกแทนที่ด้วยเสื้อผ้าของสาวใช้ในวัง เพราะกระโปรงอันสวยงามนั้นมีขนาดใหญ่เกินไป แขนเสื้อและขากางเกงจึงต้องถกม้วนขึ้นและมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ให้หลุดลงมา สุดท้ายเสี่ยวเป่าจึงต้องมาสวมชุดของสาวรับใช้เช่นนี้

ไม่ใช่ว่านางต้องการสวมชุดของสาวรับใช้ อันที่จริง ไม่เคยมีองค์หญิงน้อยองค์ใดประสูติในพระราชวังอันใหญ่โตแห่งนี้มาก่อน เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงไม่มีเวลาตัดเย็บเสื้อผ้าให้แก่เสี่ยวเป่าในเวลาอันสั้นเช่นนี้

ส่วนเสื้อผ้าที่นางสวมตอนเข้าวังครั้งแรกนั้นเป็นชุดของชุนสี่ แม้เสื้อผ้าเหล่านั้นก็หลวมโคร่งเช่นกัน ทว่าองค์หญิงน้อยไม่ต้องการให้ชุดหรูหราเหล่านั้นต้องมาเปรอะเปื้อนดินโคลน

เด็กน้อยวัยสามขวบทำงานหนักจนนางไม่ได้สังเกตความเคลื่อนไหวที่ประตูเลย

ทว่าชุนสี่ที่อาศัยอยู่ในวังเป็นเวลานานได้พัฒนาความสามารถในการฟังจากทุกทิศทาง นางจึงสังเกตเห็นฮ่องเต้ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูอย่างรวดเร็ว

นางต้องการทำความเคารพ แต่ฝ่าบาทยกมือขึ้นบอกว่าไม่ต้อง

เขาเหลือบมองพื้นดินที่สกปรก ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปอย่างสงบท่ามกลางความหวาดหวั่นของฝูไห่กงกง

ข้ารับใช้คนอื่น ๆ ที่เห็นฮ่องเต้ก็รีบก้มศีรษะด้วยความเคารพเป็นพัลวัน แทบไม่กล้าหายใจ

เมื่อหนานกงสือเยวียนเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างของเสี่ยวเป่า เขาก็เห็นเจ้าตัวขุดหลุมขนาดเล็กด้วยจอบ จากนั้นก็หยิบกระเป๋าที่ดูเก่า ๆ ออกมาจากอกเสื้อแล้วหว่านเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นลงไปในหลุมดิน

ขณะที่ฝังกลบเมล็ดด้วยดินอ่อน เด็กหญิงก็เอาแต่พึมพำบางอย่างในปาก

หูของหนานกงสือเยวียนไวต่อการได้ยินอยู่แล้ว เขาจึงได้ยินทุกอย่างที่องค์หญิงน้อยพูด

“พวกเจ้าต้องโตไว ๆ แล้วเป็นผักวิเศษน้อย ๆ แสนอร่อยให้ท่านพ่อกินนะ”

ดวงตาของหนานกงสือเยวียนเป็นประกายขึ้นมา เขาเฝ้าดูบุตรสาวเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไรอีก

“ชุนสี่ ชุนสี่ พืชผักที่นี่ต้องโดนน้ำนะ”

เจ้าตัวน้อยเรียกหาคนช่วยรดน้ำขณะที่นางยุ่งวุ่นวายอยู่กับการกลบดิน

เด็กหญิงกลบเมล็ดพืชด้วยหน้าดินตื้น ๆ เมื่อสังเกตว่าไม่มีใครมารดน้ำให้สักที นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย สิ่งที่สะดุดตาตั้งแต่แวบแรกคือเสื้อผ้าสีดำสลับทองหรูหรา

ดูคุ้นตาชอบกล!

เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเห็นว่าเป็นท่านพ่อ

“ท่านพ่อ!”

เสียงที่เรียก ‘ท่านพ่อ’ ของเด็กหญิงดังมาก นางลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ทว่าไม่ทันจะได้ยืนนิ่ง ร่างเล็กโงนเงน เกือบจะล้มอยู่รอมร่อ

เป็นเพราะหนานกงสือเยวียนคอยเฝ้าดูบุตรสาวอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงจับคอเสื้อให้องค์หญิงน้อยยืนตรงได้ทันเวลา

“ท่านพ่อ ท่านเสร็จงานจนกลับมาอยู่กับเสี่ยวเป่าได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เดิมที เสี่ยวเป่าต้องการกอดอีกฝ่าย แต่หลังจากเห็นมือเล็กป้อมที่สกปรกของตนเอง นางก็เลยไม่กอดเขา เพียงเงยหน้าขึ้นแล้วช้อนมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

หนานกงสือเยวียนชะงัก ไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

เด็กหญิงมอบเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดให้กับหนานกงสือเยวียนทันที

“เมล็ดพันธุ์ เสี่ยวเป่าอยากปลูกผักให้ท่านพ่อกิน”

เด็กหญิงคิดถึงท่านพ่อตลอดเวลา แม้แต่ฝูไห่กงกงก็ยังได้รับความอบอุ่นจากองค์หญิงน้อย

เขาลอบมองใบหน้าเย็นชาไร้ความปรานีของฮ่องเต้ ยังไม่มีความรู้สึกใด ๆ ปรากฏขึ้นบนสีหน้า

อนิจจา… หวังว่าองค์หญิงน้อยจะไม่ผิดหวัง

หัวหน้าขันทีได้แต่คิดในใจ

“ตัวเล็กเท่านี้ เจ้าจะปลูกผักได้หรือ” หนานกงสือเยวียนมองเด็กหญิงตัวน้อยที่สูงยังไม่พ้นขาของตนเอง ก็คิดจะแกล้งนางขึ้นมา

เสี่ยวเป่าทำหน้ามุ่ย “เสี่ยวเป่าทำได้”

หนานกงสือเยวียนไม่ว่าอะไร เขาเพียงลูบผมนางเบา ๆ “ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ หลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปทานอาหารกลางวัน”

ตอนนี้เขามีเวลาไม่มากนัก การแวะมาดูบุตรสาวในระหว่างว่าราชการไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมเท่าไหร่นัก

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

เสี่ยวเป่าเชื่อฟังบิดาของตนเองเป็นอย่างดี “ท่านพ่อ ท่านพ่อต้องพักผ่อน อย่าหักโหมมากเกินไปนะเจ้าคะ”

นางยังจำได้ว่าเมื่อวานนางเห็นท่านพ่อมีดวงตามืดมนและดูเหนื่อยล้ามาก

วันนี้ดีขึ้นมากแล้ว

หนานกงสือเยวียนรับคำเบา ๆ “เจ้ากลับไปเล่นต่อเถอะ”

เด็กน้อยพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เสี่ยวเป่าไม่ได้เล่น เสี่ยวเป่ากำลังปลูกผัก”

เมื่อได้ยินเสี่ยวเป่าตอบโต้กลับมาอย่างดื้อรั้น ฝูไห่กงกงก็เหงื่อแตกพลั่ก กลัวว่าฝ่าบาทจะตำหนินางด้วยอารมณ์ดุร้าย

หนานกงสือเยวียนก้มมองบุตรสาวของตนเอง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปบีบแก้มของเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

หลังจากหยิกแก้มไปสองครั้ง เขาก็ชักมือกลับ เดินจากไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เสี่ยวเป่า “…”

นางเฝ้าดูท่านพ่อพาคนกลุ่มหนึ่งออกไป หลังจากนั้น เสี่ยวเป่าก็กลับไปปลูกเมล็ดพืชลงดินต่อ

เหล่านางกำนัลไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างเมล็ดพืชเหล่านี้ได้ แต่เสี่ยวเป่าสามารถแยกแยะได้ง่าย ทั้งยังจัดแยกเป็นหมวดหมู่ได้ด้วย

เมล็ดชนิดเดียวกันปลูกไว้ด้วยกันเพื่อไม่ให้รกและมีความไม่สบายตาเมื่อพวกมันโตขึ้น

เมล็ดขนาดเล็กได้รับการปลูกอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือของนางกำนัลและขันที แต่ก็ยังมีบางเมล็ดยังปลูกไม่ได้

เสี่ยวเป่าหยิบเมล็ดพันธุ์ผลไม้และเมล็ดข้าวออกมา

“ควรนำเมล็ดเหล่านี้ไปแช่น้ำก่อน แล้วค่อยนำไปปลูกหลังจากที่งอกแล้ว”

ที่นี่มีสระบัวขนาดเล็กอยู่ สามารถใช้มันปลูกข้าวได้

ข้าวเป็นอาหารหลัก ตอนที่นางเป็นภูตพฤกษา นางจำได้ว่าข้าวที่พวกมนุษย์ปลูกนั้นเติบโตได้ดีเพียงใด

แต่หลังจากมาถึงโลกนี้ นางพบว่าผลผลิตข้าวของที่นี่เทียบไม่ได้กับโลกก่อนหน้านี้ที่นางเคยอยู่

เมล็ดที่เสี่ยวเป่าเลือกนั้นอวบอ้วน และแม้ว่านางจะไม่มีพลังวิญญาณในการให้กำเนิดพืช แต่นางยังสามารถเติมพลังให้กับเมล็ดพืช และปรับสภาพของเมล็ดให้เหมาะสม ทำให้พวกมันอยู่รอดได้ง่ายขึ้น

“แต่องค์หญิงเพคะ เมล็ดพืชชนิดนี้แช่น้ำไม่นานก็ตายแล้วไม่ใช่หรือ?”

เด็กหญิงส่ายหัว “ไม่ตายหรอก พวกมันเติบโตได้”

ทุกคนไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดคำนี้ ถึงจะไม่มีใครเชื่อคำพูดขององค์หญิงน้อยที่มีอายุเพียงสามขวบ แต่พวกเขายังคงทำตามคำสั่งโดยดี

ทุกคนมองว่าเสี่ยวเป่าเป็นองค์หญิงน้อยที่กำลังเล่นสนุก จึงไม่ได้ยึดถือคำพูดของนางจริงจังนัก