บทที่ 9 – องค์หญิงไร้เสียง

 

หลังจากเหตุการณ์ที่ ‘องค์หญิงไร้เสียง’ โจมตีใส่คนคนหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่นานข่าวลือก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าสำหรับองค์หญิงแห่งหอคอยเหนือน่านน้ำ ทุกคนล้วนจดจำเธอในฐานะคนดี.. แม้จะมีท่าทางที่เย็นชาแต่เธอก็ไม่เคยทำชั่วอะไร

ดังนั้นการที่เห็นเธอทำร้ายคนอื่นก่อนนี่จึงเป็นเรื่องน่าตกตะลึง มีแหล่งข่าวหลายแหล่งเริ่มทำการชำแหละข่าว

บ้างก็เดาว่าผู้หญิงผมสีม่วงคือศัตรูคู่อาฆาตกันมาก่อน บ้างก็ว่าผู้หญิงผมสีม่วงคือคนชั่วเพราะองค์หญิงไม่มีทางทำร้ายคนบริสุทธิ์

แน่นอนว่าข่าวพวกนี้ล้วนไม่มีมูลจึงไม่น่าเชื่อถือ แต่ความจริงมันก็ยังมีคนอ่านข่าวมากมายซึ่งเป็นผลดีต่อคนเขียนข่าวอยู่ดี

แน่นอนว่าในขณะเดียวกันนักข่าวก็ตามหาผู้หญิงผมสีม่วงเช่นกัน .. ที่พวกเขาไม่กล้าไปยุ่มย่ามกับฝั่งของเรนะนั้นเป็นเพราะว่า..

เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกกล้อง เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี.. ในความเป็นจริงผู้ใช้อารยธรรมก็ไม่ใช่ดาราหรืออะไรแบบนั้นอยู่แล้ว

พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกหน้าออกตา เพื่อให้ประชาชนหรือคนธรรมดาจำนวนมากถูกใจ กลับกันเพราะผู้ใช้อารยธรรมต่างหากถึงทำให้โลกนี้สงบสุขอยู่ได้ ดังนั้นการที่ใครกล้ามีกระแสสังคมประมาณว่า

‘หยิ่งจัง’ หรือ ‘เล่นตัวจัง’ จนเป็นกระแสสังคมติดลบต่อบุคคลนั้นจนยากจะเติบโตอะไรที่เหมือนหลุดมาจากนิยายแบบนั้นจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้

แน่นอนว่าไม่ปฏิเสธว่าไม่มีคนแบบนั้นอยู่เลย

กลับมาที่เรื่องเดิม

เพราะแบบนั้นนักข่าวจึงไม่สามารถเซ้าซี้ผู้ใช้อารยธรรมได้มากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่มี ‘เนม’ ระดับองค์หญิงเลย

พวกเขาจึงเล็งเป้าไปที่คู่กรณี.. แต่คู่กรณีก็ดันมีตัวตนเหมือนปุยเมฆเสียอย่างนั้นทำให้พวกเขาไม่สามารถตามหาหรือสืบค้นได้อีก

แน่นอนว่าตอนนี้มิวเองก็พึ่งพาคาโอรุอยู่.. ถึงเห็นแบบนั้นครอบครัวคาโอรุก็เป็นครอบครัวที่มีเงิน .. ไม่งั้นเธอคงไม่สามารถหาเรือดำน้ำมาได้แน่

ถึงแม้จะเป็นของจากยุคอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าแต่ราคามันก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนดอลลาร์อย่างแน่นอน

ซึ่งครอบครัวของเธอก็สามารถหาให้ได้ อันที่จริงถ้าครอบครัวยอมรับเจ้าตัวสามารถเป็นผู้ใช้อารยธรรมได้เช่นกัน

เพียงแต่ครอบครัวเธอไม่อนุญาตซึ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็เอาไว้ว่ากันอีกคราในภายหลัง เพราะสถานการณ์ในตอนนี้คือ.. มันเกิดหลังจากการปะทะของทั้งสองประมาณหนึ่งเดือนเห็นจะได้

หญิงสาวผมสีขาวเธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยที่มีโต๊ะยาวและข้างโต๊ะก็มีเก้าอี้เรียงกันเป็นแถวและมีคนหลายคนที่มีบุคลิกภาพหรือแม้แต่นิสัยที่ต่างกันสุดขั้ว

โดยที่กลางโต๊ะมีหน้าจอที่หันให้ตรงสายตาทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะซึ่งดูไฮเทคเป็นอย่างมาก นอกเหนือจากคนนับสิบคนที่นั่งอยู่ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมแว่นเดินอธิบายเหตุการณ์

“และนี่คือบทสรุปของการสำรวจชั้นสิบของคุณเรนะค่ะ”

หญิงสาวคนนั้นกล่าวเช่นนั้นภาพหน้าจอโฮโลแกรมก็ดับวู้บลงหายไปทันที เมื่อหญิงสาวคนนั้นเงียบลงชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะซึ่งเอาขาสองข้างพาดขึ้นมาบนโต๊ะ แสดงให้เห็นถึงความเป็นจิ๊กโก๋ชัดเจน

“สรุปที่หล่อนจะบอกก็คือ ชั้นที่สิบเป็นชั้นที่พวกเราจะต้องไปโลกอีกใบที่เหมือนกับ ‘โลก’ ของพวกเราทุกอย่างงั้นสินะ”

“ใช่ค่ะ”

“แล้วที่พวกเราต้องทำคืออะไร? ฆ่าอะไร?”

ชายคนนั้นยิ้มและพูดด้วยสีหน้าพร้อมปะทะอย่างรุนแรง คนที่ตอบไม่ใช่หญิงสาวสวมแว่น แต่เป็นเรนะ

“ไม่ใช่.. สิ่งที่พวกนายต้องทำคือหาสิ่งนี้”

เธอยกมือและยื่นไปข้างหน้า แต่ในตอนนั้นเองลูกบาศก์หลากมุมก็พลันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเธอ ตอนแรกเหมือนคนอื่นจะมองไม่เห็น

แต่เมื่อเรนะคิดบางอย่างในใจแล้ว ลูกบาศก์หลากมุมนั้นก็โผล่ให้ทุกคนในที่แห่งนี้ได้เห็น ทุกคนที่มองเห็นสิ่งนั้นต่างสับสน

“ลูกบาศก์..? อะไร?”

จิ๊กโก๋เอียงคอด้วยความสงสัย แต่เรนะไม่ได้อธิบายเธอหันไปหาหญิงสาวที่ยืนสวมแว่นอยู่รอบนอกโต๊ะ ซึ่งเธอคนนั้นก็เข้าใจและอธิบายทันทีส่า

“มันคือ ‘ระบบ’ ค่ะ”

“ตามที่คุณเรนะได้อธิบายมา.. เหมือนว่าโลกนั้นจะเป็นโลกที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เราตามหา ‘ระบบ’ ของตนเองค่ะ”

“เนื่องจากการปรากฏของมันพึ่งมีคุณเรนะเพียงคนเดียวที่ครอบครอง จึงไม่ค่อยเข้าใจการทำงานของมันเท่าไหร่ แต่ทว่า…”

“สิ่งนี้เหมือนออกแบบมาเพื่อให้ตัวผู้ถือครองแข็งแกร่งขึ้นค่ะ”

“ระบบที่คุณเรนะครอบครองคือ ‘ระบบแห่งวิดาร์’ จากการสืบค้นระบบน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ ‘วิดาร์ ผู้เงียบงัน’ หรือ ‘The Silent’ เทพจากตำนานนอร์ส”

“ทางองค์กรบอร์เดอร์ไลน์จึงคาดเดาว่า ‘ระบบ’ ที่ผู้ถือครองจะได้รับมีโอกาสแตกต่างกัน โดยอ้างอิงจากตำนานเทพนอร์ส และเป็นไปได้ว่าไม่ได้มีแค่นั้นค่ะ”

ทุกคนที่ได้ฟังตอนแรกเหมือนจะไม่สนใจ เพราะพวกเขาก็มีอีโก้ที่คิดว่าตนเองต้องผ่านไปโดยไม่พึ่งข้อมูลเหมือนองค์หญิงไร้เสียง

ยังไงซะทุกคนที่นั่งติดเก้าอี้อยู่กว่าสิบชีวิตเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มี ‘เนม’ เป็น องค์หญิงหรือองค์ชายทั้งสิ้น

ทว่าเมื่อพูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งแล้วนั้นมันแตกต่างออกไป ยิ่งบอกว่ามีคนหนึ่งได้รับของบางอย่างที่เพิ่มความแข็งแกร่งก่อนพวกเขาแล้วนั่นยิ่งเป็นเรื่องไม่น่ายินดีสักเท่าไหร่

“ขอถามไว้เป็นแหล่งอ้างอิงหน่อยแล้วกันนะ เรนะ”

“ฉันจำไม่ได้ว่าอนุญาตให้นายเรียกฉันด้วยชื่อห้วนๆ แบบนั้นนะวิลเลี่ยน”

ในตอนนั้นเองผู้ชายอีกคนที่ไม่ใช่จิ๊กโก๋ก็พูดขึ้น แต่เรนะเองก็ตอบกลับออกไปอย่างเฉยชาเช่นเดียวกัน

วิลเลี่ยน ลินเบิร์ก ‘องค์ชายนภา’ ผู้ที่ว่ากันว่าสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศเหาะเหินเดินอากาศได้.. ในบางระดับมีคนเรียกเขาว่าพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ

“ไอ้เจ้า ‘ระบบ’ ที่เหมือนกับหลุดออกมาจากนิยายที่เธอครอบครอง… มันทำให้เธอได้อะไรบ้าง”

วิลเลี่ยนไม่สนใจคำแย้งของเรนะ และพูดต่อไปทั้งแบบนั้น แน่นอนว่าทุกคนที่ได้ยินคำถามของวิลเลี่ยนต่างก็พากันสนใจคำตอบของเรนะ

“….”

หลังจากเงียบสักพักเธอก็พูดขึ้น

“ก็ทำได้ทุกอย่างเหมือนที่พระเอกในนิยายที่นายเคยอ่าน.. นั่นแหละคือ ‘ระบบ’ พิเศษที่ฉันได้รับ”

เมื่อเธอพูดเช่นนั้นทุกคนในที่นี้ต่างพากันเงียบงันลง.. หลังจากไม่มีคนกล่าวอะไรเรนะก็ลุกขึ้น

“หมดธุระแล้วงั้นฉันขอตัว”

เมื่อเธอจากไปทุกคนก็ต่างพากันจากไปตามกัน..ที่แห่งนี้คือหอประชุมของบอร์เดอร์ไลน์ และอย่างที่เห็นแม้ไม่ใช่คนของบอร์เดอร์ไลน์ก็เข้ามา

สาเหตุนั่นมาจากคือสนธิสัญญา.. การที่เ ปิดให้ทุกคนสามารถเข้าหอคอยได้โดยไม่ถูกจำกัดตราบใดที่มีอารยธรรมที่ใช้

แต่นั่นก็ตามมาด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่เป็นผลประโยชน์ต่อคนอื่น.. นั่นก็คือต้องเปิดเผยข้อมูลชั้นใหม่ๆ ที่ตัวเองบุกเบิกให้กับคนอื่น

แม้จะไม่ต้องการก็ตาม.. และเอาเข้าจริงถึงจะบอกว่า ‘บอกข้อมูลขั้นใหม่ๆ’ แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องบอกขนาดไหนหรืออะไรยังไง

สรุปคือแค่บอกว่าในชั้นที่ 7 มีต้นแอปเปิ้ลหนึ่งต้นนั่นก็เพียงพอเป็นข้อมูลแล้ว ตราบใดที่มันไม่ใช่ข้อมูลที่ผิดพลาดก็ล้วนเป็นข้อมูลทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามสำหรับเรนะ ไอ้การฉลาดแกมโกงอะไรแบบนั้นมันหาได้สำคัญกับเธอไม่ ยังไงซะคนพวกนี้ก็มีแต่อีโก้ไม่ฟังอยู่แล้วด้วย

ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจจะฉลาดแกมโกงเหมือนคนอื่นเขานั่นเอง.. เรนะที่เดินออกมาจากห้องประชุมก็เงยหน้าขึ้น

“ดูเหมือน.. แม้แต่องค์หญิงนิมิต ที่ว่ากันว่ามีตาที่สามารถมองทะลุทุกการซ่อนอย่าง ซอยุนก็มองไม่เห็นเธอสินะ วิดาร์”

“นั่นมันแน่อยู่แล้วล่ะ”

เสียงตอบที่ดูเงียบงันไร้เสียงดังสะท้อนมาตาม เงาของหญิงสาวคนหนึ่งสะท้อนบนหัวของเรนะ.. นอกจากเธอแล้วไม่มีใครมองเห็นคนคนนี้อีกเลย

“แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน.. อย่างที่เจ้าคาดเดาในตึกนั้น…”

ทั้งสองคนออกมาจากตึกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่อเมริกา ตึกนี้มีขนาดสูงใหญ่มีโครงสร้างที่มั่นคงอย่างมาก

เอาเข้าจริงมันเหมือนป้อมปราการมากกว่าตึกด้วยซ้ำ.. เสียงของวิดาร์ยังคงดังขึ้นต่อหลังจากหยุดลงครึ่งทาง

“ในตึกนั้น.. ดูท่าจะมี ‘ปีศาจ’ จากบอร์เดอร์ที่อยู่ในความทรงจำของเธอคนนั้นอยู่จริงๆ”

เมื่อได้ยินคำนั้นดวงตาของเรนะก็หดเกร็งทันที.. ความโกรธอันรุนแรงพวยพุงขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ..

“ใจเย็นๆ เจ้าในตอนนี้ไม่มีทางเอาชนะพวกนั้นได้หรอก เรนะ”

“เรื่องนั้นฉันรู้ดี..”

มือสองข้างเธอที่กำแน่นความเกลียดชังค่อยๆ คลายออก… ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ 

 

…….