“ท่านพี่…”
เรย์ที่ตกใจพูดเสียงเบาออกมาพร้อมเช็ดน้ำตา
“ทำไมถึงมาอยู่ที่ไหนได้? แล้วสโนว์ล่ะ?”
“ว่าแล้วเชียว เมดนั้นเป็นคนของเธอจริง ๆ ด้วย การที่คอยให้เมดอุตส่าห์คอยจับตาดูก็เพราะถ้าฉันรู้ความลับในการสนทนานี้ขึ้นมามันจะแย่เอาสินะ”
ผมพอจะทำความเข้าใจกับสถาการณ์ได้แล้ว
เรื่องที่ว่าใครเป็นคนสั่งเมดผมขาว…สโนว์ให้คอยจับตาดูผม
ถ้าเธอทำงานให้กับตระกูลซันโจ
ยังไงก็ต้องเป็นคนจากตระกูลซันโจที่เป็นคนสั่งอยู่แล้ว
มันมีความเป็นไปได้ เพราะขนาดในโลกของเอสโก้ ก็ยังมีคนที่พยายามจะฆ่าฮิอิโระเลยนี่ อย่างตระกูลซันโจหรือไม่ก็ผู้นำตระกูลคนต่อไปอย่างซันโจเรย์แบบนี้…แต่ว่า เมดคนนั้นก็กลับจงใจเผยตัวว่ากำลังคอยจับตาดูอยู่
ถ้าเรื่องเป็นแบบนั้นล่ะก็ เหตุผลที่เหลือมันก็เดาได้ง่าย ๆ แล้วล่ะ
นั่นก็เพราะเธออยากให้รู้ว่าซันโจ เรย์คือเจ้านายของเธอยังไงล่ะ
คงคิดจะทดสอบกันล่ะมั้งนะ
การที่ตามเข้าไปถึงข้างในดันเจี้ยน และตั้งใจเผยตัวให้รู้ นั่นก็เพื่อที่จะทดสอบว่าผมจะตอบสนองยังไง
จากนั้นก็ยื่นคำขอกับผมโดยตรงเพื่อให้มาช่วยเรย์…หรือก็คือบัตรสมาชิกร้านอาหารใบนี้นี่แหละ
ปกติแล้ว เธอจะไม่ค่อยซีเรียสตอนที่แนะนำร้านอาหารให้ผม เพราะงั้นตอนที่ได้รู้ว่ามันคือร้านอาหารของตระกูลซันโจ ก็ทำผมอึ้งไปเลยเหมือนกัน
และเรื่องราวมันก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้
ตามจริงแล้ว นางเอกอย่างซันโจ เรย์นั้นควรจะต้องได้ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ข้าง ๆ ตัวเอก ที่เป็นคู่ชีวิตของเธอแท้ ๆ แต่เธอดันกำลังต้องมาร้องไห้ท่ามกลางไอ้พวกบ้าอำนาจน่ารังเกียจนี่
แบบนี้มันยกโทษให้ไม่ได้
เพราะว่าผมคือคนที่จะปกป้องยูริไว้ยังไงล่ะ
“เฮ้ย ยัยแก่เฮงซวยทั้งหลาย รวมหัวกันรังควานด็กสาวแบบนี้มันสนุกนักรึไง…ถึงฉันจะไม่อยากรู้ แต่ก็คงต้องขอให้ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยแล้วล่ะ”
พอผมส่งเสียงเรียกพวกระดับสูงของตระกูลซันโจ พวกเขาก็ส่งเสียงดังกลับมา
“ฮิอิโระ…นี่เธอรู้รึเปล่าว่ากำลังพูดอยู่กับใครน่ะ?”
“พวกยัยแก่เถอะ รู้รึเปล่าว่ากำลังทำให้ใครร้องไห้น่ะห๊ะ!?”
ผมกระแทกส้นเท้าลงบนโต๊ะ
ปัง!!
พอกระแทกลงไป ทั้งจานและช้อนส้อมก็กระเด็น แต่จากนั้นมันก็ตกกลับลงไปที่เดิม
จากนั้นผมก็วางมือไว้ที่หลังหัวและยิ้มออกมา
“บะ…บ้าไปแล้วรึไง ฮิอิโระ”
“พูดอะไรระวังปากหน่อยสิ ยัยแก่เฮงซวย ครอบครัวกำลังทานอาหารด้วยกันอยู่นะ พูดให้มันน่าฟังกว่านี้หน่อย….เฮ้ย”
ผมตะโกนกับคนคุ้มกันที่อยู่ด้านหลัง
จากนั้นเธอก็สะดุ้งเล็กน้อย แล้วก็ค่อย ๆ ขยับอุปกรณ์เวทย์ที่เป็นรูปแบบดาบทีละน้อย
“อย่าดีกว่านะ ถ้าฆ่าฉันตรงนี้ต่อหน้าลูกค้าคนอื่น ๆ ล่ะก็ ตระกูลซันโจได้จบเห่แน่”
“อึก…จะ…จับสัมผัสได้งั้นเหรอ…?”
“นั่งรออยู่ตรงนั้นซะ มันใช้เวลาไม่นานหรอก”
ผมครอบงำสถานที่แห่งนี้ด้วยบรรยากาศแบบชายผู้แข็งแกร่ง
แต่เอาจริง ๆ คือ…เหงื่อออกไม่หยุดเลย
ก็ไอ้การจับสัมผัสเนี่ย มันจะไปทำได้ยังไงกันเล่า ก็แค่เห็นสะท้อนอยู่ในช้อนเฉย ๆ เท่านั้นเอง
แต่ก็กะแล้วเชียว ถ้าคนมากขนาดนี้ละก็ ต่อให้จะสู้ยังไง แค่คนเดียวก็คงจะไม่ไหวจริง ๆ
ต่อให้จะมีคนคุ้มกันซักคนหรือสองคนก็เถอะ แต่ถ้าถูกรุมมากขนาดนี้ยังไงก็ตายแหง
เพราะยูริถูกทำร้าย ผมก็เผลอโกรธจนเข้ามายุ่ง…
แต่ตอนนี้ผมควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดีนะ
ผมแอบเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออกแบบเนียน ๆ
หลังจากที่ผ่านการฝึกกับอาจารย์มา ผมก็แทบจะไม่เหลือพลังเวทย์แล้ว แถมยังรู้สึกเจ็บแปล๊บไปทั้งตัวอีก โทรมซะจนแค่จะเหวี่ยงดาบดี ๆ ก็ยังไม่ได้เลย
แต่ก็นะ จะทำยังไงได้ล่ะ
ก็ลำดับความสำคัญของผมคือ ยูริ>>>>>>>>>>>ผม>>คนอื่น ๆ นี่นา
เพื่อยูริแล้วต่อให้ชีวิตจะหาไม่ ผมก็ยอม
ตราบใดที่ยังไม่ถูกฆ่าในตอนที่กำลังคิดแผนอยู่ ก็ถือว่าชนะแล้ว…ก็เอาสิ มาลองกันสักตั้งแล้วกัน!! (มองโลกในแง่ดี)
“เรย์”
“…คะ?”
“มันเกิดอะไรขึ้น? ฉันอยากได้ยินเรื่องนี้จากปากของเธอ”
“ระ…เรื่องนั้น…”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
ผมยิ้มให้กับเธอ
“ถึงฉันมันจะดูไม่น่าเชื่อถือก็เถอะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะเป็นคนปกป้องเธอเอง”
“ตะ…ตระกูลซันโจน่ะ…”
“เรย์!! ถ้าพูดออกไปล่ะก็ เธอจบเห่แน่!! คงรู้ใช่มั้ย!? นี่ พวกเธอน่ะ!!”
ยัยป้าตะโกนเรียกคนคุ้มกันด้วยตาที่แดงก่ำ
“ที่นี่คือตึกของตระกูลซันโจ!! ทำอะไรได้ก็ทำไปเลย!! รีบ ๆ จัดการซะ!!”
ทริกเกอร์ถูกกดพร้อมกันในทีเดียว–มีแสงจาง ๆ ออกมา แล้วจากนั้นหมอกสีดำก็แผ่กระจายออกไป
“เฮ้ย ๆ เอาจริงเหรอเนี่ย!? นี่ทุกคนบดบังการมองเห็นด้วยการใช้ชัทดาวน์ (เวทย์ธาตุมืด) กันหมดเลยเรอะ!? นี่คิดจะฆ่ากันเลยรึไง!?”
พนักงานที่มาจากตระกูลซันโจได้พาเหล่าลูกค้าคนอื่นออกไปข้างนอกอย่างเร็วจนน่าตกใจ
ผมสไลด์ไปบนโต๊ะแล้วอุ้มเรย์ขึ้น
“ว้าย!”
“โทษที ดูเหมือนว่าจะทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ ทนเอาซักครั้งแล้วกันนะ…โอ้!?”
วืด!!
มีดาบฟันผ่านหมอกสีดำลงมา
ผมพยายามมองเข้าไปใกล้ๆ—หืม? นั่นมัน?
ผมก้าวเท้าเบา ๆ ไปข้างหลังเพื่อหลบ
“โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววว!”
ท่าแกว่งดาบของพวกคนคุ้มกันจะมีการตะโกนออกมาในตอนที่โจมตี
การตะโกนบอกตำแหน่งให้รู้แบบนี้ การที่บดบังการมองเห็นมันเลยแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย แถมพวกนั้นยังโจมตีกันอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้โดนกัน จากผลของชัทดาวน์อีก
จะว่าไปแล้ว ในรูทของเรย์เนี่ย เหมือนว่าพวกค้นคุ้มกันจะเป็น AI ที่เป็นพวกลูกกระจ๊อกสินะ…แต่ตอนนี้พอไม่ใช่ AI แล้วมันก็แบบ…ดูน่ากลัวสำหรับฮิอิโระเหมือนกันแฮะ
และในจังหวะนั้น ผมก็กดทริกเกอร์ในพริบตา
[การสรรค์สร้าง : ชั้นพลังเวทย์] [ปรับเปลี่ยน : ประสาทตา] [ปรับเปลี่ยน : กล้ามเนื้อและกระดูก]
ถึงมันก็เป็นการเสริมพลังกายตามปกติก็เถอะ แต่มันรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลก ๆ
“ตายซ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!”
เจ้าพวกนี้มัน อืดอาดชะมัดเลยแฮะ….?
การโจมตีเข้ามาจากทุกทิศทาง
ฉับ ฉับ วืด วืด ชิ้ง!!
ผมหลบการโจมตีทั้งหมดพร้อมอุ้มเรย์ไปด้วย การฟันของพวกนี้ เทียบกับของอาจารย์แล้ว ถือว่ามีรูปแบบการฟันที่น้อยมาก ผมจึงค่อย ๆ ชินกับมัน และหลบได้ด้วยการเคลื่อนไหวแค่เล็กน้อยเท่านั้น
พอได้ผ่านการฝึกมาแล้วก็เข้าใจได้เลย
อ๋อ อย่างงี้นี่เอง
ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ผมคงใช้พลังเวทย์ได้ไม่ถูกวิธีงั้นสินะ
ปกติแล้วผมจะใช้พลังเวทย์จนหมดตลอด ผมเลยไม่รู้ว่าพลังเวทย์ที่เหลืออยู่นั้น มันเหลืออยู่เท่าไหร่ แล้วผมก็ต่อสู้ด้วยพลังเวทย์แบบเต็มสูบมาตลอดด้วย ก็เลยไม่เคยคิดถึงเรื่องการปลดปล่อยและกระจายพลังเวทย์เลย
และตอนนี้ พอได้สู้โดยที่แทบไม่เหลือพลังเวทย์ ผมก็เลยสามารถมองเห็นอะไรได้มากขึ้น
ถึงผมจะวิ่งเพื่อเพิ่มพลังเวทย์ แต่ผมเอาแต่ก็ใส่พลังไปที่ขาส่วนล่างโดยที่ไม่ได้ใส่พลังไปที่ส่วนที่เหลือเลย
หรือก็คือถึงแม้พลังเวทย์จะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังใช้ได้ไม่ถูกวิธีอยู่ดีนั่นเอง
–ก็เพราะแค่การวิ่งเพิ่มพลังเวทย์นั่น มันก็ทำให้รู้สึกว่าพัฒนาแล้วไงล่ะ
งี้นี่เอง ในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดแล้ว
เพราะงั้นสิ่งที่ผมจะต้องเรียนรู้เป็นอย่างต่อไปก็คือ การควบคุมพลังเวทย์ และวิธีการใช้พลังเวทย์ผ่านคอนโซลแล้วล่ะ
“ทะ…ท่านพี่…”
เรย์เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“ขะ…แข็งแกร่งขนาดนี้…ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…”
ผมฝ่าวงล้อมดาบออกไปแล้ววางเรย์ลง
แต่จะบอกว่าผมชนะเหล่าคนคุ้มกันได้ก็ไม่ถูกเลยซะเดียว
ถ้าผมไปสู้ในสภาพแบบนี้ละก็ คงเป็นผมเองนี่แหละที่จะโดนฆ่าตาย เพราะเสริมพลังกายมันใกล้จะหมดแล้วยังไงล่ะ
ไม่มีทางเลือกแล้ว ครั้งต่อไปจะต้องทำให้จบในทีเดียว
ผมเปลี่ยนคอลโซล และชักดาบออกมาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ชี้ดาบไปที่คนคุ้มกัน
ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะใช้พลังเวทย์อย่างเปล่าประโยชน์ไปจนหมดแล้วจนหายใจยังแทบลำบาก…
ยัยแก่ที่ซ่อนอยู่หลังโต๊ะก็เลยเริ่มโวยวายเสียงดัง
“รีบทำอะไรซักอย่างกับไอ้เจ้าตัวล้มเหลวนั่นสิยะ!! โลกนี้ไม่ต้องการผู้ชายที่สืบสายเลือดตระกูลซันโจหรอกนะ!!”
“โลกนี้ไม่ต้องการเรอะ!!”
ผมตะโกนออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“คนที่มาทำลายยูริอย่างพวกแกต่างหากล่ะ!! ทั้งซันโจ ฮิอิโระและพวกแกทุกคนจะต้องรับผิดชอบ!!”
ผมกดทริกเกอร์อย่างสุดแรง
ด้วยพลังที่มหาศาล พลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจากภายในร่างกาย เชื่อมต่อกับคอนโซล
เชื่อมต่อ– [ธาตุ : แสง] [การสรรค์สร้าง : บอล]
“ปลิวไปซะ”
ร้านอาหารปกคลุมไปด้วยแสงสีฟ้า–
เปลี่ยนคอนโซล– [การทำงาน : ระเบิด] [สรรค์สร้าง : กระสุน]–
“แสง”
ลูกบอลแสงขนาดใหญ่ได้ระเบิดออกมา
“…….!?”
ผมก็พยายามรักษาพลังเวทย์ไว้ด้วยในตอนที่ใช้
ลูกบอลแสงขนาดใหญ่ระเบิดออกและมีกระสุนขนาดเล็กบินออกมาหลายพันนัด ซึ่งไปโดนตัวของพวกผู้คุ้มกันโดยตรง ทำให้มีเสียงกรีดร้องและพวกเธอก็ล้มลงไปกับพื้น เหล่าป้า ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ก็กรีดร้องออกมาด้วยเสียงที่แหลมปรี๊ด
และหลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบลง
โคมไฟแชนเดอร์เรียที่ห้อยอยู่ก็ตกลงมาจนแตกกระจายเกิดเสียงดัง
ผมคุกเข่าลงพร้อมกับเสียงหัวเราะที่แหบแห้ง
“กะแล้ว…เมื่อกี้นี้…ทำเอาหมดแรงเลยแฮะะ…”
“ท่านพี่!”
เรย์วิ่งเข้ามาพยุงผมที่ล้มลงไป
“ทำไม…ถึงทำเรื่องที่มันบ้าบิ่นแบบนี้…”
“คบกับเด็กผู้หญิงที่ชอบซะนะ…เด็กผู้หญิงน่ะ…คบกับเด็กผู้หญิงที่ชอบ…” (เจตนารมณ์ก่อนตาย)
เรย์ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ–แต่ยัยป้าก็เล็งอุปกรณ์เวทย์มาที่พวกเรา
จากนั้นรอยยิ้มของเรย์ได้แข็งทื่อไป
“ท่านป้าคะ…เอาอุปกรณ์เวทย์เข้ามาในงานอาหารมื้อค่ำด้วยงั้นเหรอคะ…!”
“ไว้เป็นไพ่ตายยังไงล่ะ อายุน่ะมันไม่ใช่แค่ตัวเลขหรอกนะ เจ้าพวกเด็กเหลือขอ เรย์ เธอน่ะไม่มี [คาเงโระ] อยู่ในมือแล้วใช่มั้ยล่ะ?”
ยัยแก่โบกมือที่สวมแหวนด้วยท่าทางที่ดูน่ารำคาญ
“ถอยไปซะ ถ้าทำแบบนั้น ฉันก็จะปล่อยเธอไป เพราะยังไงเธอก็คือทายาทคนสำคัญของตระกูลซันโจล่ะนะ”
“……”
เรย์กอดผมไว้แน่นราวกับจะปกป้องผม
“นั่นคือคำตอบของเธอสินะ”
“สโนว์…เมดที่เชื่อใจได้ของฉันน่ะ บอกฉันมาหมดแล้วล่ะค่ะ”
เธอเงยหน้าขึ้นและพูดออกมา
“ว่า [ซันโจฮิอิโระน่ะ ได้เปลี่ยนไปแล้ว]…และฉันก็ขอเชื่อคำพูดนั้น…เชื่อในตัวของคนที่กำลังเสี่ยงชีวิตยืดหยัดและต่อสู้เพื่อที่จะปกป้องฉันค่ะ เพราะงั้นฉันจะไม่ร่วมมือกับแผนในการฆ่าท่านพี่ของฉันค่ะ”
“ทั้งที่ตอนที่ฟังเรื่องเมื่อกี้นี้ไปยังร้องไห้อยู่เลยแท้ ๆ ยังจะกล้าพูดแบบนี้อยู่อีกเหรอ”
ยัยแก่แต่งหน้าหนาพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
“งั้นก็เสียใจด้วยนะ เรย์”
จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ กดทริกเกอร์ แล้วใบมีดก็ฟันมาที่หลังคอของผม
“ลูกศิษย์ที่น่ารักอุตส่าห์ถูกชวนไปทานอาหารด้วยกันทั้งที”
แอสเทมีร์ที่สุดแกร่งได้หันคมดาบเข้าหายัยแก่คนนั้น
“แต่ที่ญี่ปุ่นเนี่ย เขาใช้อุปกรณ์เวทย์แทนตะเกียบในการทานอาหารด้วยงั้นเหรอคะ?”
“อะ…แอสเทมีร์ คลูเอ ลา เคอร์ริเซีย…ทำไมสัตว์ประหลาดแห่งอัลฟ์ไฮม์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้…”
“หยุดแค่นั้นแหละ”
ลาพิสปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เพราะถูกบอกว่าไม่ให้เข้ามายุ่ง ก็เลยคอยดูอยู่…แต่ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันไม่สนใจเรื่องของตระกูลหรอกนะ แต่ถ้ามายุ่งกับเพื่อนของฉันละก็ มันก็อีกเรื่องนึง”
เธอถอดหมวกเบสบอลออกแล้วปล่อยผมสีทองออกมา จนได้เห็นแววตาที่เปล่งประกาย
“ถ้าไม่หยุดล่ะก็ ฉันนี่แหละจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง”
“ละ..ลาพิส คลูเอ ลา ลูเมต…!?”
ชื่อคนใหญ่คนโตค่อย ๆ โผล่ออกมาที่ละคน
ดูเหมือนจะรู้แล้วสินะว่าใครคอยอยู่เบื้องหลังพวกผม
ยัยแก่จ้องมาหาผมพร้อมตัวสั่นเทา
“ฮิอิโระ นี่เธอ…!”
“ที่เรียกว่าไพ่ตายน่ะ…มันคือสิ่งที่เอาไว้ทำให้การ์ดบนมือของอีกฝ่ายใช้อะไรไม่ได้เลยต่างหากล่ะ…ยัย-โง่-เอ๊ย…”
ในขณะที่ถูกเรย์ประคองไว้อยู่ ผมก็ชูนิ้วกลางด้วยมือที่สั่น
“สำหรับทางนี้น่ะ…อายุมันก็เป็นแค่ตัวเลขเท่านั้นแหละว่ะ…ยัยแก่…สมองมัน…ต่างกันเฟ้ย…”
ใช่แล้ว ผมพูดออกมาแล้ว
และจากนั้นผมก็ค่อย ๆ หมดสติไป