เนื่องจากถูกขัดจังหวะโดยจูโนะ ทำให้คาซูกิต้องเสร็จการฝึกของเขาเร็วกว่าที่เขาวางแผนเอาไว้ ดังนั้น เวลานี้มันเลยทำให้เขามีว่างมาก

    จริงๆแล้วช่วงนี้ถ้าหากเขามีเวลาว่างเพียงซักนิดแล้วล่ะก็ เขาก็จะทุ่มมันไปกับการฝึกดาบทั้งหมด และเหตุผลที่เขาเริ่มต้นการฝึกดาบนั้นเพราะถูกบีบโดยเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับอนาคตนั้น ทักษะดาบนั้นคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ว่าก็ว่าเถอะ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าการฝึกของเขานั้น จริงๆมันก็แค่การฝึกทักษะต่างๆโดยการลอกเลียนแบบจากการเคลื่อนไหวภายในเกมส์เท่านั้นเอง

     อาจเพราะพอไม่ได้เหวี่ยงดาบแล้วเขาก็ไม่มีอะไรฆ่าเวลาอื่นอีก พอมันว่างเขาก็เริ่มฟุ้งซ่านคิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจนลืมไม่ได้สักที

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาเลยคิดจะทำให้หัวโล่งโดยการหาอะไรอ่านซักพัก เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงหยิบหนังสือ 2-3 เล่มที่ถูกเก็บไว้ออกมาจากชั้นวาง และเริ่มต้นที่จะเปิดอ่าน

     ในหมู่หนังสือสำหรับเด็กจำนวนมากมายเหล่านี้ เล่มที่สายตาของคาซูกิกำลังจับจ้องอยู่นั้นคือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเวทย์มนตร์

     แม้ว่า เนื้อหาของมันจะไม่เป็นวิชาการเท่าไร มันเป็นเรื่องของต้นกำเนิดของเวทย์มนตร์ และวิวัฒนาการของมัน รวมถึงเรื่องของบุคคลผู้ไปถึงระดับสุดยอดของเวทย์มนตร์และเวทย์มนตร์ที่แสดงถึงตัวตนของเขา และเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยต่างๆของเวทย์มนตร์ก็ถูกเขียนรวมไว้อยู่ด้วย นั้นคือทั้งหมดที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้

     พวกเขาที่ถูกกล่าวถึงนั้นต่างมีประวัติอันยิ่งใหญ่ ในเกมส์นั้นพวกเขาต่างถูกจัดอยู่ในผู้ไปถึงระดับสูงด้านเวทย์มนตร์ ขณะที่เริ่มจะมั่นใจแล้วว่าสิ่งนี้ถ้าเด็กๆได้อ่านคงต้องคลั่งราวกับได้พบฮีโร่ที่ชื่นชอบเป็นแน่ เขาก็เริ่มที่จะอ่านต่อ

และในเนื้อหาของมัน เขาได้พบกับชื่อหนึ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน

วินเซ็นท์ วอน เวสเทอร์ฟอร์ด

     ในเนื้อเรื่องของเกมส์นั้น วินเซ็นท์ได้กลายเป็นวีรบุรุษตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาเป็นหัวหน้าทหารองครักษ์ของพระราชา ทักษะดาบของเขานั้นถือว่าเป็นที่ 1 และในด้านเวทย์มนตร์เองเขาก็มีความสามารถสูงพอที่จะถูกจาลึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เหมือนกัน

     ถ้าหากเขากล่าวออกมาสัก 2-3คำ อาทิเช่น ” อุลตร้า ไฟพาวเวอร์ ”

     มันจะทำให้พลังป้องการของเขาสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งไม่มีใครจะรู้เลยว่าเขานั้นได้รับพลังนั้นมาจากชุดเกราะที่เขาสวมใส่อยู่  ด้วยพลังโจมตีที่สูงที่สุดในหมู่ตัวละครในเรื่อง ทำให้เขาบดทำลายศัตรูอย่างซึ่งๆหน้า หรือถ้าจะให้พูดล่ะก็ เขาจัดการกับเหล่าศัตรูต่างๆด้วยพลังกายเพียงเพียวๆ นั้นคือสไตร์การต่อสู้ของเขา

     แต่ช่างน่าเศร้า ในฉากสุดท้ายของเรื่อง วินเซ็นท์ได้กลายมาเป็นตัวร้ายที่จะต้องสู้กับปาร์ตี้ของเหล่าตัวเอก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ใช่ลาสบอส ด้วยพลังของเขาที่เป็นของจริงและในตอนที่การป้องการของปาร์ตี้พระเอกอ่อนแอลง พระฮิวหรือใส่เกราะช้าไปสักนิดล่ะก็. . .  เวลาเพียงแค่เสี้ยววิก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาถูกสังหารทันที

     และไม่เหมือนกับฮาโรลด์ วินเซ็นท์นั้นได้รับความนิยมอย่างมากจากเหล่าผู้เล่น เมื่อมาคิดๆดูเกี่ยวกับเหตุผลที่วินเซ็นท์ต้องมายืนขวางในเส้นทางของปาร์ตี้พระเอกและความรู้สึกของวินเซ็นท์ในตอนนั้นเองแล้ว “ไม่ใช่ว่าคนๆนี้กำลังทุกข์ทรมานอยู่หรอกรึ” ผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างเห็นอกเห็นใจเขา

แม้กระทั้งคาซูกิเองก็ไม่ได้เกลียดวินเซ็นท์

     อาจเพราะตอนนี้คาซูกิได้กลายมาเป็นฮาโรลด์ จู่ๆคาซูกิก็เกิดจินตนาการถึงการดวลกันระหว่าง ฮาโรลด์ vs วินเซ็นท์ ที่มันเป็นไม่เคยเกิดขึ้นในเนื้อเรื่องของเกมส์ และเขาเริ่มที่จะคิดว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้ฮาโรลด์สามารถเอาชนะได้

     อีกฝ่าย ผู้ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของพลังเพลิง และอีกคน ผู้อยู่บนจุดสูงสุดด้านความเร็ว

ถ้าหากเขาปะทะกับวินเซ็นท์ตรงๆแล้ว สำหรับฮาโรลด์คงมีแต่เสียเปรียบ และถ้าหากเขาเอาแต่ตั้งรับการโจมตีของวินเซ็นท์ตรงๆ เขาคงต่อสู้ยื้อไว้ได้ไม่นานหรอก

     แบบนี้คงต้องอาศัยการเคลื่อนที่ไปโดยรอบๆ ถ้าเป็นฮาโรลด์ผู้ที่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมเรื่องความเร็วในการโจมตีและการพลิกแพลงต่างๆ คาซูกิคิดว่าวิธีนี้แหละที่จะสามารถทำให้เขาพอจะทัดเทียมกับวินเซ็นท์ได้

     ตลอดเวลาตั้งแต่ตัวเกมส์ถูกปล่อยออกมา รูปแบบการต่อสู้ของเกมส์ [ Brave Hearts ] มันเป็นเพียงแค่ 2 มิติเท่านั้นเหมือนดั่งเกมส์ต่อสู้ทั่วๆไป ในการต่อสู้ในรูปแบบ 3 มิตินั้นไม่เคยมีมาก่อน และอีกอย่าง ผู้เล่นนั้นไม่เพียงแค่จะควบคุมตัวละครหลักของพวกเขา แต่มันยังรวมไปถึงการให้รายละเอียดคำสั่งกับตัวละครในปาร์ตี้อีกด้วย และนั้นมีความสำคัญมาก เพราะสิ่งนี้จะแสดงถึงว่าผู้เล่นนั้นจะสามารถทำคอมโบได้สูงแค่ไหนในการโจมตี

     ถึงแม้มันจะเป็นความสามารถขั้นสูง แน่นอนว่าคาซูกิสามารถทำได้ เผลอๆเขาอาจทำได้ถึง 80 คอมโบเลยทีเดียว

     แต่ว่าการทำ 80 คอมโบก็ยังไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรถ้าหากใช้คนในปาร์ตี้ 4 คนช่วยกัน และแม้ว่าความสามารถของตัวละครศัตรูนั้นจะถูกตั้งค่าไว้ในระดับสูงเพียงใด แต่ว่ามันก็เป็นเพียงแค่ศัตรูคนเดียว ซึ่งคาซูกิสามารถทำคอมโบมากกว่า 30 คอมโบอย่างง่ายดายในตัวละครพระเอก ยิ่งถ้าหากเขาส่งศัตรูขึ้นไปในอากาศได้ล่ะก็ ตราบเท่าการทำคอมโบไม่ถูกรบกวนโดยการโจมตีสมาชิกในตี้คนอื่นๆ เขาสามารถที่จะทำให้ศัตรูกลายเป็นกระสอบทรายโดนอัดอยู่กลางอากาศจนพลังชีวิตเกลี้ยงได้เลย

     และนี้คือสิ่งที่ฮาโรลด์จะสามารถเอาชนะวินเซ็นท์ได้ เขาเพียงแค่ต้องคอยหลบการโจมตีหรือสิ่งอื่นๆให้ดี และ มันจะยิ่งง่ายเลยถ้าหากเขาได้เปิดก่อนและทำคอมโบอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ก็นะ ถ้าหากเขาทำแบบนั้นได้จริง ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร หากเปิดก่อน . . เขาจะไม่มีทางแพ้ หรือในอีกความหมาย ถ้าหากเขาทำไม่ได้อย่างที่คิด การที่จะเอาชนะวินเซ็นท์ในการต่อสู้ 1-1 คงจะเป็นเรื่องยาก

 

“แล้วมันจะเป็นอย่างไรถ้าหากมีตัวละครแบบนี้เป็นคู่ต่อสู้ล่ะ” 

 

     คาซูกิเริ่มที่จะคิดเกี่ยวกับการต่อสู้ของฮาโรลด์ vs กับตัวละครอื่นๆที่ไม่สามารถเป็นไปได้ เขาจินตนาการถึงภาพการต่อสู้ และเริ่มค้นหารูปแบบที่จะเอาชนะ เพราะคนที่จะมีความสุขกับเรื่องแบบนี้ได้นั้น ก็คงมีแบบคาซูกิเท่านั้นที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของเกมส์ๆนี้

     ในขณะที่ฟุ่งซ่านคิดถึงเรื่องต่อสู้ แม้ในระหว่างทานอาหารเย็น เขาก็ยังคงอ่านหนังสือเล่มนี้ไปด้วย และในที่สุดเขาก็อ่านหนังสือนี้ที่มีมากกว่า 100 หน้าจนจบ ซึ่งกว่าจะจบนั้นมันก็ดึกมากแล้ว ขณะปิดหนังสือลง เขาถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “เฮ้อมันช่างเป็นการอ่านที่คุ้มค่าจริงๆ”

เมื่อเขายืนยันเวลา ณ ตอนนี้ รู้ตัวอีกทีมันก็เลยเข้าสู่วันใหม่เสียแล้ว

 

“เมื่อผมตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้ ผมจะหาหนังสือเกี่ยวกับทักษะดาบมาอ่านต่อดีกว่า” 

 

     มันคือสิ่งที่เขาคิดก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

และในขณะนี้ คาซูกิได้นึกอะไรขึ้นได้

 

(อ้า ผมดันกลับมาโดยทิ้งดาบไว้ในป่าซะได้ . .  )

 

     หลังจากวิ่งกลับมาอย่างเร่งรีบ และหมกตัวตั้งใจอ่านหนังสือตั้งมาโดยตลอด ในที่สุดเขาก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมดาบทิ้งไว้

     ถ้าจูโนะสังเกตเห็นมันคงจะต้องเอามากลับมาคืนแล้ว แต่ว่าจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้เข้ามาพบผม ดังนั้นดาบนั้นต้องยังคงปักอยู่กับต้นไม้จนถึงตอนนี้แน่นอน

     แต่พอคาซูกิมาคิดดีๆ ถ้าหากผู้หญิงธรรมดาๆที่เป็นเพียงแค่ผู้ดูแลกำลังถือของอันตรายอย่างดาบจริงโดยไม่เต็มใจนัก มันจะเป็นจุดสนใจขนาดไหน และที่สำคัญ เธอเองก็ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนโดยถืออาวุธไปรอบคฤหาสน์ได้ง่ายๆหรอกนะ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้แจ้งคนอื่นๆในคฤหาสน์เกี่ยวกับสถานที่ที่ดาบคงอยู่ คงเพราะเธอไม่อยากที่จะถูกสงสัยโดยไม่จำเป็นว่าทำไมเธอถึงไปอยู่ในสถานที่แบบนั้น ดังนั้นเธอจึงทิ้งดาบนั้นไว้ดังเดิม

     เขาได้แอบตรวจสอบสถานที่โดยรอบโดยมองผ่านทางหน้าต่าง มันมีเพียงแสงดาวมากมายที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี และ ดวงจันทร์ที่สุกสกาวส่องสว่างผ่านหมู่เมฆที่บดบัง

     ณ ลานกว้าง แสงจันทร์คืนนี้มันส่องสว่างกว่าปกติเกือบ 2 เท่า สำหรับคาซูกิ มันสว่างมากพอที่จะเดินท่ามกลางราตรีนี้โดยไม่ต้องใช้ไฟอื่นๆ

“เอาเถอะ ยังไงก็ต้องไปเอา” เมื่อคิดได้ดังนั้นคาซูกิจึงลุกขึ้น 

     ในเมื่อมันคือดาบจริง และมันเป็นอาวุธที่ถือว่าร้ายแรง จากความรู้สึกของเขาที่เป็นคนญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาไม่สามารถที่จะทำใจเย็นโดยทิ้งไอ้ของอันตรายพันธุ์นั้นไว้ข้างนอกได้หรอก และในเมื่อดาบนั้นจะเป็นของคาซูกิ(ฮาโรลด์) มันอาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งเขาไม่อยากที่จะรับผิดชอบใดๆเกี่ยวกับมันอีก

     เขาออกจากคฤหาสน์โดยไม่ให้เกิดเสียงรบกวน ซึ่งตอนนี้มันเงียบมากเพราะผู้คนส่วนใหญ่ได้หลับลงแล้ว 

     เขาได้ผ่านห้องโถงขนาดใหญ่ และผลักประตูให้เปิดกว้างออกซึ่งให้ความรู้สึกอย่างมีเกียรติ ก่อนที่จะก้าวออกไปยังด้านนอก

     มันก็สว่างดังที่คาดไว้ เขารู้สึกโล่งใจที่มันเป็นดั่งที่คิดไว้นั้นเพราะ ถ้าหากจะเข้าไปในป่าตอนนี้คงจะปลอดภัยแน่นอน แม้ว่าจริงๆแล้วมันจะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามอนเตอร์อยู่ที่นั้นหรอก แต่ว่ามันก็จำเป็นต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่จะเข้าไปในป่ามืดทึบแบบนั้นได้ 

ดังนั้น เขาคิดว่าคงรีบเข้าไปดีกว่า ก่อนที่เมฆจะมาบดบังดวงจันทร์

     ด้วยการก้าวขาเร็วกว่าปกตินิดหน่อย เขามุ่งตรงออกจากคฤหาสน์ไปยังส่วนหลังของคฤหาสน์ และเมื่อใกล้ถึงส่วนของแปลงดอกไม้ทางตะวันตกเฉียงใต้ของคฤหาสน์ ที่ซึ่งอยู่ในทิศตรงข้ามของห้องใต้ดิน แปลงดอกไม้แห่งนี้มันกว้างใหญ่พอๆที่จะเรียกว่าทุ่งดอกไม้เลยทีเดียว ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์กำลังปลิวไสวภายใต้ลมที่พัดอย่างอ่อนโยน

     คาซูกิหยุดขาของเขาลง ในที่นี่ปรากฎร่างของเอริกะที่ยืนแน่นิ่งจ้องมองแปลงดอกไม้แห่งนั้น คำถามแรกได้แว็บเข้ามาในความคิดของเขา “หือ? เธอไม่เป็นอะไรแล้วรึ?” แม้ว่าเธอจะได้พักรักษาตัวมาเป็นเวลา 2 สัปดาห์เต็ม แต่ว่าอากาศในค่ำคืนนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไรสำหรับร่างกายที่อ่อนแอแบบนั้น

     เขากังวลแบบนั้นจริงๆ แต่ว่ามันเป็นเพียงแค่ความกังวลในแบบผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก 

เพราะเขาต้องการที่จะให้เธอกลับไปยังห้อง เขาจึงเรียกเธออย่างไม่ลังเลด้วยถ้อยคำที่ดุร้ายที่มักใช้อยู่เป็นประจำแบบเดิมเสมอ โดยที่เขานึกไม่ถึงเลยว่า สิ่งนี้มันจะกลายมาเป็น 1 ในเหตุผลที่ทำให้เนื้อเรื่องเดิมเปลี่ยนไปและส่งผลต่อแผนของเขา

     ถ้าหากย้อนกลับมาในเวลานี้ได้ คาซูกิคงจะไม่เรียกเอริกะ แต่ว่าไอ้ของขี้โกงเถือกนี้คงเป็นไปไม่ได้หรอก และมันอีกหลายปีต่อจากนี้ กว่าที่คาซูกิจะหันกลับนึกถึงเวลานี้ ที่ๆเขารู้สึกว่ามันคือจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

เอาเถอะ มันยังไม่ใช่ตอนนี้

 

[ นั้นเธอกำลังทำอะไรในเวลาแบบนี้ ฮึ ? ]

 

     และด้วยเสียงที่เรียกออกมานั้น หัวไหล่ที่ผอมบางของเอริกะถึงกับกระตุก เธอหันกลับมาอย่างกล้าๆกลัวๆ และสะดุ้งเฮือกเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือฮาโรลด์จริงๆ

     สำหรับปฎิกิริยาแบบนี้ เธอไม่เคยที่จะแสดงท่าทีแบบนี้มาก่อนเลยซักครั้ง ซึ่งคาซูกิรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่แปลกๆไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรกับมันนักและลดระยะห่างระหว่างทั้ง 2 ด้วยการก้าวที่แน่วแน่

 

[ ข้าได้ยินมาว่าเธอได้แต่นอนอยู่บนเตียงช่วงนี้ คงเพราะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหรนัก แต่ว่า พอได้เห็นเธอที่มายืนตรงนี้ท่ามกลางอากาศกลางดึก . .มันทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่า เธอมันเป็นไอ้ปัญญาอ่อนคิดไม่เป็นหรือไงกันนะ ]

 

” ผมว่า . . เธอออกมาไกลเกินนะ ” นั้นคือสิ่งที่คาซูกิคิด แต่ก็ดีแล้วที่ประโยคต่อมาไม่ใช้แบบว่า ” ผมหนะ ,มะ. มันไม่ใช่ว่าผมจะเป็นห่วงอะไรเธอหรอกนะ !? ” เพราะสำหรับฮาโรลด์ในเกมส์นั้น เขาเป็นไอ้สวะโดยแท้ ไม่มีแม้จะสักนิดหรอกของคำว่าซึนเดเระ เขานั้นเลวโดยธรรมชาติ และนั้นคือสิ่งที่ฮาโรลด์เป็น(ในเกมส์)

แม้ว่าคาซูกิเองก็ไม่เคยต้องการที่จะเปลี่ยนฮาโรลด์เป็นหนุ่มซึนเลยซักนิดเหมือนกัน

เพราะแค่เขาคิดถึงมัน . . ขนหัวก็ลุกแล้ว

 

[ . . . . ]

[ อย่ามัวยืนนิ่ง กลับห้องของเธอไปซะ แต่ข้าว่ามันคงจะดีกว่าถ้าหากเธอกลับบ้านของเธอไปซะ จะได้หมดๆเรื่อง]

 

     แม้ว่าคำพูดเหล่านี้มันไม่ค่อยจะแสดงถึงความเป็นกังวลใจออกมาเลย มันออกจะแนวๆด่าทอเธอด้วยซ้ำ แต่เอริกะก็ยังคงยืนก้มหน้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับอะไรเลยซักนิด

 

[ . . .  อย่ามัวแต่เงียบ พูดอะไรหน่อยสิเห้ย ]

 

     ปากของฮาโรลด์นั้นเริ่มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เอริกะก็ยังคงเงียบอยู่ดังเดิม แต่ว่า เดิมที เอริกะนั้นเป็นเด็กที่พูดจารู้เรื่องเชื่อฟัง เพราะงั้น ถ้าหากเขายังพูดอะไรมากไปกว่านี้ มันคงจะเป็นการทำร้ายเธอผู้ซึ่งไม่แม้จะขัดขืนอะไรอยู่ฝ่ายเดียวปล่าวๆ เมื่อตัดสินใจได้แบบนั้น คาซูกิจึงจบการสนทนานี้

     ที่เธอเป็นแบบนี้นั้นคงเพราะเธอยังเด็กมาก ไม่เหมือนกับช่วงตอนในเกมส์ และเธอไม่กล้าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมากับบุคคลตรงหน้าที่เธอไม่ชอบหน้านี้ได้หรอก 

เอาเถอะ บางที ในตอนที่เธอใจเย็นลงแล้ว เธออาจจะเข้าใจในสิ่งที่คาซูกิพยายามจะสื่อหลังจากที่เขาจากไปแล้วก็ได้มั้งนะ 

 

[ ชิ เอาเถอะ ถึงเธอจะอาการแย่ลงไปกว่านี้ ข้าก็ไม่สนใจหรอก ]

 

     และในตอนที่คาซูกิ(ฮาโรลด์)กำลังจะทิ้งเธอไว้หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้น มันเป็นคำพูดที่ใครสักคนมาได้ยินคงอยากจะถามว่าทำไมถึงพูดแบบนั้นออกมา

แต่ว่า แทบจะในทันที เอริกะได้พูดหยุดเขาขึ้น

 

[ . . . กรุณารอเดี่ยวค่ะ ]

[ อะไร? ]

[ ดิฉันมีบางอย่างที่อยากจะถามค่ะ ]

 

     น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ แต่ว่าเธอก็ปรับอารมณ์ให้กลับมาดั่งเดิมในทันที และจ้องมองมายังฮาโรลด์ เมื่อคิดถึงเกี่ยวกับคำถามที่ทำให้เธอต้องหยุดเขาเพื่อถามมันอย่างกะทันหัน คาซูกิได้แต่เอียงคอสงสัยอยู่ภายในใจ

และสิ่งที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้นก็ถูกทำให้กระจ่างในประโยคถัดไปที่เธอกล่าวออกมา

 

[ เรื่องข่าวลือ . . ที่ท่านเผาคนรับใช้จนตายมัน . . เป็นเรื่องจริงรึคะ ? ]

( อ่า , เรื่องนี้เอง )

 

คาซูกิยังคงใจเย็นกับคำถามของเอริกะ เขาไม่ได้ตื่นตระหนกหรือกระวนกระวายใจแต่อย่างใด

     นี่เพราะมันผ่านมาแล้ว 2 อาทิตย์ ตั้งแต่เขาได้เป็นไกด์ให้กับเอริกะ แต่ว่าดูจากเวลาแล้วเขารู้สึกว่ามันค่อนข้างเร็วเกินไปที่ข่าวลือจะแพร่กระจายไปทั่ว แต่พอมาคิดๆดูแล้วในเมื่อคาซูกิและพ่อแม่ของเขาก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เรื่องนี้คงไม่แปลกอะไร

และสำหรับคำตอบนั้น เขาก็ได้คิดคำตอบสำหรับเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว

 

[ ไม่ ! , เธอผิดแล้ว ]

[ สะ , แสดงว่า . . . ! ]

 

     เมื่อฮาโรลด์ปฎิเสธมันอย่างเด็ดขาด เอริกะถึงกับก้าวเข้าหาเขาด้วยอารมณ์แสดงถึงความดีใจอย่างที่สุด

     ภาพของเด็กสาว ที่ดูราวกับว่าเธอได้ค้นพบเส้นใยแห่งความหวัง แต่มันก็ถูกผลักลงสู่ก้นเหวอเวจีโดยคาซูกิ(ฮาโรลด์)ในประโยคถัดไป

 

[ ข้าฆ่าคนรับใช้และลูกของเธอ , 2 คนต่างหาก แต่ไม่ว่าจะมีสักกี่คนที่ถูกฆ่า มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันหรอกจริงมั้ย ]

 

     จากความปิติยินดี ดวงตาของเอริกะถึงกับเบิกกว้าง . . มันหักมุมซะจน 180 องศา ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินบางสิ่งที่เธอไม่อยากจะเชื่อ . . ไม่สิ ดูเหมือนว่าเธอจะมาได้ยินบางสิ่งที่เธอไม่ต้องการที่จะเชื่อมันต่างหาก

 

[ ทำไมกัน . .  ? มีเหตุผลอะไรถึงต้องทำเรื่องแบบนั้นกัน . .  . ]

 

เศร้าโศก , โกรธ , สิ้นหวัง

     อาจเพราะหลายๆสิ่งเหล่านี้ได้เดือดขึ้นอยู่ภายในใจ เอริกะพยายามเค้นหาแรงจูงใจของฮาโรลด์

แต่ว่า . . คำพูดที่ตอบกลับมาจากเขานั้น มันเป็นเพียงสิ่งที่บดขยี้หัวใจของเธอจนแหลกละเอียด

 

[ ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรหรอก ถ้าจะให้ข้าพูด . . มันเพราะแม่นั้นทำให้ข้าหงุดหงิด ]

 

     ฮาโรลด์กล่าวออกมาอย่างหน้าตาเฉยว่าเขาฆ่าเธอเพราะเขาแค่ไม่พอใจหญิงรับใช้คนนั้นนิดหน่อย

เอริกะนั้นไม่เข้าใจเลยสักนิด ในเมื่อมันเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แค่นี้ก็ทำให้เขาพรากชีวิตคนอื่นง่ายๆเลยหรือ

ในฐานะมนุษย์แล้ว เหตุผลนั้น “มันไม่มีทางยอบรับได้” ในพื้นฐานทางความคิดด้วยซ้ำ

 

[ มัน 2 ตัวก็ไม่มีค่าอะไรต่างไปจากพวกสัตว์ จริงแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ข้านะ ว่าจะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อหรือฆ่าพวกมัน ,อยู่ที่ข้าจะกรุณาหรือไม่นั้นแหละ จริงมั้ย? ]

[ . . .  แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ! ]

[ และในเมื่อเด็กนั้นไม่ควรที่จะถูกทิ้งไว้ในโลกนี้เพียงลำพัง ข้าก็เลยแสดงความเมตตาโดยการฆ่าพวกมันทั้งคู่ เหอะ จริงๆแล้วแม่หญิงรับใช้นั้นต้องขอบคุณข้าด้วยซ้ำ ]

[ หยุดซักที , ได้โปรด . . . ! ] 

[ เอาเถอะ ยังไงพวกมันก็เป็นเพียงพวกชั้นต่ำ ตั้งแต่พวกมันเกิดมาในโลกนี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าอิสระ- ]

 

เพียะ- 

มันคือเสียงที่ดังขึ้น

มันเกิดจากฝ่ามือของเอริกะและแก้มของฮาโรลด์ 

คำแถลงที่กล่าวถึงการเลือกปฎิบัติต่อผู้คนผู้ซึ่งไม่ใช่สายเลือดขุนนางว่าเป็น “พวกชั้นต่ำ”

สิ่งนี้ทำให้ความอดทนของเอริกะถึงขีดสุด

     มือของเธอ ที่เหวี่ยงออกไปด้วยความโกรธ และดวงตาที่ตอนนี้เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา 

มันเป็นสายตาที่แสดงถึงความรังเกลียดต่อฮาโรลด์ 

สำหรับเอริกะแล้ว นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ที่ทำให้เธอพูดคำหยาบออกมา

 

[ นายมันเลวที่สุด!! ] (TL: นี้หยาบแล้วหรอ)

[ เรื่องอะไรรึ ? ]

 

ราวกับว่าเขาไม่ได้สำนึกอะไรเลยซักนิด เขายังคงสวมรอยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ใครได้เห็นก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกมองเป็นไอ้โง่

“ทั้งฆ่าคน , ถูกกล่าวหาว่าเป็นไอ้เลว , เรื่องพวกนี้นี้ไม่ได้ใกล้กับสิ่งที่คาซูกิกังวลเลย เรื่องพวกนี้สำหรับเขามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย” นั้นคือความหมายของรอยยิ้ม ณ ตอนนี้

ราวกับเอริกะตระหนักถึงว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถเอาชนะการโต้เถียงกับคนๆนี้

 

[ . . . ดิฉันไม่มีอะไรที่จะพูดกับคุณอีกแล้วค่ะ ]

[ ฮ่า นั้นมันเป็นข่าวดี ]

[ ดิฉันขอตัวก่อนค่ะ ]

 

ขณะที่เขากำลังมองแผ่นหลังของเอริกะที่เริ่มจะห่างออกไป ที่แก้มซ้ายของเขาที่ถูกตบก็เริ่มที่จะเจ็บแสบขึ้นมาสักหน่อยแล้ว

แม้ว่าคาซูกิเองก็มีเหตุผลจำเป็นที่จะผลักไสเธอออกไป แต่กระนั้น การที่ถูกแสดงความรังเกลียดโดยตรงแบบนี้ มันช่างเป็นสิ่งที่เจ็บปวดจริงๆ

 

( คุณอย่าได้คิดว่าฉากนี้มันคือ “รางวัล” หรอกนะ)

 

     “ผมต้องขอโทษด้วยสำหรับแฟนคลับคลั่งบางส่วน ไม่ว่าคุณจะคิดเกี่ยวกับฉากนี้อย่างไรก็ตาม แต่อย่างน้อยคุณคงได้สะใจกับฉากอยู่บ้างหรอกนะ ”  คาซูกิได้แต่ถอนหายใจออกมา

     อืม มันคงจะช่วยไม่ได้ถ้าเขาจะรู้สึกหดหู่ “แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะถูกตบโดยเอริกะที่อายุ 18ปี ” เพราะถ้าหากถูกตบโดยเอริกะ ผู้ที่เติบโตและมีประสบการณ์การผจญภัยแล้วนั้น มันคงจะไม่ได้มีเพียงแค่แรงเพียงอย่างเดียวแบบนี้แน่ๆ  

อย่างน้อยเขาก็ยังคงมองในแง่ดีไว้อยู่

 

[ อย่าได้สั่นคลอน ถ้าหากนายยังไม่สามารถรับเรื่องเพียงแค่นี้ได้ การที่จะอยู่รอดในอนาคตนั้น. . . .  .คงไม่มีทาง . . ]

 

การพึมพัมที่ลอยหายไปกับสายลมนี้

มันเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจตัวเองเพื่อให้สู้ต่อไป . .