หลังจากตอนนั้น คาซูก็ไปเก็บดาบกลับมาอย่างเงียบๆและกลับไปยังห้องของเขา อาจเพราะสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายอยู่ในใจ มันเลยทำให้เขาไม่สามารถนอนหลับลงได้

     หลังจากพลิกไปพลิกมาบนเตียงอยู่ตลอด ในที่สุดเขาก็เริ่มง่วงซักทีถึงแม้มันจะใกล้เช้าแล้วก็เถอะ เมื่อหยี่ตามองดูท้องฟ้าที่เริ่มจะสว่างขึ้นทีละนิดทีละนิด ในหัวของเขาพลางคิดแต่เพียงว่า” อีกนิดๆเท่านั้น ” ในที่สุดเขาก็จมดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งนินทรา

     ดูเหมือนว่าเหวรอบนี้จะลึกไปหน่อย นั้นเพราะกว่าคาซูกิลืมตาตื่นขึ้นมา มันก็เลยเวลาเที่ยงไปเรียบร้อยแล้ว เขาลุกขึ้นและลากร่างที่หนักอึ้งของเขาออกจากเตียง สงสัยเป็นเพราะบาดแผลจากเมื่อวานจะยังคงหลงเหลืออยู่

 

( มันไม่ได้เป็นเพราะร่างกายสินะ )

 

     ถึงเขาจะถูกตบแก้มโดยเอริกะ แต่ทางร่ายกายนั้นมันไม่ได้ยังคงเจ็บปวดอะไร ความเจ็บปวดนั้นมันยังคงหลงเหลืออยู่ภายในร่างของเขานั้นคือภายในจิตใจ

     แม้ว่ามันจะผ่านไปแล้วค่ำคืนหนึ่ง แต่หัวใจของเขาก็ยังคงเจ็บปวดต่อบาปที่ทำให้เด็กสาวตัวเล็กๆต้องร้องให้

     ก็นะ ต่อให้ปากของเขาถูกฉีก มันก็ไม่มีทางที่เขาจะยอมพูดว่า “ข้าไม่ได้ฆ่าพวกมัน” เพราะสิ่งที่ทำนั้นมันไม่ได้ปกป้องเพียงตัวเขาเองแล้ว มันยังปกป้องตัวของเอริกะเองด้วย

 

[ ชิ ไร้ค่าเสียจริง ]

 

     ขณะที่อยากจะพึมพัมออกมาว่า ” มันช่วยไม่ได้เนาะ ” พลางถอนหายใจออกมา แต่ทว่ามันกลับไม่ได้รับอนุญาติจากปากของฮาโรลด์ คาซูกิได้แต่ชื่นชมจิตใจที่ไม่เคยจะสั่นคลอนของฮาโรลด์ อาจเพราะโดยพื้นฐานแล้ว ฮาโรลด์นั้นเป็นคนที่ทนงตัวอย่างแท้จริง

     ตราบเร็วที่สุดที่เขายืนขึ้น ท้องของเขาที่ขาดอาหารเช้าและอาหารเย็นก็แสดงถึงความหิวโหยออกมา แต่ว่าการที่จะจัดการหัวให้โล่งหลังจากที่ตื่นขึ้นมานั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะอาบน้ำก่อน

     อย่างไรก็ตาม มันไม่มีอ่างอาบน้ำในคฤหาสน์สโตร์ก คงเพราะที่นี่ไม่มีวัฒนธรรมการอาบน้ำด้วยอ่างนั้นเอง

     มันก็เกือบจะ 4 เดือนแล้ว ที่เขาได้กลายมาเป็นฮาโรลด์ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เขาเคยแช่อ่างเพียงแค่ตอนพักอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ซูเมะรากิ และนั้น อ่างอาบน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนอ่างอาบน้ำของคนญี่ปุ่น มันถูกติดตั้งไว้กลางแจ้งและสิ่งนี้มันเกินกว่าที่จะเรียกว่าอ่างอาบน้ำไปไกลโข มันหรูหราจนควรจะเรียกว่าบ่อน้ำพุร้อนได้เลย เขาได้แต่สาบานอยู่ภายในใจว่าถ้าเขาได้มีโอกาสได้ใช้มันอีกสักครั้ง เขาจะต้องยืนยันมันให้ได้เลยว่ามันเป็นบ่อน้ำพุร้อนจริงๆหรือปล่าว

     ขณะที่กำลังถูกความอยากที่จะแช่อ่างครอบงำ คาซูกิผู้ซึ่งเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จก็มุ่งตรงไปยังห้องอาหารเพื่อที่จะจัดการกับความหิว

     ในระหว่างทาง เขาได้พบกับจูโนะผู้ที่กำลังเดิมาจากทิศทางตรงกันข้ามของทางเดิน

เธอหยุดและโค้งหัวให้กับเขา แต่มันไม่มีเหตุจำเป็นอะไรสำหรับคาซูกิที่จะพูดคุยกับจูโนะที่เป็นเพียงแค่ผู้ดูแล

     แต่ทว่า ภาพใบหน้าของเอริกะที่กำลังร้องให้ได้แว๊บเขามาในหัวเขา ในตอนนั้นมันทำให้คาซูกิตระหนักขึ้นได้ ในที่สุดคาซูกิจึงถามจูโนะเกี่ยวกับอาการของเอริกะ

 

[ สภาพร่างกายของยัยจอมอ่อนแอนั้นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ? ]

 

     ในมุมของฮาโรลด์ ที่จริงเอริกะได้เปลี่ยนคลาสตัวเองจาก”ยัยไข่ในหิน”มาเป็น”ยัยจอมอ่อนแอ”มาก่อนที่เขาจะรู้มาซะอีก

แต่เรื่องที่เขานั้นกังวลเกี่ยวกับเธอ มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

 

[ อ่าค่ะ ดูเหมือนว่าวันนี้ร่างกายของคุณหนูจะแย่ลงกว่าเดิมอีกค่ะ~ อย่างที่ท่านฮาโรลด์กล่าว มันคงจะดีกว่าถ้าหากพาเธอกลับไปยังดินแดนซูเมะรากิ บางที่อาการของเธออาจจะดีขึ้นก็เป็นได้ค่ะ~ ]

 

     แม้ว่าคำพูดที่ฮาโรลด์ใช้เรียกเอริกะมันอาจจะฟังดูหมิ่นเกินไปหน่อย แต่เธอก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนการแสดงออกของเธอและมองข้ามไป อาจเพราะนี้เป็นเพราะความใจกว้างของเธอ 

     แต่พอมาคิดๆดูแล้วถ้าหากเธอโกรธขึ้นมาจริงๆ คาซูกิได้แต่แอบเช็ดเหงื่อเย็น เพราะภาพที่คิดออกมานั้นมันดูน่ากลัวพิลึก

     กลับมาเข้าเรื่อง เนื่องจากกำลังป่วยไข้เพราะมาอยู่แปลกที่แถมการอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเสียเวลาปล่าว ก็นะ ในตอนที่เอริกะเข้ามาพักอาศัยอยู่ที่นี่คาซูกิได้แต่ร้อนรนอยู่ภายในใจเพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขา เขาคิดว่าถ้าหากพวกเธอรีบกลับๆไป เขาถึงจะรู้สึกโล่งใจได้ เพราะเขากลัวความจริงเกี่ยวกับคลาร่าจะแตกซะก่อน และมันอาจไปถึงหูของพ่อแม่ของเขา

 

[ เอ่อคือว่า ท่านฮาโรลด์มีความรู้เกี่ยวกับอาการป่วยของท่านเอริกะบ้างหรือปล่าวคะ~? ]

[ คงจะรู้อยู่หรอกมั้ง ข้าไม่ใช่หมอนิ ]

 

โกหกเห็นๆ

     แม้เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับอาการป่วยของเธอตลอด 2 อาทิตย์ที่ผ่านว่า แต่ว่ามันไม่มีเหตุผลอย่างอื่นที่ร่างกายของเธอจะแย่ลงไปกว่าทุกวันที่ผ่านมานอกจากเรื่องของเมื่อคืน เพิ่มเติมในสิ่งที่คาซูกิไม่รู้อีกหน่อย เกี่ยวกับเหตุผลที่เธอล้มป่วยนั้นก็เพราะช็อคหลังจากได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือที่ว่าฮาโรลด์นั้นสังหารคลาร่าและลูกของเธอ หรือในอีกความหมาย อาการป่วยทั้งหมดเป็นเพราะคาซูกินั้นเอง

     แต่ถ้าคาซูกิรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะก็ จิตสำนึกในตัวเขาคงถูกเล่นงานหนักกว่าเดิมแน่ๆ เพราะคาซูกินั้นไม่ใช่พวกสวะที่มีรสนิยมมีความสุขบนความทุกข์ของเด็กสาวผู้มีอายุเพียง 10 ปี ซะหน่อย

ยิ่งความผิดปกติที่เกิดขึ้นในดินแดนของเธอ ครอบครัวของเธอกำลังวุ่นอยู่กับการหาวิธีรับมือกับมัน ซึ่งก็ได้ลองมันทุกวิธีแล้ว และในเมื่อยังหาทางออกไม่ได้ ประชาชนธรรมดามากมายก็ได้แต่ทุกข์ทรมาน พวกเขาจึงจำยอมรับการหมั้นอันเสียเปรียบที่ถูกตัดสินขึ้นอย่างกระทันหัน แถมคู่หมั้นยังเป็นคนประเภทที่ไม่แม้จะมองว่าประชาชนธรรมดานั้นเป็นมนุษย์เหมือนกันด้วยซ้ำ แถมเขานั้นยังฆ่าคนธรรมดาทิ้งได้อย่างหน้าตาเฉย เขาเป็นที่สุดแห่งความต่ำทรามที่เกินกว่าจะช่วยเหลือได้อีกแล้ว และในเมื่อสถานการณ์มันกลายมาเป็นเช่นนี้ เอริกะได้แต่แบกรับความเครียดมากมายอยู่ภายในเพียงคนเดียว

     เมื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมที่เธอต้องทิ้งไว้เบื้องหลังและสถานการณ์ปัจจุบันในความคิดของเธอ สำหรับสิ่งที่คาซูกิพูดออกมาแลกกับการตบไม่กี่ครั้งนั้นมันถือว่าถูกมาก

แต่ค่าตอบแทนการตบเหล่านั้น คือค่าความรักที่เอริกะมีต่อเขาลดต่ำถึงขีดสุดตามที่เขาต้องการ

 

[ น่าเสียดายจัง~ ทั้งๆที่ท่านสามารถสร้างยานั้นได้แท้ๆ ดิชั้นเผลอคิดไปว่าท่านจะมีความรู้เกี่ยวกับอาการป่วยซะอีกค่ะ~ ]

 

     จูโนะพยายามแอบล้วงข้อมูลอย่างอ้อมๆ เธอกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากเพราะเธอยังไม่กระจ่างเกี่ยวกับเรื่องตัวจริงของยานี้ได้เลย

     สำหรับคาซูกินั้น เขาไม่ได้รู้ถึงความตั้งใจจริงๆของจูโนะเลยซักนิด เพราะในหัวพลางแต่คิดว่า “อ้าวผมควรจะรู้มันงั้นรึ??” และมัวแต่ตกใจกับสิ่งที่คนอื่นประเมินในตัวของเขา

 

[ ถ้าหากเธอกังวลนัก กลับไปถามหมอประจำตระกูลให้มาดูอาการแม่นั้นสิ เพราะมัวแต่อยู่ที่นี่แบบนี้ มันก็เป็นเพียงการยืดเยื้อโดยปล่าวประโยชน์ ]

 

     มันไม่แปลกนักที่ตระกูลใหญ่อย่างซูเมะรากิจะมีหมอประจำตระกูลซัก 1 ถึง 2 คน ถ้าหากพวกเขายังกังวลที่จะให้เธออยู่ในดินแดนของพวกเขาต่อ ปัญหานี้แก้โดยง่ายเพียงแค่พวกเขาส่งเธอไปยังที่พักอาศัยสำรองหรือไม่ก็บ้านพักตากอากาศซักแห่งโดยที่มีหมอติดตามไปด้วยก็แค่นั้น

     แต่กลับไม่ทำแบบนั้น แถมยังมัวแต่ถ่วงเวลาอยู่ที่นี่อยู่แบบนี้ แม้ว่าคาซูกิจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเขานั้นมาที่นี้โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่าง แต่ว่าเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เป็นเป้าหมายของพวกเขานั้นคืออะไร

     วัตถุประสงค์ของจูโนะนั้น ถ้าจะให้บอกคล่าวๆก็คือ การตรวจสอบภายในของตระกูลสโตร์กและเบื้องหลังของฮาโรลด์ การตรวจสอบเรื่องราวในอดีตนั้นไม่ยากนัก นั้นเพราะตระกูลสโตร์กเป็นที่รังเกียจอยู่แล้ว ดังนั้นเหล่าคนรับใช้ต่างเปิดปากของเธอเขาอย่างง่ายดาย ที่เหลือก็แค่เล่นทำเป็นผู้ฟังที่ดีในขณะที่ปล่อยให้พวกเหล่าคนใช้พูดออกมาเอง และเธอก็ได้ข้อมูลที่เธอต้องการมาหมดแล้ว แต่เรื่องหลังนี้สิ การสืบเรื่องของฮาโรลด์เป็นไปอย่างยากลำบาก

     อย่างแรก บุคคลดังกล่าวนั้นเป็นที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมากและความสามารถในการตรวจจับสิ่งรอบๆตัวนั้นสูงลิบ เขานั้นสามารถตรวจจับการคงอยู่ของจูโนะและยังเตือนเธอตั้งแต่วันแรกที่เธอเริ่มตามสังเกตุฮาโรลด์ เพราะงี้มันจึงไม่มีทางที่เธอจะสามารถหาโอกาสเข้าใกล้ฮาโรลด์อีกได้

ดังนั้น มันจึงช่วยไม่ได้ที่เธอจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่

     เธอได้เบนเป้าไปหมายไปยัง 3 คนรับใช้ที่ไปๆมาๆรอบตัวของฮาโรลด์แทน แต่ทว่า พวกเขาทั้งหมดต่างหลบเลี่ยงการพบปะกับเธอกันหมด เหลือเพียงคนเดียว เซ็น คนที่ดูจะล้วงข้อมูลได้ง่ายที่สุดในทั้ง 3 คน แม้ว่าเขาจะพูดไม่หยุด แต่ว่า มันก็ยังห่างไกลกัข้อมูลที่เธอหวังไว้นัก

     แม้ดูเหมือนว่าการที่เขาเข้ามาพูดคุยกับเธอในเรื่องไร้สาระทุกๆวันนี้จะเป็นวิธีการพยายามปกปิดอะไรบางอย่างเพื่อให้เธอไม่ทันสังเกตุเห็น  แต่จูโนะรู้สึกว่าเขานั้นมีสติอย่างครบถ้วนที่จะคิดอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆที่เขาคายออกมา เพราะเหตุนี้จึงทำให้เธอไม่รู้ว่าควรจะเดินหน้าอย่างไรต่อดี ทั้งๆที่เรื่องราวต่างๆยังไม่ถึงคลี่คลาย เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เซ็นกำลังทำนั้นเป็นเพราะความจงรักภักดีหรือกำลังถูกข่มขู่หรืออะไรเถือกๆกันแน่

 

( จากรายงานที่ได้รับมาจากหน่วยสอดแหนม ดูเหมือนว่าเขาจะไปแถวๆพื้นที่การเกษตรบ่อยๆแหะ~. . )

 

     แม้ว่าเธอจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสายสืบที่ได้แทรกซึมเข้ามาในคฤหาสน์สโตร์ก แต่ว่าสิ่งที่ฮาโรลด์กำลังทำนั้นกลับยังไม่เป็นที่ล่วงรู้ แต่ที่รู้ๆนั้นดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามรวมกลุ่มเล็กๆของเหล่าชาวไร่ซึ่งการที่จะเข้าแทรกซึมนั้นทำได้ยาก

     เพราะถ้าหากจะให้พวกเขาแทรกซึมจริงๆล่ะก็ มันจำเป็นจะต้องระยะเวลาประมาณ 2-3 ปีเพื่อดำเนินการแผนการ และในกรณีนี้พวกเขาไม่ได้มีเวลาที่จะเตรียมการขนาดนั้น รึจะให้พูดง่ายๆก็คือการสืบข่าวครั้งนี้ถูกตัดสินขึ้นอย่างเร่งรีบโดนทาซูคุ

     หลังจากเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยนคำพูดกันอีก 2-3 ประโยค คาซูกิก็กลับมาเดินหน้าต่อ และสถานที่เดียวในคฤหาสน์แห่งนี้ที่ตระกูลสโตร์กใช้รับประทานอาหาร ซึ่งห้องแห่งนี้ตระกูลสโตร์กก็ได้ใช้รับประทานอาหารร่วมกับแขกที่มาพักเช่นกัน ห้องอาหารสุดหรูหราและเหล่าบริกรที่พร้อมบริการ

ใช่แล้ว คาซูกิกำลังจะไปกินข้าวนั้นเอง  

     โดยที่ไม่มีแม้จะเคาะประตูให้เสียเวลา เขาผลักประตูให้เปิดออกอย่างหยาบคาย ที่ซึ่งตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยบ่าย 2 กว่าแล้ว ดูเหมือนว่าพ่อและแม่ของเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่และเมดสาวที่ปกติคอยเสริฟอาหารนั้น ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ้าปูโต๊ะ

หญิงสาวคนนั้นตกใจที่จู่ๆฮาโรลด์ก็โผล่เข้ามา และเริ่มตัวสั่น

 

(ที่เธอตัวแข็งทื่อแบบนี้คงเป็นเพราะความกลัวและความงงงวยสินะ)

 

     แต่เดิมแล้ว ใครก็ตามที่รู้จักกับใบหน้าของฮาโรลด์ ไม่ว่าจะเป็น หญิงหรือชาย เด็กหรือแก่ พวกเขาทุกคนต่างหวาดกลัว ซึ่งคาซูกิก็จะทำแบบปกติอย่างเคยๆ คือปล่อยให้คนเหล่านั้นช๊อคต่อไป ขณะพลางคิดไปเรื่อย เขาก็นั่งลงตรงที่ๆเขาจะไม่ขวางการทำงานของเธอ

 

[ หลังจากเสร็จงานนั้น เข้าไปในครัวและเตรียมอาหารอ่อนๆมา เออใช่ เรียกนอร์แมนมาที่นี่ด้วย อย่าได้ชักช้าล่ะ ]

[ ค , ค่ะ!! ]

 

     หลังจากได้รับคำสั่ง เธอก็เปลี่ยนผ้าปูโต๊ะโดยไว และออกจากห้องทางห้องอาหารด้วยการเดินอย่างร้อนรน เหลือไว้เพียงแต่เสียงก้าวเท้าบนทางเดินที่เริ่มจะห่างออกไปเรื่อยๆ

     หลังจากนั้นไม่ถึง 10 นาที เธอก็กลับมาพร้อมกับอาหาร 

อาจเพราะกำลังติดงานบางอย่าง กว่านอร์แมนจะมาถึงนั้น คาซูกิก็รับประทานเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

[ กระผมขออภัยที่มาสายขอรับ ]

[ นั่งและรอซะ ]

 

     หลังจากโยนชิ้นขนมปังที่ยังเหลืออยู่เข้าปาก พร้อมกับเคี้ยวตุ้ยๆ พร้อมกับล้างปากด้วยซุบ มันดูไร้มารยาทเป็ยอย่างมาก แต่ในเมื่อในที่นี่มีเพียงแค่นอร์แมนแหละเมด เขาจึงไม่ได้สนใจอะไร

หลังจากเมดสาวได้เก็บโต๊ะและจานเรียบร้อย นอร์แมนได้กล่าวขึ้นหลังจากที่พวกเขาอยู่กัน 2-2

 

[ วันนี้ท่านตื่นสายนะขอรับ หรือว่าจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมา ? ]

[ นั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร ข้าแค่มีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ ]

[ ถ้ากระนั้น มันไม่เป็นอะไรนะขอรับ ]

[ อืม ก็เพราะมันนั้นแหละ ถึงทำให้ข้าปวดหัวอยู่นี่ ]

 

คาซูกิ(ฮาโรลด์)ถึงกับยกมุมปากของเขาขึ้น เมื่อได้เห็นการแสดงออกดังนั้น นอร์แมนจึงเข้าใจในทันที

 

[ เรื่องนี้คือเรื่องที่พวกเราขาดแคลนแรงงานสินะขอรับ ? ]

[ อืม พวกเราคุยกันไว้ว่าจะใช้คนภายนอกและขอความร่วมมือกับพวกเขา ถูกต้องมั้ย ? ]

[ นั้นคือแผนที่พวกเราควรจะทำจริงๆหรือขอรับ ]

[ ข้าเรียกแกมานี่เพื่อยืนยันว่ามันควรจะดำเนินแผนนี้จริงๆหรือไม่ ]

 

     โดยที่ไม่ใช้วิธีคลาสซิคอย่างการนับแกะ นั้นเพราะเขาคิดว่าเขาคงจะหลับลงได้ถ้าหากเขาเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีหาทางแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง แต่ก็ดันไม่เป็นไปดั่งเขาหวังไว้ เพราะนอกจากจะไม่ง่วงนอนเลยซักนิดจนถึงรุ่งสาง ในหัวของเขาตอนนี้ก็ดันเต็มด้วยวิธีการต่างๆเต็มไปหมด

     แม้ว่ามันจะฟังดูคุ้มค่าอยู่ที่อย่างน้อยเขาก็ยังนอนคิดอะไรเถือกนั้น แต่อย่างไรซะ มันก็เป็นเพียงความคิดของผู้เยาว์ แม้ว่าสิ่งที่คิดเหล่านี้มันจะใช้งานได้จริงหรือไม่นั้น เขาก็ไม่รู้คำตอบได้เลยจนกว่าเขาจะถามสิ่งนี้กับนอร์แมนหรือเจคเพื่อช่วยตัดสิน

 

[ อืม เกี่ยวกับเรื่องที่จะหาคนภายนอกมาร่วมมือนั้น มันจะเป็นไปได้รึไม่นั้นขึ้นอยู่กับเหล่าพ่อค้าหลังจากที่แสดงให้พวกเขาเห็นว่าการเพาะปลูกแบบ LP นั้นมีประโยชน์เพียงใด ]

 

     แม้ว่าคาซูกิจะไม่ค่อยมีความรู้และมั่นใจเกี่ยวกับการค้าขายนัก แต่เรื่องการเก็บเกี่ยวพืชผลของการปลูกแบบ LP นั้น มันหมุนเวียนในลักษณะวนเป็นวงกลม และเทคนิคนี้สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมากมาย ถึงแม้ขั้นตอนการเพาะปลูกจะใช้จำนวนเงินมากกว่าวิธีธรรมดาอยู่นิดหน่อย แต่ผลตอบแทนที่ได้นั้นมันมากมายกว่ามาก

     และในเรื่องของรสชาติก็ยังแตกต่างกัน เพราะความต่างนี้ทำให้พวกเขาเล็งเห็นว่ามันสามารถที่จะเปิดตลาดใหม่ได้เลย

     การขายเทคนิคการปลูกผักแบบ LP ให้แก่เหล่าพ่อค้าผู้ซึ่งในอนาคตคงจะเอามาขายต่อเหล่าเกษตกรอีกทอดหนึ่ง เหล่าชาวสวนคงจะยอมจ่ายค่าธรรมเนียมแก่เหล่าพ่อค้าเพื่อใช้ประโยชน์วิธีการปลูกผัก LP นี้ ซึ่งนี้จะเป็นวิธีการที่คาซูกิคิดขึ้นมาเพื่อแบ่งปันส่วนระหว่างพ่อค้าและคาซูกิ

     แต่ในระยะนี้ มันยังจำเป็นต้องชะลอการเก็บเกี่ยวไว้ในระดับต่ำ และนั้นชาวสวนคงต้องออกมาต่อต้านเป็นแน่ เพราะงั้น ถ้าหากกลุ่มการค้ายังไม่ใหญ่พอที่จะส่งคนตรวจตราได้อย่างทั่วถึง การควบคุมกำลังการผลิตคงเป็นไปได้ยาก

นอร์แมนจึงถามสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขาออกมา พลางชื่นชมแผนการณ์ของคาซูกิ(ฮาโรลด์)อยู่ในใจ 

 

[ ถ้างั้น แสดงว่าท่านมีใครอยู่ในใจรึปล่าวขอรับที่จะให้เป็นผู้นำกลุ่มการค้านี้ ? ]

[ ไม่ เพราะเรื่องนี้แหละ ข้าถึงอยากจะฟังความเห็นของแกกับเจคซะก่อน ]

[ ในเมื่อไม่มีคนกลาง ถ้าหากพวกเหล่าจู่ๆเสนอให้จัดตั้งกลุ่มการค้าขึ้น พวกเขาคงไม่ยอมรับเป็นแน่ แต่ว่าถ้าหากพวกพ่อค้าบริหารจัดการกันเอง แบบนั้นกำลังคนที่จะได้ดูแลคงไม่พอ . . .  ]

 

     ถ้าหากให้มีพ่อค้าคนกลางล่ะก็ พ่อแม่ของฮาโรลด์รู้จักหลายๆคนเลยเชียวลาะ แต่อย่างไรก็ตาม พวกคงทำให้การปลูกแบบ LP เป็นที่ล่วงรู้ไปทั่วแน่ และเมื่อคิดถึงสิ่งนั้น คาซูกิคิดว่ามันยังเร็วเกินไป

 

[ ถ้างั้น นี่ก็หมายความว่าตอนนี้พวกเรายังไม่สามารถหาทางที่จะจัดการปัญหานี้ได้สินะ ]

[ ขอรับ แต่กระผมคิดว่าการผูกสัมพันธ์กับเหล่าพ่อค้านั้นเป็นแผนที่ดีนะขอรับ ]

[ อืม ไว้พวกเราค่อยคุยแผนงานกันอย่างจริงจังอีกที อ้อ นำแผนนี้ไปบอกกับเจคด้วย ]

[ เข้าใจแล้วขอรับ ปัญหาเพียงอย่างเดียวตอนนี้ก็คือเราจะจำอย่างไรเพื่อที่จะหาพ่อค้าที่ไว้ใจได้สินะขอรับ ]

 

หลังจากนั้น ถึงพวกเขาทั้ง 2 จะยังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป แต่ว่ามันก็ไม่ได้ความคืบหน้าแต่อย่างใดเพิ่มเติม

 

—————————————————————–

 

      ขณะที่ทำเสียงอย่างมีชีวิตชีวา พลางขับรถขนส่งจากพื้นที่เพาะปลูกผ่านเข้าประตูคฤหาสน์ พูดคุยเรื่องไร้สาระกับเหล่าทหารที่ยืนเฝ้าประตู คนที่ขับรถเข้ามานั้นคือ เซ็น ผู้ที่ถูกฉาบด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างเบิกเบิน

     เซ็น ผู้ที่เสร็จสิ้นการซื้อสิ่งของบางอย่าง หลังจากเก็บสำภาระและนำรถม้าไปไว้ดั่งที่เดิมของมัน เขาก็มุ่งตรงไปยังห้องของฮาโรลด์ ถ้าหากคาซูกิ(ฮาโรลด์) ได้มาเห็นฉากนี้ล่ะก็คง เขาคงจะพูดว่า ” นี้มันเหมือนสุนัขเวลาวิ่งไปหาเจ้าของมันชัดๆ ” 

     แต่ว่าโดยส่วนตัวของเซ็นเองแล้ว ดูเหมือว่านเขาจะไม่สนใจคำด่าเหล่านี้หรอก ในขณะที่เขากำลังเดินตัวลอยเหมือนอย่างเคย ในที่สุดเขาก็มาถึงที่หน้าประตูเพื่อมารายงานผลหลังจากทำตามคำสั่งของเจ้าของห้องอย่างเคร่งครัด และเมื่อเขาได้เคาะประตูเพื่อตรวจดูว่าเจ้าของห้องอยู่ภายในรึไม่นั้น แต่ปรากฎว่าไม่มีใครตอบกลับมา

 

[ ท่านฮาโรลด์ ? ท่านอยู่รึปล่าวคร๊าบ? ]

 

     ถ้าหากเป็นคนรับใช้ทั่วๆไป พวกเขาคงจากไปแล้ว แต่สำหรับเซ็น ที่สนิทชิดเชื้อกับฮาโรลด์เป็นอย่างดี เขาจึงเปิดประตูและเข้าไปสอดส่องด้านใน

และก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ภายในห้องนั้นว่างปล่าว

     พลางคิดว่าจะกลับมาทีหลังในเมื่อฮาโรลด์ไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนนี้ คงเพราะตอนนี้คงกำลีงฝึกดาบอยู่เป็นแน่ ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นร่างเล็กๆคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ที่ทางเดิน ดูๆแล้วเจ้าของร่างเล็กๆนั้นกำลังเศร้าซึมอย่างที่สุด เพราะแค่เห็นภาพนั้นก็ทำให้ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เซ็นจึงพยายามกล่าวทักออกไปด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง

 

[ สวัสดีขอรับ ท่านเอริกะ ]

 

     เธอสะดุ้งเฮือกพลางหันกลับมาอย่างเชื่องช้า อาจเพราะรับรู้ว่าที่นี่นั้นมีเพียงเซ็นอยู่คนเดียวที่ส่งเสียงเรียกนั้นออกมา ดวงตาของเอริกะนั้นจึงเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อย 

 

[ อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณ . . . ]

[ อ่าา กระผมเซ็นขอรับ เอ๋ จูโนะซังไปใหนรึขอรับ ? ]

 

     อาจเพราะภาพของเอริกะที่ไปไหนมาไหนคนเดียวนั้นดูไม่เหมือนปกติ เขาจึงถามออกมา “ไม่สิ สงสัยพวกเธอคงทะเลาะกัน และนั้นจึงทำให้เธอเศร้าซึม” นั้นคือสิ่งที่เซ็นคิดเอาไว้ แต่ว่ามันกลับไม่ใกล้เคียงเลยซักนิด

 

[ เธอกำลังไปที่เมืองเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวน่ะค่ะ ]

 

     ถ้าหากจะให้กล่าวออกมาตรงๆ “จูโนะนั้นออกไปแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสายลับคนอื่นๆ ดังนั้นวันนี้จูโนะเธอไม่อยู่ค่ะ กว่าเธอจะกลับมาคงอีก 1-2 ชมได้ ”

อย่างไรก็ตาม เอริกะก็ไม่สามารถกล่าวออกมาแบบนั้นได้

 

[ อ้อ เป็นแบบนั้นนี่เอง แล้วทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะขอรับ . . . รึว่า ท่านมีธุระอะไรบางอย่างกับท่านฮาโรลด์งั้นรึ? ]

 

     ในเมื่อเธอมาอยู่ใกล้ๆห้องของฮาโรลด์ มันจึงไม่มีเหตุผลอื่นที่จะทำให้เซ็นหาความเป็นไปได้ข้ออื่น แต่ทันทีที่ชื่อของฮาโรลด์โผล่ขึ้นมาในบทสนทนา ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเอริกะจะยิ่งจมดิ่งยิ่งกว่าเดิม

ก็นะ เพราะคนๆนั้นคือคนสุดท้ายในโลกนี้ที่เธออยากจะพบ

     แต่ว่า เอริกะก็พลันนึกขึ้นได้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ ทำไมเขาถึงไม่มีความเป็นปรปักษ์ต่อฮาโรลด์เลยซักนิด หรือว่าคนๆนี้เขาไม่รู้เรื่องข่าวลือกัน ในเมื่อเอริกะคิดได้แบบนั้น เธอจึงถามออกเซ็นเกี่ยวกับมันทันที

 

[ คุณไม่รู้หรอกรึ ? ]

[ เอ่ออ. .  เรื่องอะไรรึขอรับ ? ]

[ เรื่องที่ท่านฮาโรลด์สังหารคนรับใช้โดยเวทย์มนตร์ของเขาค่ะ ]

[ ระ , เรื่องนั้น กระผมควรจะพูดอย่างไรดี . . . ]

 

     เวลานี้นั้น เซ็นได้แต่ยืนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก

     เมื่อได้เห็นปฎิกิริยานั้น เอริกะมั่นใจว่าคนๆนี้นั้นรู้เรื่องความโหดร้ายของฮาโรลด์แน่ๆ และทันใดนั้นเอง คำถามต่างๆก็ได้ผุดขึ้นมา

     ในเมื่อรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ทำไมคนๆนี้ยังติดต่อกับฮาโรลด์อยู่อีก เอริกะคิดว่าบางที่ ที่เขามาหาฮาโรลด์นั้นเพราะเขาต้องทำตามหน้าที่ แต่ว่าจากคำพูดที่คนๆนี้ตอบกลับมาอย่างลังเลนั้น มันดูเหมือนว่าคนๆนี้นั้นไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือเกลียดอะไรเลยแก่ฮาโรลด์เลย แต่มันดูราวกับว่าคนๆนี้นั้นต้องการที่จะเป็นกำลังให้แก่ฮาโรลด์อย่างถึงที่สุด

 

[ อ่าาา . .  .คือก็จริงอยู่ที่กระผมได้ยินข่าวลือพวกนั้นมาบ้าง แต่มันก็ยืนยันไม่ได้ว่ามันจริงหรือเท็จกันแน่นิครับ และในเมื่อยังๆไม่ได้รับการพิสูจน์ใดๆ กระผมก็ไม่กล้าที่จะถามท่านฮาโรลด์หรอกครับ . . . ]

[ ท่านฮาโรลด์ยืนยันด้วยตัวเองแล้วว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นความจริง และที่สำคัญ ในเมื่อคนที่ถูกสังหารก็เป็นคนที่ทำงานอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ ดังนั้นคุณก็ต้องรู้ความจริงๆเรื่องนี้แน่อยู่แล้ว จริงมั้ยค่ะ ? ]

[ อุก . . . ]

 

     เป็นดังที่เอริกะกล่าวออกมา เซ็นได้ขุดหลุมฝังตัวเองเพราะเขาไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวอะไรได้อีกแล้ว

พูดตรงๆ เซ็นไม่ใช่คนพูดเก่งพอที่จะพลิกสถานการณ์ตอนนี้ได้เลย

     ที่นอร์แมนเลือกเขานั้นก็เพราะเขาอัธยาศัยดี ถ้าจะให้พูด เพราะเขาเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกจริงๆของฮาโรลด์ 

     แต่ว่าความอัธยาศัยดีของเขาในตอนนี้นั้นมันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรฮาโรลด์ในตอนนี้ได้

และเอริกะตอนนี้ก็ดูแย่มากพอที่จะกระตุ้นความใจอ่อนของเขาเหมือนกัน

 

[ แล้วอีกอย่าง ทำไมคุณ .  ไม่สิ ที่คุณยังคอยติดตามท่านฮาโรลด์อยู่แบบนี้เป็นเพราะอะไรกันแน่คะ ? ]

 

     คำพูดเหล่านี้ที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังราวกับว่ามันเป็นเสียงที่วิงวอนให้ตอบคำถามนี้ให้ฟังที

จริงๆแล้วไม่ว่านิสัยของฮาโรลด์จะเป็นอย่างไร ถ้าเพื่อประโยชน์ต่อตระกูลซูเมะรากิแล้ว เอริกะก็จะแต่งงานกับฮาโรลด์ แต่เธอเองก็จะไม่มีวันอภัยให้กับความเลวร้ายของฮาโรลด์เองเช่นกัน

     แม้ว่าเธอจะเข้าใจมัน แม้ว่าจะลังเลระหว่างความรับผิดชอบและอารมณ์ เอริกะเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดปลอบใจตัวเองอย่างไรดี

     ในตอนนั้น ตอนที่เธอทราบเรื่องการหมั้นเธอได้แต่ยืนนิ่ง เธอนั้นได้ยอมแพ้ให้กับสิ่งที่เรียกว่าความรักและการแต่งงานไปแล้ว เธอรู้ว่าคนๆนั้นที่เธอกำลังจะหมั้นด้วยและเข้าไปอยู่ร่วมชายคาด้วยนั้นเป็นพวกยึดติดสายเลือดบริสุทธิ์ และคนเหล่านั้นก็กดขี่เข่มเหงประชาชนของเขาเอง ในใจของเธอนั้นได้แต่เต็มไปด้วยความโกรธ

     แต่ในตอนนั้น ฮาโรลด์ได้มอบความหวังให้กับชาวซูเมะรากิที่กำลังทุกข์ทรมาณ

แต่ว่า . . ในท้ายที่สุด นอกจากสายเลือดขุนนางแล้ว เขาก็ไม่เคยคิดว่าประชาชนเหล่านั้นเป็นคนเลยด้วยซ้ำ

     ถ้าจะให้พูดล่ะก็ เธอนั้นได้กลับมามีความหวังอีกครั้งและสุดท้ายมันก็ถูกทำลายลงไปพร้อมกับศรัทธาของเธอ ถึงมันจะกลายเป็นแบบนี้ แต่เธอก็ไม่คิดที่จะกลับคำของเธอ แต่ความจริงที่ว่าเส้นด้ายแห่งความหวังที่เคยลอดผ่านในความมืดมิดนั้นมันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่สิ่งนั้นมันก็มากพอที่จะผลักเอริกะให้จมดิ่งสู่ความสิ้นหวัง แม้ว่าเธอจะกำลังถูกคาดคั้นระหว่างหน้าที่และความรู้สึกส่วนตน และพยายามหาทางออกให้กับเรื่องพวกนี้ ในท้ายที่สุด ร่างของเอริกะที่ปรากฎตอนนี้มันดูราวกับไร้ชีวิตไปแล้ว

     แต่ว่าเซ็นนั้นรู้ดี ไอ้ความสิ้นหวังที่เธอกำลังทุกข์ทรมานนั้นมันเป็นเพียงภาพลวงตา มันถึงสิ่งที่ถูกจงใจสร้างขึ้น จริงๆแล้ว โลกที่รอคอยเธออยู่น่ะนั้นอ่อนโยนกว่านี้มากนัก

     เพราะฮาโรลด์นั้นยอมถูกเกลียดถูกเหยียดหยาม ไม่แม้จะแก้ไขตราบาปที่เรียกว่า”ฆาตกร”เป็น”ช่วยชีวิต 2 แม่ลูก” เพราะแบบนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทิ้งเอริกะไว้แบบนี้

     และถ้าหากจะคิดอีกมุมหนึ่ง

     เพื่อตระกูลและผู้คนของเธอแล้ว เด็กสาวคนนี้ยอมที่แม้กระทั้งจะสละความรู้สึกของตนทิ้งไป เธอนั้นเหมือนกับฮาโรลด์ ที่มีทั้งความเข้มแข็งและความเมตตา

     แม้ว่าพวกเขาจะยังเด็กแต่พวกเขาทั้งคู้กับแบกภาระที่หนักอึ้ง ฮาโรลด์และเอริกะต่างละทิ้งความรู้สึกนึกคิดของตนเอง  2 คนนี้ช่างคล้ายกันมาก มันไม่ควรเลยที่ใครสักคนจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง มันควรที่จะหันหน้าเข้าหากันและเปิดเผยความรู้สึกจริงๆของกันและกันดีกว่า 

 

[ ท่านเอริกะขอรับ ท่านมากับกระผมได้มั้ยขอรับ ]

 

     และนั้นคือเหตุผลว่าทำไม แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่อง(เซ็น)แถมยังไร้ความสามารถ แต่เขาก็ยังอยากที่จะสนับสนุนพวกเขาทั้ง 2 แม้ว่าสุดท้ายสิ่งนี้มันจะทำให้ฮาโรลด์รู้สึกไม่พอใจหรือแม้กระทั้งทอดทิ้งตัวเขา เซ็นก็ไม่สนใจ

 

[ แค่ซักประเดี่ยวขอรับ กระผมขอเวลาท่านสักครู่ มีบางอย่างที่กระผมต้องให้ท่านได้ยินให้ได้ขอรับ ]

 

————————————————————————–