“ไม่มีอะไร” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปากไปหนึ่งที “นายไม่เบื่อหรือไง? ”

 

        “เบื่อสิ” เซี่ยเจิงรู้สึกอย่างแน่นอน “แต่มันเป็นงานนี่”

 

        ก็จริง ชวีเสี่ยวปอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเซี่ยเจิงทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ ต่อให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไรก็ต้องนั่งอยู่ต่อไป แต่ตัวเขาเองไม่เหมือนกัน

 

        “ทำงานทั้งช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน นายได้เงินเท่าไหร่” ชวีเสี่ยวปอถาม

 

        “ถ้าทำกะกลางคืนก็ได้เยอะหน่อย สามพันห้าร้อยหยวน” เซี่ยเจิงเลิกคิ้วขึ้น “ทำไม นายสนใจเหรอ? ”

 

        “เปล่า” ชวีเสี่ยวปอไม่กล้าที่จะพูดว่านี่มันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เดือนเดือนหนึ่งเงินที่ชวีอี้เจี๋ยให้ค่าขนมเขาล้วนเปรียบไม่ได้กับเงินจำนวนนี้เลยด้วยซ้ำไป

 

        หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เซี่ยเจิงไม่เห็นท่าทีจะถามต่อของชวีเสี่ยวปอ ดังนั้นเขาจึงเปิดวิดีโอบาสเกตบอลต่อ ปกติแล้วชวีเสี่ยวปอก็เล่นบาสเกตบอลนะ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงไม่ค่อยอยากที่จะฟังเสียงของผู้บรรยายสักเท่าไหร่ รู้สึกเสียงดังเอะอะ

 

        “คือว่า” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ

 

        เสียงของชวีเสี่ยวปอเบามาก อาจจะเป็นเพราะการแข่งขันบาสเกตบอลกำลังเข้าสู่ช่วงที่ดุเดือด ทำให้เซี่ยเจิงตั้งใจดูเป็นพิเศษ จึงไม่ได้ยินเสียงของเขา

 

        “ฉันพูดว่า…” ชวีเสี่ยวปอเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น

       

        “มีอะไรอีก? ” ในที่สุดเซี่ยเจิงก็ละสายตาจากมือถือแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

       

        “คุยถึงเซี่ยเจิงกัน? ” ชวีเสี่ยวปอจงใจเน้นคำไปที่ชื่อชื่อนี้

 

        “ให้สามนาที !” เสียงอันตื่นเต้นของผู้บรรยายดังออกมาจากมือถือ และอารมณ์ของเซี่ยเจิงก็จดจ่ออยู่กับการแข่งขันเหมือนกับเหล่าผู้ชมที่โห่ร้องไปด้วยกัน : ยอดเยี่ยม

 

        หลังจากนั้นเซี่ยเจิงจึงรีบแสดงท่าทีออกมาว่า “นายพูดฉันก็ฟังอยู่ ทั้งยังฟังอย่างตั้งใจด้วย” หากอีกฝ่ายไม่ใช่ชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิงคงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเป็นพี่สาวที่เข้าใจคุณดีทุกเรื่องในรายการทอล์กโชว์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพูดเคยเกินสามประโยคคือ “ใช่” “คุณพูดเลย” “ฉันฟังอยู่” และก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่คอยพูดเชียร์ให้ตลกในการแสดงเซี่ยงเซิง[1] อีกด้วย

 

        “วันนั้นฉันได้ยินหมดแล้ว” ชวีเสี่ยวปอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แต่กลับรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะโหดร้ายกับตัวเองไปสักหน่อย ความจริงแล้วมันไม่ง่ายสำหรับเขาเลยที่จะลืมประสบการณ์รักแรกที่กล่าวได้ว่า “ไม่ได้รับชัยชนะ” นี้ให้หมดสิ้นไป แต่เมื่อคิดได้ว่าผู้หญิงที่ตัวเองชอบนั้นชอบคนที่อยู่ตรงหน้าของตน ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกไม่วางใจขึ้นมาทันที

 

        “นั่นมันก็ช่วยไม่ได้” สิ่งที่เซี่ยเจิงกำลังคิดอยู่ในใจคือแน่นอนฉันรู้อยู่แล้วว่าจริงๆ แล้วนายได้ยิน แล้วยังไงล่ะนายแอบฟังแต่ยังมาโทษว่าไม่ได้รับความยุติธรรมเหรอ

 

        “…นายพูดให้มันดีๆ นะ” ชวีเสี่ยวปอกัดฟัน

 

        “โอเคๆ ” เซี่ยเจิงทำตามอย่างจำใจ ก็คนคนนี้ไม่ค่อยมีเหตุผลนี่หน่า

 

        “ยังไงซะ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว นายก็ทำตัวดีๆ กับเธอหน่อยรู้ไหม เซี่ยเจิงเป็นผู้หญิงที่เรียบๆ ง่ายๆ คนหนึ่ง” ชวีเสี่ยวปอไม่รู้เซี่ยเจิงคิดยังไง แต่ถึงยังไงก็แล้วแต่ตอนที่ตัวเขาพูดก็รู้สึกเศร้าใจอยู่ไม่น้อย ถึงขนาดที่ว่าในหัวของเขาอดไม่ได้ที่จะเล่นเพลงประกอบฉากหนังออกมา “เป็นหนังของทั้งสามคนชัดๆ แต่ตัวเขาเองกลับไม่มีแม้แต่ชื่อแซ่”

 

        “เดี๋ยวนะ” เซี่ยเจิงขัดจังหวะชวีเสี่ยวปอ แล้วพูดคำพูดเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาอีกรอบ “ให้ฉันทำตัวดีกับเธอหน่อย? ”

 

        “นายมีข้อโต้แย้งอะไรงั้นเหรอ? ” เพลงประกอบฉากหนังของชวีเสี่ยวปอร้องถึง “ความรักที่ให้เธอนั้นเงียบสงบมาโดยตลอด” และหยุดลงอย่างกะทันหัน

 

        “ฉันมีข้อโต้แย้ง ขอเสนอได้ไหม? ” เซี่ยเจิงยกมือขึ้น

 

        “เอามือลง”

 

        น้ำเสียงของชวีเสี่ยวปอทำให้เซี่ยเจิงเข้าใจผิดคิดว่าเขากำลังถือปืนเค 98 อยู่ ถ้าหากตัวเขาเองยังไม่รีบเอามือลง วินาทีถัดไปเผลอๆ ชวีเสี่ยวปออาจจะมีความสุขจากการที่ได้ยิงออกไปปัง ปัง ปังก็เป็นได้

 

        “แล้วทำไมฉันต้องดีกับเธอด้วยล่ะ? ” เซี่ยเจิงถาม

 

        ไอ้บ้านี่มันสุดจะชั่วเลย !

 

        ชวีเสี่ยวปอระเบิดขึ้นมาทันที พูดแบบนี้ยังเป็นคนอยู่ไหม?

 

        “นายพูดอะไรเนี่ย? นายเป็นแฟนเธอนะ !” ทูตแห่งความยุติธรรม ร่างอวตารแห่งความรัก บัดนี้ขอให้ฉัน ชวีเสี่ยวปอ เป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ลงทัณฑ์เซี่ยเจิงชายชั่วผู้นี้เถอะ

 

        “ฉันไปเป็นแฟนของเธอตั้งแต่ตอนไหนกัน? ” เซี่ยเจิงพูดชัดถ้อยชัดคำ “ฉันไม่ได้เป็น”

 

        สามนาทีต่อมา ชวีเสี่ยวปอกลับมานั่งที่เก้าอี้ แล้วเริ่มพูดขึ้นอีกครั้งว่า “เอาบุหรี่ให้ฉันมวนหนึ่ง”

 

        “นายสูบไม่เป็นไม่ใช่เหรอ” เซี่ยเจิงถาม

 

        “ฉันคาบไว้ดมกลิ่นของมันเฉยๆ ไม่ได้หรือไง” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ทำไมนายพูดมากอย่างนี้เนี่ย”

 

        “โอเค” เซี่ยเจิงดึงบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนแล้วโยนมันออกไป “กลิ่นมันไม่ได้ดีหรอกนะ”

 

        จะพูดยังไงดีล่ะ บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าอายจริงๆ นั่นแหละ

 

        แต่เซี่ยเจิงมีความผิดมากกว่าหนึ่งเท่า

 

        เขาไม่เพียงรายงานจดหมายรักของตัวเอง แถมยังปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้นอีก

 

        บุหรี่มอดไปได้ครึ่งมวน ชวีเสี่ยวปอก็โยมมันลงพิ้นแล้วเหยียบมันจนดับ

       

        “ดีขึ้นหรือยัง? ” เซี่ยเจิงเดินมาหยุดที่ข้างๆ เขา “อยากกินมันฝรั่งทอดไม่ใช่เหรอ นายเลือกได้ตามสบายเลย เดี๋ยวฉันจ่ายเอง”

 

        “จะดีมากเลยละถ้านายอยู่ห่างๆ ฉันไว้” ชวีเสี่ยวปอก้มหน้าลงและโบกมือออกไป ความรู้สึกพ่ายแพ้เช่นนี้เซี่ยเจิงไม่เข้าใจหรอก “ไม่งั้นฉันไม่รับประกันนะว่าจะทำอะไร”

 

        เซี่ยเจิงเชื่อฟังที่เขาพูดและถอยหลังออกมาสองก้าว

 

        ชวีเสี่ยวปอนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงสี่ทุ่ม เมื่อถึงเวลาเขาก็รับรู้ได้เหมือนกับเครื่องจักร ทั้งยังทิ้งไว้หนึ่งประโยค “ฉันไปละ” แล้วจึงรีบวิ่งออกไปจากร้านสะดวกซื้อ

 

        ความสงบสุขและความรัก ยอมให้โลกของฉันไม่ต้องมีเซี่ยเจิงอีกต่อไปแล้ว

 

        โชคดีที่หลังจากกลับมาถึงบ้าน เกมไพ่นกกระจอกของเวินลี่ยังไม่จบ ดังนั้นในตอนที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะเข้าห้องเวินลี่เลยได้เพียงแต่ถามออกไปว่า “ลูกวันนี้ไปเที่ยวเล่นเป็นยังไงบ้าง? ” ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไปแค่ว่าไม่แย่เท่าไหร่ แล้วจึงเดินเงียบๆ เข้าห้องไป ตัดความวุ่นวายไปได้เยอะมาก

 

        เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ คุณป้าก็เดินมาเคาะประตูห้องของเขา ถามเขาว่าจะกินอะไรสักหน่อยไหม หิวแล้วใช่ไหมสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย

 

        “ไม่เป็นไรครับคุณป้า ผมกินมาแล้วครับ แค่รู้สึกเหนื่อยๆ ไม่ต้องสนใจผมหรอกครับ” ชวีเสี่ยวปอปิดประตูลงหลีกหนีจากเสียงเล่นไพ่นกกระจอกที่อยู่ด้านนอก

 

        ขณะที่นอนลงไปบนเตียงรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมากจริงๆ และแล้วมือถือก็ดังขึ้นมาหลายครั้งติดต่อกัน ชวีเสี่ยวปอขี้เกียจจะขยับตัว เลยปล่อยให้มันตังตั้งนานกว่าจะหยิบขึ้นมาดู เป็นซือจวิ้นนี่เอง

 

         คิดว่าน่าจะว่างจนไม่มีอะไรทำ ส่งมาประโยคหนึ่ง “ปอเอ๋อร์ทำอะไรอยู่” และยังมีสติ๊กเกอร์ติ๊งต๊องอีกหลายตัว

 

        “นอนเล่นอยู่”

 

        “เล่น PUBG กันไหม? ” วินาทีถัดมาซือจวิ้นก็ตอบกลับมา

 

        “ไม่เล่นอะ จะนอนแล้ว”

 

        “ ? ” ซือจวิ้นส่งเครื่องหมายคำถามมาหนึ่งตัว แล้วกดวิดีโอคอลมา

 

        “ทำไม” ชวีเสี่ยวปอมองไปที่ใบหน้าขนาดใหญ่ของซือจวิ้นที่อยู่หน้ากล้อง แล้วพูดออกไปอย่างไม่ค่อยมีแรง

 

        “เป็นอะไร? ” ซือจวิ้นถามด้วยความเป็นห่วง “อารมณ์ไม่ดีเหรอ? ”

 

        “เปล่า แค่เหนื่อยอะ” ชวีเสี่ยวปอดึงหมอนมาแล้ววางคางลงไปบนหมอน

 

        “วันนี้ไปทำอะไรมา? ในวันที่ไม่มีฉันคงจะเหงาน่าดูล่ะสิ” ชือจวิ้นหัวเราะฮ่าๆ

 

        “ไปตกปลากับพ่อ” ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไป

 

        “อ๋อ” ซือจวิ้นทำท่าเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วถามออกไปอย่างระมัดระวัง : “นายทะเลาะกับพ่อเหรอ? ”

 

        “ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ “ถ้าฉันบอกว่าตอนที่ตกปลาฉันบัญเอิญเจอต้วนเหล่ย นายจะเชื่อไหม? ”

 

        “บ้าเอ๋ย !” มือถือของซือจวิ้นสั่นอยู่หลายครั้งหลังจากนั้นหน้าจอก็มืดไป แต่ไม่นานก็กลับมาสู่หน้าวิดีโอคอลดังเดิม “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? พวกนายสองคนทะเลาะกันหรือเปล่า? ”

 

        “เปล่าหรอก พ่อฉันกับพ่อของมันรู้จักกันพอดี เลยไม่ได้ลงมือ” ชวีเสี่ยวปอฝืนยิ้มพร้อมกับตอบออกไป

 

        “อ่าว? นี่มันโชคชะตาอะไรกันเนี่ย” แม้ว่าจะตกใจเป็นอย่างมาก แต่ซือจวิ้นก็รู้สึกโล่งอก และสบายใจขึ้นเล็กน้อย

 

        “แล้วฉันก็ไปหาเซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอพูดต่อ

 

        “เซี่ยเจิงคนไหน? ”

 

        “ผู้ชาย”

 

        “……” ซือจวิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พลางกะพริบตาขึ้นลง “ปอเอ๋อร์นายช่างเป็นผู้ชายที่ลึกลับจริงๆ นายบอกได้ไหมว่าเพราะอะไร? ”

 

        “ไปไหนก็ไป !” ชวีเสี่ยวปอด่าออกไป “เดี่ยววันหลังค่อยเล่าให้นายฟัง จริงๆ ฉันอยากจะบอกนายว่าวันนี้นายนั่นพูดกับฉันด้วยว่า เขาไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับเซี่ยเจิง”

 

        “……” ซือจวิ้นรู้สึกประหม่าจนกลืนน้ำลายลงคอไป “ฉันรู้สึกอยากวางสายแล้วละ ได้ไหม? ”

 

        “ไม่ได้” ชวีเสี่ยวปอทุบหมอนอย่างเต็มแรงไปหนึ่งที แต่ความนุ่มของหมอนนั้นไม่ได้กินแรงเขาเลยสักนิด ทำให้เขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างแปลกๆ “นายว่า…ฉันจะโทรหาเซี่ยเจิงได้ไหม โทรไปปลอบใจเธอสักหน่อย ฉันอาจจะยังมีโอกาสก็ได้นะ”

 

        “เฮ้อ” ซือจวิ้นที่อยู่ปลายสายส่ายหน้าไปมา “ปอเอ๋อร์ นายรู้ไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่านายเป็นคนที่ไปไวมาเร็วดังสายลม และจะไม่ถูกผูกมัด เกี่ยว พันไว้ด้วยความรักที่มีต่อบุตรและสตรีเช่นนี้”

 

        “พูดให้มันเป็นภาษาคนหน่อย”

 

        “คลั่งรักไง !” ซือจวิ้นตั้งความหวังเอาไว้สูงเกินไป และตบลงไปที่ต้นขาของตัวเองดังเพี้ยะๆ “อย่างนายนะเรียกว่าคลั่งจนมองไม่เห็นอะไรเลย นี่ยังไม่ชัดหรือไง !”

 

        คำพูดของซือจวิ้นแทบจะเป็นเข็มที่แทงใจดำ ชวีเสี่ยวปอถูกแทงเข้าที่กลางใจเต็มๆ ทำได้แค่เพียงทุบลงไปที่หมอนอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

 

        ซือจวิ้นจึงพูดต่อไปอีกว่า : “คนที่ชอบนายมีเยอะแยะนายกลับไม่เลือก มัวแต่ดึงดันที่จะชอบแต่เซี่ยเจิง แล้วผลเป็นยังไงเธอก็จะเลือกแต่คนที่ไม่ได้ชอบเธอเหมือนกัน ฉันว่านะทางออกของเรื่องนี้ก็คือถ้าพี่ชายเจิงแสดงออกว่าชอบนาย ตอนท้ายที่สุดก็จะมีความสุขกันทุกคน ยอดเยี่ยมไปเลยละ !”

 

        “ไสหัวไปให้พ้น” ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางไปที่กล้อง “หุบปากไปซะ วางละ”

 

        “จะนอนแล้วเหรอ? ” ซือจวิ้นถาม

 

        “นายจะเล่น PUBG ไม่ใช่หรือไง? ” ชวีเสี่ยวปอเบะปาก “มา เดี๋ยวพ่อพาลูกเล่น PUBG เอง”

 

 ………………………..

เชิงอรรถ

[1] การแสดงเซี่ยงเซิง เป็นการแสดงทอล์คโชว์ด้วยคนสองคน โดยจะมีการนำมุขตลกมาพูดคุยกัน หรือการนำเรื่องราวต่างๆ มาเล่า การแสดงเซี่ยงเซิงยังถือว่าเป็นศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมของจีนด้วย