ตอนที่ใกล้จะเลิกงานจู่ๆ ก็มีฝนตกลงมา

       

        ฝนในฤดูร้อนมาเร็วแต่ก็ไปเร็วเช่นกัน นอกเสียจากจะเหลือแอ่งน้ำเล็กๆ ที่มีระดับความลึกตื้นไม่เท่ากันทิ้งเอาไว้บนพื้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเหมือนกับว่ามันร่วมมือกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวนี้มาเล่นงานเหล่าผู้คน ทำให้ในทุกค่ำคืนของผู้คนจะต้องถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อที่น่ารำคาญใจ ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ยอมเลิกรา

 

        ในปากของเซี่ยเจิงคาบบุหรี่เอาไว้มือก็ล็อกประตูร้านสะดวกซื้อไปด้วย พอสูบบุหรี่หมดมวนก็เดินมาถึงหน้าร้านขายผลไม้ริมทางพอดี

 

        เมื่อถึงเวลานี้ร้านขายผลไม้ก็จะนำผลไม้มาลดราคาลง จ่ายเงินไปเพียงแค่ครึ่งเดียวก็สามารถซื้อผลไม้ได้มากกว่าปกติตั้งหนึ่งเท่า เถ้าแก่เนี้ยเขาเป็นคนใจดีมาก มักจะเก็บผลไม้ที่ยังถือว่าสดใหม่อยู่ไว้ให้เซี่ยเจิงมากมาย

 

        เซี่ยเจิงเลือกองุ่นมาพวงหนึ่ง และกำลังจะจ่ายเงิน

        “เอาลูกพีชไปอีกสองลูกนะ” เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่แล้วจึงหยิบพีชสองลูกวางลงไป “ลูกพึชนี่หวานมากเลยนะ พันธุ์อย่างดี”

 

        “ลูกพีชราคาเท่าไหร่ครับ? ” เซี่ยเจิงยื่นมือถือออกไปจะแสกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงิน

 

        “ไม่ต้องๆ ป้าแถมให้ๆ”  เถ้าแก่เนี้ยรีบโบกมือปฏิเสธแล้วยื่นถุงให้เขา “คราวก่อนเธอช่วยสอนลูกป้าทำการบ้านไม่ใช่เหรอ ป้ากับพ่อของเจ้าเด็กนั่นสอนไม่เป็นหรอก ตอนนั้นก็กังวลมากเลยละ !”

 

        ครั้งก่อนตอนที่เซี่ยเจิงมาซื้อผลไม้ ซึ่งเป็นช่วงเวลานี้นี่แหละ ในช่วงเวลามืดค่ำดึกดื่นนั้นก็เห็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง คนหนึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายคนหนึ่งอยู่ทางขวากำลังสอนการบ้านเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ คิดว่าน่าจะสื่อสารกันไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ เด็กน้อยฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ตาทั้งสองข้างก็บวมแดงราวกับโดนใครต่อยมา เซี่ยเจิงผ่านมาพอดีเลยอธิบายคำถามข้อนั้นให้ฟังจนกระจ่าง

 

        “ที่จริงเจ้าตัวเล็กฉลาดมากเลยละครับ แต่ว่าขี้กลัวไปนิดนึง” เซี่ยเจิงยิ้ม “ยิ่งทำให้เขาตกใจกลัว จากที่ทำเป็นก็เลยทำไม่เป็นเลยน่ะครับ”

 

        “ใช่เลยๆ ” เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าเห็นด้วย “เด็กคนนี้เขาเหมือนพ่อ ! ตั้งแต่เด็กแล้วเวลาเรียนจะเปลืองแรงมาก ไม่เหมือนกันเธอแค่ที่ดูคนอื่นเขาเรียนก็เข้าใจแล้ว !”

 

        ……ความรู้และทักษะนี่สามารถดูออกกันได้ด้วยเหรอ? มิน่าล่ะบนหน้าของเด็กเรียนทุกคนจะมีตราประทับที่ทั้งตัวใหญ่และหนาประทับอยู่ จะมีแต่คนที่จริงใจเท่านั้นถึงจะเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ของเด็กเรียนน่ะเหรอ?

 

        เซี่ยเจิงรู้ดีว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่คนเขาเกรงใจก็เท่านั้น หลังจากนั้นจึงทักทายเถ้าแก่เนี้ยสองคำ เมื่อกล่าวขอบคุณเสร็จก็จะเดินจากไป

 

 

        หลังจากที่เขาเดินออกไปยังไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามหลังเขามา เซี่ยเจิงหันกลับไปมองจึงพบว่าเถ้าแก่เนี้ยกำลังวิ่งตามเขามา

 

        “ไอ้หนุ่มๆ เธอสนใจมาสอนพิเศษที่บ้านไหม? ”

 

       

        องุ่นนี่หวานจริงๆ

 

        เซี่ยเจิงเด็ดองุ่นลูกหนึ่งเข้าปากไปแล้วค่อยๆ ลิ้มรสชาติของมัน

 

        เขากำลังคิดอยู่ว่าในเมื่อจะไปเป็นครูสอนพิเศษก็น่าจะต้องรวบรวมพวกผลการเรียนพวกทุนการศึกษาอะไรทำนองนี้ไปให้อีกฝ่ายดูสักหน่อย แม้ว่าจะสอนเด็กน้อยที่อยู่แค่อนุบาลสองก็เถอะ แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรหลอกลวงเขา

 

        เถ้าแก่เนี้ยพูดไว้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาอาจจะไม่สามารถให้เงินมากเท่าสถาบันกรวดวิชาข้างนอกได้ แต่สอนพิเศษในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนหนึ่งเดือนนี้ เขาสามารถให้ได้สองพันหยวน และถ้าหากรับราคานี้ได้ ก็จะมีลูกสาวของญาติเขามาเรียนด้วย เด็กสองคนก็จะเป็นสี่พันหยวน

 

        แล้วก็ยังมีผลไม้เพิ่มให้พิเศษแบบไม่จำกัดจำนวน

 

        สี่พันหยวน…

 

        เซี่ยเจิงคำนวณดูอย่างคร่าวๆ สี่พันหยวนนี้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายให้เขาได้ไม่น้อย ซึ่งโดยปกติแล้วมันเพียงพอที่จะเป็นค่าครองชีพให้กับเขาสองคนแม่ลูกได้ถึงสามเดือน

 

        นี่มันเป็นเงินที่ตกมาจากฟ้าชัดๆ

 

        ถ้าหากไม่ใช่เพราะเซี่ยเจิงกลัวว่าจะรบกวนผู้คนแถวนั้นเขาก็อยากที่จะร้องเพลงออกมาสักหนึ่งเพลง “วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ คิดอะไรก็สมปรารถนา”

 

        เซี่ยเจิงเดินฮัมเพลงไปตลอดทั้งทางกลับบ้าน เขาอยากที่จะนำเรื่องนี้ไปบอกให้แม่ดีใจสักหน่อย เพราะตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อความวุ่นวาย สภาพจิตใจของแม่ก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะมีแรง บางครั้งเวลานอนอยู่บนเตียงก็ไม่อยากที่จะขยับตัวลุกขึ้นเลยทั้งวัน หรือไม่ตอนที่รู้สึกดีขึ้นแม่ก็จะตัวสั่นด้วยความกลัวอยากที่จะหาที่หลบซ่อน ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดกินคนแอบซ่อนอยู่ในบ้าน

 

        อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีข่าวดีสักเท่าไหร่

 

        เนื่องจากช่วงกลางวันมีการก่อสร้างและซ่อมแซม ทางเดินแถวบ้านเมื่อโดนฝนจึงค่อนข้างที่จะเดินยากขึ้นไปอีก อีกทั้งในตรอกเล็กๆ นี้ก็มืดมากด้วย เซี่ยเจิงที่เดินไปอย่างเร่งรีบ จึงไม่ทันระวังและเหยียบโคลนเข้า

 

        หลังจากที่สบถด้วยคำหยาบออกไป เซี่ยเจิงจึงรีบหาก้อนหินมาเช็ดรองเท้า เช็ดไปเช็ดก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ

 

        มีคนสะกดรอยตามเขามา

 

        เซี่ยเจิงดำเนินการกระทำของตัวเองต่อไปอย่างช้าๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงท่าทีใดๆ แต่สายตากลับมองไปยังถนน

 

        แล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้ มีคนคนหนึ่งโผล่แต่ศีรษะออกมาพอเห็นว่าเซี่ยเจิงยืนอยู่ตรงนั้นไปได้ขยับไปไหน จึงรีบซ่อนตัวกลับเข้าไปดังเดิม

 

        จริงๆ แล้วตอนที่เซี่ยเจิงเดินเข้ามาในตรอกนี้ก็รู้สึกตัวแล้วว่ามีคนกำลังเดินตาม ค่ำมืดดึกดื่น แถวนี้ก็มีคนอาศัยอยู่ไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าหากจะบอกว่าไปทางเดียวกันถึงหน้าประตูบ้านของเขา ก็ยิ่งอ้างไม่ได้เข้าไปใหญ่

 

        เหมือนกับที่ชวีเสี่ยวปอพูดไว้งั้นเหรอ?

 

        ต้วนเหล่ย?

 

        ต้วนเหล่ยงั้นเหรอ?

 

        ในตรอกนี้ไม่มีไฟตามทาง เซี่ยเจิงไม่มีทางดูลักษณะรูปร่างของอีกฝ่ายออกว่าเป็นต้วนเหล่ยหรือไม่ ทว่าเซี่ยเจิงกลับคิดว่าถ้าดูจากความฉลาดของต้วนเหล่ยแล้ว หากนายนั่นมาแล้วจริงๆ ในตอนที่ตัวเขาเองยังอยู่ร้านสะดวกซื้อก็น่าจะเจอกับเขาแล้ว ไม่มีทางที่นายนั่นจะเดินตามมาถึงหน้าบ้านได้

 

        แต่เรื่องทั้งหมดก็ยังไม่แน่นอน

 

        เซี่ยเจิงหยิบกุญแจบ้านออกมาจากในกระเป๋ากางเกง ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางจับด้านที่คมของกุญแจให้หันออกจากตัว ซึ่งมันทื่อเกินไป แต่ก็ไม่มีอย่างอื่นที่สามารถทดแทนได้แล้วเขาจึงจำเป็นต้องใช้มัน ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าแทงเข้าไปที่ร่างกายด้วยน้ำหนักที่พอดี ก็อาจจะใช้เวลาแปดถึงสิบนาทีกว่าจะหายเจ็บ

 

        หลังจากที่เตรียมพร้อมแล้ว เซี่ยเจิงเดินต่อเข้าไปในตรอกอย่างไม่ร้อนรน

 

        แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทันทีที่เขาขยับอีกฝ่ายก็ขยับเดินตามมาทันที ทั้งยังดูรีบร้อนกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เซี่ยเจิงที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ยินเสียงเดินจากฝีเท้าที่เหยียบเข้ากับแอ่งน้ำอย่างลุกลี้ลุกลนอยู่หลายครั้ง เพราะเขาคนนั้นยิ่งเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

        ตรงนี้ละกัน !

 

        เซี่ยเจิงสูดหายใจเข้าไปหนึ่งที อย่างที่เขาคาดไว้ ทันทีที่ถึงมุมของตรอกนี้ อีกฝ่ายจึงทนไม่ไหวรีบวิ่งพุ่งตรงเข้ามา แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายเซี่ยเจิง แต่กลับเข้ามากอดจากด้านหลังเอาไว้แน่น แล้วพูดเบาๆ ที่ข้างหูของเขาว่า

 

        “เสี่ยวเจิง พี่เอง”

 

        เซี่ยเจิงตะลึงงันไปชั่วขณะ แล้วจึงรีบผลักอีกฝ่ายออกไปราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว

 

        อีกฝ่ายเซถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นจึงยืนอยู่ห่างจากเซี่ยเจิงไม่ไกลมาก

 

        โจวเจ๋อหยวนยืนงงไปหลายวินาทีก่อนจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่กระดูกซี่โครงด้านขวา

 

        เซี่ยเจิงใช้แรงทั้งหมดที่มีของเขา ในตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ที่เดิมและมองไปยังโจวเจ๋อหยวนพร้อมกับมีอาการสั่นเล็กน้อยไปทั้งตัว

 

        ไม่ใช่เพราะกลัวหรอกนะ แต่เพราะรู้สึกสะอิดสะเอียนต่างหาก

 

        “เสี่ยวเจิง นี่พี่เอง” โจวเจ๋อหยวนใช้มือข้างหนึ่งจับตรงที่เจ็บเอาไว้ และพูดซ้ำออกมาอีกครั้งอย่างไม่พอใจ แม้แต่แว่นตากรอบสีทองนี้ก็ไม่อาจปกปิดความปรารถนาอันแรงกล้าในดวงตาของเขาได้ แต่ถึงอย่านั้นมันก็ดูจะไม่ค่อยเข้ากับหน้าตาที่สุภาพเรียบร้อยของเขาสักเท่าไหร่ โจวเจ๋อหยวนพูดพลางเดินขยับเข้ามาหาเซี่ยเจิง

 

        “อย่าเข้ามา !” เซี่ยเจิงแทบจะตะโกนออกไป

 

        “เสี่ยวเจิง” โจวเจ๋อหยวนก็ยังคงก้าวเดินเข้ามา

 

        “ฉันบอกว่า” เซี่ยเจิงกัดฟันแน่น ทุกคำพูดล้วนราวกับใช้แรงสุดกำลังเปล่งผ่านริมฝีปากและฟันออกมา “อย่าเข้ามา” ไม่รู้ว่าโจวเจ๋อหยวนกลัวแล้วหรือยังไง เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงยืนนึ่งๆ แต่ปากของเขาก็ยังคงพูดอยู่

 

        “เสี่ยวเจิง พี่ปิดเทอมแล้วเลยอยากกลับมาหานาย” น้ำเสียงของโจวเจ๋อหยวนดูสนิทสนมเป็นพิเศษ ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่าทีของเซี่ยเจิงที่ดูตรงกันข้าม ทุกคนคงคิดว่าทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนาน

 

        “แล้วนี่คือของขวัญต้อนรับของนายงั้นเหรอ? ” โจวเจ๋อหยวนฝืนยิ้มออกมา มือก็ตบเบาๆ ไปตรงที่ที่ตัวเองเจ็บอยู่

 

        “โจวเจ๋อหยวน” เซี่ยเจิงพูดเน้นแต่ละตัวอักษร “ผมเคยบอกไปแล้ว ว่าไม่ต้องมาหาผมอีก”