โจวเจ๋อหยวนค่อยๆ หลุบสายตาลง

 

        แต่เขากลับดูไม่เหมือนคนที่ถูกปฏิเสธที่ต้องแบกหน้าตากลับและเลือกที่จะจากไปอย่างเศร้าสร้อย ตรงกันข้ามเขากลับดันแว่นตาขึ้น น้ำเสียงทั้งดูไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งจริงใจมากขึ้น “เสี่ยวเจิง ฉันคิดถึงนายมากนะ พวกเราจะคุยกันแบบนี้จริงๆ เหรอ? ”

 

        “พอแล้ว” เซี่ยเจิงทนไม่ไหวเกือบอยากจะโยนของในมือทิ้งไปแล้วต่อยเขาให้ยับ “อย่ามาทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงอีกเลย”

 

        “ขยะแขยงเหรอ? ” โจวเจ๋อหยวนหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาหนึ่งที แล้วพูดยั่วโมโหออกไปว่า “เสี่ยวเจิง พวกเราก็เป็นแบบเดียวกันไม่ใช่หรือไง? ”

 

        “หรือว่า…นายก็คิดว่าตัวเองน่าขยะแขยงเหมือนกัน? ”

 

        หากย้อนนึกถึงความหลัง

 

        ความลำบาก

 

        ในตอนที่เซี่ยเจิงยังเขียนสองคำนี้ไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เขากลับรู้ถึงความหมายของมันแล้วจากการใช้ชีวิต

 

        ในตอนนั้นครอบครัวของเขาสามคนยังอาศัยอยู่ในตึกเก่าที่เป็นชุมชนแออัด ตรงทางเดินในตึกไม่มีแม้แต่กระจกบานที่สมบูรณ์ พอบ้านหนึ่งตีลูกทั้งตึกก็จะได้ยินเสียงตั้งแต่ต้นจนจบราวกับถ่ายทอดสดอย่างไม่มีสะดุด  ในตอนนั้นเซี่ยรุ่ยเซินก็ตกงานมาเป็นเวลานานแล้ว แต่แม่ยังสุขภาพดีอยู่และทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ในร้านทำผมที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านมาก ทั้งยังถือโอกาสนี้ฝึกฝีมือ เพียงหวังว่าจะสามารถเก็บเงินได้สักก้อนไปเช่าห้องเช่าเล็กๆ เปิดร้านเป็นของตัวเอง

 

        จึงทำให้ในตอนนั้นเมื่อเซี่ยเจิงกลับจากโรงเรียนก็มักจะไม่มีใครอยู่บ้าน

 

        เด็กน้อยในช่วงอายุนั้นคงไม่ได้คิดอะไรมากเหมือนๆ กันหมดทุกคน สิ่งที่สนใจมากที่สุดก็คือการเที่ยวเล่น พอวิ่งเตาะแตะจากโรงเรียนกลับมาถึงบ้าน เมื่อเขาจับไปที่กระเป๋าถึงนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบกุญแจมา

 

        คิดจะตั้งตารอแต่เซี่ยรุ่ยเซินนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าในตอนนั้นเขามักจะบอกว่าออกไปหาลู่ทางทำกิน แต่มารู้ในภายหลังว่าลู่ทางที่เขาบอกก็คือโต๊ะพนัน และเซี่ยเจิงก็ไม่ค่อยอยากไปร้านทำผมที่แม่ทำงานอยู่สักเท่าไหร่ เพราะว่าเจ้าของร้านทำผมดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบเด็ก ทุกครั้งที่เจอเขาเขาก็มักจะทำหน้าดุอยู่ตลอด เซี่ยเจิงจึงกลัวว่าเขาจะใช้ปัตตะเลี่ยนโกนผมของตัวเองจนหัวโล้น

 

        แต่เขารอได้ สิ่งเขาทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นก็คือการรอ

 

        เขาหยิบกล่องดินสอและสมุดการบ้านออกมาอย่างเชื่อฟัง แล้วก็เอากระเป๋าหนังสือมาหนุนนั่งที่ก้น ตัวพิงกับประตูแล้วค่อยๆ เขียนการบ้านไปทีละเส้นทีละขีด

 

        ตรงทางเดินบนตึกไฟค่อนข้างสลัว ทั้งยังมีกลิ่นอับของเชื้อรานานาชนิดผสมปนเปกันไปหมด ทุกครั้งที่มีคนเดินขึ้นบันไดมา เซี่ยเจิงก็จะหยุดเขียนดินสอในมือแล้วเงี่ยหูฟัง จนต่อมาเขาจึงมีความสามารถที่รู้ได้ว่าใครกลับมาจากการได้ฝึกฟังเสียงฝีเท้าจนชำนาญ

 

        คนที่ขึ้นบันไดทุกห้าขั้นแล้วต้องหยุดพักหายใจคือ ยายหลี่ที่อยู่ชั้นสี่ซึ่งขาของเขาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

        คนนี้แรงเยอะ ทุกครั้งที่เหยียบจะมีเสียงดังตึงๆ คนนี้ก็คือ คุณลุงอ้วนที่อยู่ชั้นสาม พอเขาขึ้นบันไดพุงของเขาก็จะสั่นไปด้วย

 

        และคนที่เดินเร็วแต่เสียงเบา และปากก็ยังฮัมเพลงไปด้วยก็คือ……

 

        “พี่เสี่ยวหยวน !”

 

        เซี่ยเจิงกระโดดลุกขึ้นจากกระเป๋าหนังสืออย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นเรียกชื่อของโจวเจ๋อหยวนอย่างสนิทสนมและอบอุ่น แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โจวเจ๋อหยวนเดินขึ้นมา ใบหน้าที่ผอมเรียวและขาวผ่องถูกแต่งเติมไปด้วยรอยยิ้ม

 

        “เสี่ยวเจิงนี่นายเข้าบ้านไม่ได้อีกแล้วเหรอ” โจวเจ๋อหยวนโตกว่าเซี่ยเจิงห้าปีและเข้าเรียนขั้นมัธยมต้นแล้ว

 

        “ผมลืมหยิบกุญแจมา” เซี่ยเจิงยิ้มเขินๆ

 

        “อย่ามานั่งทำการบ้านตรงทางเดินนะรู้ไหม ไฟมันมืด ไม่ดีต่อสายตา” โจวเจ๋อหยวนดันแว่นของตัวเอง “หรือว่านายก็อยากใส่แว่นเหมือนกัน? ”

 

        “ไม่อยาก…” เซี่ยเจิงส่ายหัว แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นพยักหน้า ยื่นมือออกไปแล้วชี้ไปที่แว่นของโจวเจ๋อหยวน “แต่ว่าพี่เสี่ยวหยวนใส่แว่นก็ดูดีมาเลยนี่หน่า”

 

        “เจ้าตัวเล็กนี่” โจวเจ๋อหยวนลูบไปที่หัวเซี่ยเจิง “มานี่ ขึ้นไปบ้านพี่กัน”

 

        พ่อของโจวเจ๋อหยวนทำงานอยู่ต่างเมือง ในบ้านมีแค่ตัวเขาและแม่ของเขาเพียงแค่สองคน คุณแม่โจวเป็นผู้หญิงที่พูดน้อย แต่เขาดีกับเซี่ยเจิงมาก ทุกครั้งที่เขาตามหลังโจวเจ๋อหยวนกลับมาที่บ้าน คุณแม่โจวก็จะคอยกำชับลูกชายตัวเองว่า “เล่นกับน้องดีๆ นะ”

 

        เพื่อนบ้านที่อยู่รอบข้างก็มักจะพูดว่าคุณแม่โจวเป็นผู้หญิงที่โชคดี

 

        สามีทำงานหาเงินนอกบ้านได้ ลูกชายก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ ในบรรดาเด็กที่โตเท่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือว่าเรื่องการวางตัวและปฏิบัติตัวต่อคนอื่น โจวเจ๋อหยวนล้วนทำได้โดดเด่นกว่าคนอื่นไม่น้อยเลย เรียกได้ว่าเขาสามารถเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆ ทุกคนที่นี่ได้อย่างแน่นอน

 

        “พี่เสี่ยวหยวน” เซี่ยเจิงพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนของโจวเจ๋อหยวน แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า “พ่อแม่ของพี่ทะเลาะกันไหม? ”

 

        โจวเจ๋อหยวนยื่นนมเปรี้ยวที่เจาะหลอดเรียบร้อยแล้วให้เซี่ยเจิง แล้วตอบไปว่า “ทะเลาะนะ”

 

        “จริงเหรอ? ” เซี่ยเจิงดูดนมเข้าปากไป “แต่ผมไม่เคยได้ยินเสียงเลย”

 

        “ทะเลาะกันเสียงเบาๆ หน่ะ” โจวเจ๋อหยวนนั่งไขว่ห้างลงที่ด้านหน้าของเซี่ยเจิง แล้วเริ่มรู้สึกว่าการหลอกเด็กนี่มันไม่ง่ายเลย

 

        “ว่าแต่พี่เสี่ยวหยวนคงจะได้ยินเสียงพ่อกับแม่ของผมทะเลาะกันล่ะสิ” ดวงตาของเซี่ยเจิงที่สดใสราวกับสีของอำพัน แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ หมองลง “สองวันก่อนพวกเขาทะเลาะกันน่ากลัวมาก”

 

        เซี่ยเจิงค่อยๆ ดื่มนมเปรี้ยวทีละอึกๆ จนหมดเกลี้ยง ทั้งยังพูดด้วยเสียงค่อยๆ ออกมาหนึ่งประโยคว่า “พี่เสี่ยวหยวน ผมกลัวสุดๆ เลย”

 

        แม้ผ่านระยะเวลาจะผ่านมาอย่างอันยาวนาน แต่เซี่ยเจิงยังคงไม่ลืมช่วงเวลานี้ที่โจวเจ๋อหยวนใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ก็หนักแน่นพูดกับเขาว่า

 

        “ไม่ต้องกลัว ถ้ารู้สึกกลัวก็มาหาพี่นะ”

 

        แล้วเซี่ยเจิงก็ทำเช่นนั้นจริงๆ

 

        หลังจากวันนั้นเซี่ยรุ่ยเซินก็ดื่มเหล้าหนักยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังทะเลาะกับแม่ของเซื่ยเจิงบ่อยขึ้นด้วย มีหลายคืนที่เซี่ยเจิงไม่กล้ากลับบ้านจึงนอนที่บ้านของโจวเจ๋อหยวน แล้วพี่เสี่ยวหยวนก็จะบอกกับเขาก่อนนอนเสมอว่า

 

        “ฝันดีนะ”

 

        ถ้าหากความสัมพันธ์ของเขาและโจวเจ๋อหยวนหยุดอยู่แค่ช่วงเวลานี้ เซี่ยเจิงคิดว่าเมื่อหวนคิดถึงมัน โจวเจ๋อหยวนคงจะเป็นเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งที่มาช่วยปลดปล่อยเขาออกจากความโดดเดี่ยวในวัยเด็ก

 

        แต่น่าเสียดาย ไม่มีคำว่าถ้าหากอีกต่อไป

 

        นั่นเป็นเพียงแค่ฝันดีในคืนหนึ่งเท่านั้น

 

        หลายปีต่อมาเซี่ยเจิงได้พบกับโจวเจ๋อหยวนอีกครั้ง เขาและแม่ย้ายออกจากตึกเก่าที่เป็นชุมชนแออัดมาตั้งนานแล้ว และได้ข่าวว่าหลังจากที่พวกเขาย้ายไปได้ไม่นาน ครอบครัวของโจวเจ๋อหยวนก็ย้ายออกมาเหมือนกัน แต่ย้ายไปอยู่หมู่บ้านหรูหราที่เพิ่งสร้างใหม่

 

        แต่เมื่อเซี่ยเจิงเห็นเข้ากับด้านหลังที่คุ้นเคยเลยเรียกชื่อของเขาออกไปอย่างไม่ลังเล เหมือนกับในตอนนั้น

 

        “พี่เสี่ยวหยวน !”

 

        “เซี่ยเจิงเหรอ? ”

 

        โจวเจ๋อหยวนทั้งตกใจทั้งดีใจ ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาหลายนาที เขาตัวสูงขึ้นมาก รูปร่างทั้งตัวของเขาก็ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่มาก แต่ว่ารอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านั้นไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลย เซี่ยเจิงรู้สึกว่าความทรงจำในตอนนั้นปรากฎขึ้นมาอยู่ตรงหน้า เขาคือพี่เสี่ยวหยวนเสมอมา

 

        “พี่เสี่ยวหยวนทำไมพี่มาอยู่ที่นี่นี้ได้ล่ะ? ” ความดีอกดีใจของการที่ได้กลับมมาเจอกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานทำให้ทั้งสองคนใกล้ชิดสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว เซี่ยเจิงกำลังอยู่ในช่วงที่ตัวสูงชะลูดในวัยแตกเนื้อหนุ่ม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโจวเจ๋อหยวนแล้วก็ยังคงเตี้ยกว่าอยู่ประมาณหนึ่งช่วงหัว และยังคงเป็นเพียงเด็กน้อย

 

        “พี่มาซื้อของแถวนี้หน่ะ” โจวเจ๋อหยวนเขย่าถุงชอปปิงในมือ “เสี่ยวเจิง เป็นนายจริงๆ เหรอเนี่ย !” โจวเจ๋อหยวนเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อ ทั้งยังมองเซี่ยเจิงขึ้นๆ ลงๆ อยู่อีกหลายรอบ “พอตัวสูงแล้ว ก็หล่อเลยนะเนี่ย !”

 

        “แหะๆ จริงเหรอ? ” เซี่ยเจิงเขินจนยิ้มแหยๆออกมาสองที

 

        “คุณป้าสบายดีไหม ?” โจวเจ๋อหยวนถามต่อ “ทำไมตอนนั้นรีบย้ายออกไปจัง แม้แต่เบอร์ติดต่อก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้พี่ ?”

 

        “แม่ผมสบายดี” แล้วเซี่ยเจิงก็รีบอธิบายต่อ “พวกเขาสองคนหย่ากันแล้ว แม่ผมเลยรีบย้ายออกก็เลยไม่ได้… พี่เสี่ยวหยวนผมขอโทษนะครับ”

 

 

        “อ๋า” โจวเจ๋อหยวนตบไปที่ไหล่ของเซี่ยเจิง “เพิ่งจะได้กลับมาเจอกัน มาขอโทษพี่ทำไม ไม่เป็นไรๆ พวกเราก็ได้กลับมาเจอกันแล้วนี่ไง ใช่แล้ว งั้นไปนั่งเล่นบ้านพี่ไหม? จะได้รู้จักบ้านเอาไว้ด้วย พี่มีเรื่องจะคุยกับนายเยอะเลย”