ตอนที่ 6 ดูสิว่าใครจะตายก่อนกัน!

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 6 ดูสิว่าใครจะตายก่อนกัน!

หลินม่ายที่เผชิญกับการด่าทอของสองสามีภรรยาหลินเจี้ยนกั๋วจึงแย่งปลาตุ๋นน้ำแดงมากิน

ต่อให้ไม่แย่ง สองสามีภรรยาคู่นี้ก็ต้องหาข้ออ้างมาด่าทอเธออยู่ดี

ส่วนกุยช่ายผัดไข่และเต้าหู้ประจำวันชามนั้นเธอไม่ได้แย่งต้าโก๋วและเอ้อโก๋วแต่อย่างใด เธอไม่อยากผิดใจกับเติ้งซิ่วจือเพราะอาหารสองจานนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นหลินเพ่ยคงใช้หล่อนมาต่อกรกับเธอได้ 

เมื่อก่อนหลินเพ่ยเคยใช้หญิงโง่เขลาคนนี้มาต่อกรกับเธอไม่น้อย

หลังกินข้าวเสร็จ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ขอทะเบียนบ้านเพื่อประกอบการจดทะเบียนสมรสจากซุนกุ้ยเซียง

ซุนกุ้ยเซียงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ม่ายจื่ออายุไม่ถึงจะจดทะเบียนสมรสได้ยังไง?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงเอ่ยว่า “แก้อายุเสียก็สิ้นเรื่องครับ”

หลินเพ่ยเห็นซุนกุ้ยเซียงเกิดความสงสัย ก็กลัวว่านางจะไม่ตอบรับ จึงรีบลากนางเข้าไปในห้อง “แม่ เสี่ยวเจี๋ยนกับม่ายจื่อแต่งงานกันก็เพื่อหย่ากัน แม่รีบรับปากเขาไปเถอะค่ะ ถึงคราวหย่ากันแม่ก็ค่อยรีดไถตระกูลอู๋สักก้อนก็ได้”

ซุนกุ้ยเซียงถามขึ้น “รีดไถยังไง?”

หลินเพ่ยพูดเสียงต่ำ “ก็ไม่ยอมหย่าไงคะ ถ้าจะหย่าก็ต้องชดใช้ด้วยเงินจำนวน 50 หยวนให้ม่ายจื่อ”

ซุนกุ้ยเซียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แม่สามีของม่ายจื่อไม่ใช่ใครจะตอแยได้ เรียกเงินจากหล่อนตั้ง 50 หยวน หล่อนคงให้หรอก?”

หลินเพ่ยเอ่ยอย่างมั่นใจ “มีเสี่ยวเจี๋ยนทั้งคน ฉันให้เขาไปโวยวายกับพ่อแม่ของเขาก็ได้แล้ว ต่อให้ไม่ได้เงิน 50 หยวน ได้มา 30 หยวนก็ยังดี”

ซุนกุ้ยเซียงเบะปาก “ต่อให้ได้มา เราก็ไม่ได้ส่วนแบ่งสักสตางค์แดงเดียว สุดท้ายมันก็ตกเข้ากระเป๋าแกไม่ใช่รึไง”

สินสอดทองหมั้นและผ้าที่ใช้หลินม่ายได้มาล้วนถูกยกให้ลูกสาวคนโตหมดสิ้น ในใจของซุนกุ้ยเซียงก็ใช่ว่าจะไม่ขุ่นเคืองใจ

เพียงแต่วิมานเมขลาที่ลูกสาวคนโตวาดฝันไว้ช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก บอกว่าหลังหล่อนเรียนจบมัธยมปลายจะหางานดี ๆ ทำ

ถึงตอนนั้นก็คงจะจุนเจือในบ้านได้ดี และกตัญญูต่อนาง นางจึงจำใจเห็นด้วย และจดจำมันขึ้นมามาตลอด

หลินเพ่ยรีบให้สัญญา “เงินที่ได้จากการหย่าก็จะยกให้แม่ทั้งหมด ฉันไม่ต้องการแม้แต่ส่วนเดียว รอให้ม่ายจื่อหย่ากลับมา เราค่อยจับหล่อนแต่งงานกับพ่อหม้ายในภูเขาลึก เรียกสินสอดทองหมั้นก้อนใหม่”

ซุนกุ้ยเซียงตื่นเต้นทันใด จากนั้นก็หยิบทะเบียนบ้านจากในตู้ออกมาให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยน

หมู่บ้านหวังเจียและหมู่บ้านอู๋เจียห่างไกลกันมาก ถ้าไม่รีบกลับบ้าน วันนี้ก็คงกลับไม่ถึง

ดังนั้นทันทีที่ได้ทะเบียนบ้าน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินม่ายก็กลับบ้านสกุลอู๋ทันที แต่ทั้งสองคนต่างคนต่างเดิน เหมือนคนแปลกหน้า

ระหว่างทาง ใบหน้าของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ดูไม่รับแขกอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง เขาก็โพล่งถามออกไป “ไหน้ำมันใบนั้นเธอตั้งใจทำมันแตกใช่ไหม?”

แน่นอนว่าหลินม่ายตั้งใจทำแตก

ตอนนั้นเธอยืนอยู่นอกห้องครัว จึงถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครอยู่ในห้องครัวและห้องโถง หยิบไม้ตะบองอันหนึ่งออกมาแล้วดันไหน้ำมันใบนั้นตกพื้นจากทางหน้าต่างจนแตกกระจาย

หลินม่ายช้อนตามองเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ฉันทำแล้วจะทำไม ใครใช้ให้พวกนายสองคนลอบกัดฉันล่ะ? ฉันจะยอมให้หลินเพ่ยกินข้าวคลุกน้ำมันงั้นเหรอ? ให้หล่อนไปกินขี้เสียยังดีกว่า!”

ใบหน้าของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลางเอ่ยอย่างเดือดดาล “เธอแอบฟังฉันคุยกับพี่สาวของเธอเหรอ?”

หลินม่ายจ้องมองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ

รูปร่างสูงสันทัด หน้าตาหล่อเหลา ไม่ได้หยาบกร้านเหมือนกับชาวไร่ชาวนาทั่วไป มีความอ่อนโยนดุจสายน้ำที่มีริ้วคลื่น

เยาวชนคนหนุ่มในครอบครัวชาวไร่ชาวนาแบบนี้เป็นที่หมายปองของหญิงสาวในชนบทมาก

ตัวเองในอดีตชาติก็ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเย้ายวน จนมองข้ามความอัปลักษณ์และความโหดร้ายที่ซ่อนลึกในดวงตาคู่นั้นของเขาไปไม่ใช่หรือ?

ท่าทางของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนสร้างความขุ่นเคืองให้หลินม่ายเป็นอย่างมาก  เธอซัดหมัดหนึ่งเข้าที่เบ้าตาข้างขวาของเขา “นายกับนังแพศยานั้นลอบกัดฉัน ฉันยังไม่เคยต่อว่านายเลย แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาถามฉัน นายไปเอาความใจกล้า ไปเอาความหน้าด้านนี้จากใคร หา!”

ประโยคสุดท้ายหลินม่ายโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ตามมาด้วยหมัดอีกหนึ่งฉาก ซัดเข้าเบ้าตาข้างซ้ายของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนอย่างเต็มแรง

ครั้งนี้ดีหน่อย เบ้าตาทั้งสองข้างของเขาบวมเป่งเท่ากันแล้ว  ช่วยรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำของเธอได้ในพริบตา

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกต่อยจนมึนงงไปเล็กน้อย ผ่านไปครึ่งนาทีกว่าจะได้สติกลับมา “เธอต่อยฉันเหรอ?”

สีหน้าของชายหนุ่มดูไม่อยากจะเชื่อ ตามมาด้วยการพุ่งตัวเข้าหาหลินม่ายเหมือนกับหมาบ้าที่ยังไม่ฉีดวัคซีน “ฉันจะฆ่าแกให้ตายตรงนี้นังแพศยา!”

เขาในเวลานี้โกรธจนขาดสติ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนอยู่บนภูเขา หมายมั่นจะฆ่านังแพศยาให้ตาย แล้วค่อยสร้างสถานการณ์ว่าหล่อนสะดุดหกล้มพลาดตกเขาตายเอง หลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง ไม่ต้องถูกหล่อนหยิบยกเรื่องที่หลินเพ่ยไปเรียนแทนหล่อนออกมาขู่เขาอีก

หลินม่ายคว้าตะบองไม้หยาบขนาดเท่าถ้วยน้ำชาด้ามหนึ่งมาถือไว้ในมือ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยังไม่ทันได้เข้าใกล้ เธอก็หวดตะบองใส่ตำแหน่งไตของเขาอย่างเต็มแรง ความเจ็บปวดแผ่ขยายจนเขาแทบหยุดหายใจ “มาสิ ดูสิว่าใครจะตายก่อนกัน!”

แม้หลินม่ายจะมีรูปร่างบอบบาง เรี่ยวแรงก็สู้ชายฉกรรจ์ตรงหน้าไม่ได้ แต่เธอกลับชิงความเหนือกว่าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ตะบองแล้วตะบองเล่าฟาดลงมาไม่ยั้งจนเขาต้องชักกระตุกไปทุกส่วน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกเธอฟาดจนร้องครวญครางสุดจะเวทนา

กระทั่งอู๋เสี่ยวเจี๋ยนชักกระตุกอยู่บนพื้น หลินม่ายจึงหมดแรง

ทั้งสองคนนอนอยู่บนพื้นหญ้าแห้งที่เหลืองอร่าม หายใจกระหืดหระหอบ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคียดแค้น

หลินม่ายส่งเสียงหัวเราะเยาะ “อยากฆ่าฉันใช่ไหมล่ะ คิดว่าฉันจะยอมให้นายทำเหรอ? อย่าแม้แต่จะคิด!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเกลียดชังเธอมากขึ้น

หลินม่ายไม่ยี่หระต่อสายตาที่ดุร้ายของเขา “อย่ามาโทษว่าฉันไม่เตือนนายก็แล้วกัน ถ้านายกล้าเล่นสกปรกตามคำสั่งของหลินเพ่ยอีก ฉันจะทำให้หลินเพ่ยหมดอนาคตทันที!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนรีบเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรอีก

หลังจากนั้น 15 นาที หลินม่ายก็สงบลง ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นหญ้า ใช้ไม้ตะบองฟาดลงบนร่างกายท่อนล่างของเขาอย่างรุนแรง 

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเจ็บปวดรวดร้าวจนต้องร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาจับใจ นอนขดตัวงอก่องอขิงกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นหญ้า 

น้ำเสียงเย็นเยียบของหลินม่ายดังขึ้นเหนือศีรษะ “ถ้านายเชื่อฟังหลินเพ่ย กล้าลวนลามฉัน อย่ามาหาว่าฉันทำให้นายเป็นหมันก็แล้วกัน!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอ้อนวอนขอชีวิตต่อหน้าเธอเป็นครั้งแรก “ฉัน….ฉันสัญญาว่าจะไม่…..”

เสี่ยวม่ายเห็นเขาเจ็บปวดรวดร้าวเช่นนี้ก็คาดว่าอวัยวะท่อนล่างคงได้รับความเสียหายอย่างหนัก กว่าจะทุเลาลงคงกินเวลาหลายเดือน ต่อให้เขาคิดจะลวนลามเธอก็คงจะไม่มีแรง

แต่แล้วตะบองด้ามนั้นก็ฟาดลงบนต้นขาของเขาอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนออกไป “อย่ามาแกล้งตาย!ลุกขึ้น!ไสหัวกลับบ้านนายไป!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น ข่มความเจ็บปวดพร้อมกับเดินไปข้างหน้า

หลินม่ายเดินไปพลางครุ่นคิดไปพลาง

พ่อแม่ของผู้ชายห่วยแตกคนนี้ก็ใช่ว่าจะดีวิเศษวิโส ถ้าให้พวกเขารู้ว่าเธอให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนย้ายเธอจากทะเบียนบ้านสกุลหลินไปอยู่คนเดียว พวกเขาคงไม่ยอมแน่นอน

เพราะหลินเพ่ยไม่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านสกุลอู๋ และหล่อนก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ชายห่วยแตกนี้ด้วย

การย้ายสำมะโนครัวไปอยู่คนเดียวนั่นหมายความว่าจะต้องหนี สกุลอู๋คงได้วิ่งเต้นเหมือนสุนัขถูกน้ำร้อนลวก พ่ออู๋แม่อู๋จะรับได้เหรอ?

ไม่เพียงแต่จะรับไม่ได้แล้ว ทั้งยังใช้สารพัดวิธีมาขวางเธอแน่นอน

อย่างไรก็ต้องปิดบังเรื่องนี้กับพวกเขา

รอให้ย้ายออกมาสำเร็จ จนเธอหนีไปได้ ทิ้งปัญหาหนักใจให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตามเช็ดตามล้างด้วยตัวเอง

หลินม่ายฟาดตะบองลงบนแผ่นหลังของผู้ชายห่วยแตกคนนี้อีกครั้ง “เรื่องที่นายย้ายฉันออกจากทะเบียนบ้านห้ามบอกพ่อแม่นายเด็ดขาด ถ้าให้พวกเขารู้ จนทำให้ฉันย้ายออกจากทะเบียนบ้านไม่ได้ เตรียมรอผลที่ตามมาได้เลย!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกฟาดจนเข้าเต็มหลังจนสะดุ้งโหยง ก่อนจะตอบรับด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้เต็มทน

กระทั่ง 6 โมงเย็นช่วงเวลาใกล้โพล้เพล้ หลังจากเดินมาตลอดจนขาใกล้จะหมดแรง อึดใจเดียวก็ถึงปากทางหมู่บ้านแล้ว

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ถูกหลินม่ายฟาดด้วยไม้ตะบองที่เย็นเยียบมาตลอดทางก็เหมือนเห็นความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง จึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

ขอแค่กลับถึงบ้านก็พอ นังแพศยาคงไม่กล้าตีเขาอย่างไม่เกรงกลัวแบบนี้

ทั้งสองคนเดินนำหน้าคนตามหลังคนเข้าไปในหมู่บ้าน

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกต่อยเข้าเบ้าตาจนปูดบวมคล้ายกับหมีแพนต้าทั้งสองข้าง เขาหวังให้ชาวบ้านเข้ามาถาม จะได้ฉวยโอกาสนี้ฟ้องความโหดเหี้ยมของนังแพศยาคนนี้

แต่กลับพบว่าชาวบ้านที่เจอเขาได้แต่ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังด้านหลังของเขา

ความสงสัยของเขาผุดขึ้นมา จึงหันกลับไปมองด้านหลังว่ามีอะไรที่ดึงดูดสายตาของชาวบ้าน

จนมีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ภรรยาเสี่ยวเจี๋ยน นี่เธอ….ไปโดนอะไรมา?!”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ

แววตาของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกวาดมาที่หลินม่าย กระทั่งตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก

ทำไมนังแพศยาคนนี้ถึงมีใบหน้าบวมอืดเหมือนหัวหมูแบบนี้ล่ะ?

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หล่ออย่างเดียวแต่นิสัยเชี่ยก็ไม่ไหวนะคะ ม่ายจื่อหาพระเอกคนใหม่เถอะ หลัวที่ดีคือหลัวใหม่ค่ะ

รู้จักมารยาของหลินม่ายน้อยไปแล้ววว

ไหหม่า(海馬)