อ๊ากกกก ในที่สุดก็ต้องใช้ราชาศัพท์ ยุ่งยากเป็นที่สุดดดดด แปลนี่ว่ายากแล้วนะ หาคำมาใช้นี่ยากกว่าอีก ผิดตรงไหน ต้องแก้ไขอย่างไร กรุณาแจ้งด้วย จะรีบทำการแก้ไข
เจ้าหญิงเจ้าชายนี่ต้องใช้ราชาศัพท์ระดับเจ้าฟ้าใช่ไหม?
(ノಠ益ಠ)ノ彡┻━┻
ใช้อาณัติตามเดิมนะครับ เพื่อความสะดวกของผู้แปล ฮาาาาา
ในโลกมารมีเผ่าพันธุ์อยู่หลากหลาย
เผ่ามังกรผู้สืบเชื้อสายจากเทพมังกรก่อเกิด ซัคคุบัสและอินคุบัสที่ไวต่อสเน่ห์ของบุคคล แวมไพร์ที่ให้ความสำคัญแก่โลหิตและวิญญาณ สุรที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงที่สุด เอลฟ์รัตติกาลที่ถูกขับออกมาจากเผ่าเทพเดิม
ถ้าจะให้ไล่ทุกเผ่าพันธุ์ก็คงจะไล่ได้ไม่หมด
ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่มีปริมาณเท่าจำนวนเม็ดทราย มีเพียงหนึ่งหยิบมือเท่านั้นที่แสดงความสามารถอันโดดเด่นออกมา
เผ่าไลแคนโทรปเป็นหนึ่งในหยิบมือนั้น พวกมันมีพลังชีวิตที่สูงมาก ซ้ำยังคงทนต่อการผันเปลี่ยนของกาลเวลา และด้วยสัญชาตญาณดิบของสัตว์ป่าที่มีติดตัวตั้งแต่เกิด ทำให้เผ่าไลแคนโทรปถือได้ว่าเป็นสุดยอดนักล่า
เหล่าไลแคนโทรปกำลังหายใจอย่างรุนแรง
ลักษณะภายนอกของพวกมันสามารถจำแนกได้หลากหลาย เสือ หมาป่า หมี และอื่นๆ
พวกมันไม่ได้หายใจอย่างรุนแรงเนื่องความเหนื่อยล้า แต่เพื่อข่มตนไม่ให้สูญเสียสติไปกับสัญชาตญาณนักล่าที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
กลิ่นเลือดทั่วสมรภูมิรบเป็นสิ่งยั่วยวนอย่างดีสำหรับนักล่าเหล่านี้ บ้างที่สูญเสียการควบคุม กระโดดเข้ากัดแทะซากของเหล่าออร์คที่ล้มตาย
ในบรรดาเหล่าไลแคนโทรป มีหนึ่งตนที่ต่างออกไป
นางมีเส้นผมสีน้ำเงินกำมะหยี่ ในชุดหนังที่โชกเลือด
เคทลิน มูนไลท์
องค์หญิงลำดับแปดกำลังหลับตาลงเพื่อควบคุมลมหายใจของนาง
ถึงแม้เธอจะเป็นเพียงลูกผสมระหว่างไลแคนโทรปกับสุร แต่ไม่มีใครกล้าปฎิเสธตัวตนของเธอ
หลังจากสูดดมกลิ่นอยู่นาน เธอก็ลืมตาขึ้นมองไปโดยรอบแล้วขมวดคิ้ว
‘มันหนีไปได้’
เธอถล่มกองทัพของไคชินสำเร็จ แต่พลาดในการสังหารไคชินและไคดุม
‘มันช่วยไม่ได้’
ในการตะลุมบอนที่เกิดขึ้น ทั้งสองเป็นพวกขี้ขลาดที่หนีทัพ
ก็นะ ถ้าไม่หนีทัพ พระเอกเราก็อดผลงานสิ
‘ใช่แล้ว มันช่วยไม่ได้’
เธอพยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองแต่ก็ไร้ผล เธอเตะพื้นดินโดยรอบด้วยความหงุดหงิด
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”
เคทลินหันไปมองทหารที่มาเรียกเธอ
“มีอะไรหรือ เซร่า”
ที่คุกเข่าคำนับอยู่เบื่้องหน้าคือทหารองครักษ์ประจำตัวของเธอ ไลแคนโทรปเสือดาว เซร่า แม้เส้นผมสีทองของเธอจะชโลมไปด้วยเลือด แต่เธอไม่มีอาการเสียสติแต่อย่างใด
“บาดเจ็บตรงไหนไหม?”
เคทลินถามอย่างอ่อนโยน
“เป็นพระกรุณาที่ทรงห่วงใย ข้าพระพุทธเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าพระพุทธเจ้ามีเรื่องจะกราบทูล ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดกล้าโปรดกระหม่อม”
“หืม? มีอะไรรายงานงั้นหรือ?”
การต่อสู้จบลงไปแล้ว เคทลินไม่คิดว่าจะมีอะไรต้องรายงานอีก เซร่าขยับเข้าใกล้เพื่อรายงาน
“ขอพระราชทานกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ไคชินและไคดุม ทั้งคู่ถูกสังหารเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพคะ”
เป็นข่าวดี แต่เคทลินรู้สึกสงสัยมากกว่าจะยินดี
“ฝีมือใคร?”
ทั้งคู่หนีทัพตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น จะบอกว่ามีทหารบางส่วนไล่ตามไปก็ไม่น่าใช่
เซร่ากระแอมเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“องค์ชายฉัตรเพคะ”
“ฮ่ะ?”
เคทลินสงเสียงออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ นั่นเพราะชื่อของฉัตรโผล่ออกมาอย่างไม่มีใครคาดคิด
เซร่าเข้าใจความคิดของเคทลิน เธอรายงานต่อไปด้วยร้อยยิ้มแห้งๆ
“องค์ชายทรงเข้าขัดขวางการหลบหนีของทั้งคู่ ทั้งนี้พระองค์ท่านทรงปลิดชีพไคดุมด้วยตัวพระองค์เองเพคะ”
เคทลินได้แต่จ้องมองอย่างงงงวย เซร่าเข้าใจอาการของเจ้านายของเธอเป็นอย่างดี
‘เราก็คิดเหมือนกัน’
แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือความจริง
องค์ชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา
องค์ชายที่อ่อนแอที่สุดเป็นผู้ได้รับความดีความชอบมากที่สุดจากการจับกุมไคชินและไคดุม
&
เขาได้รางวัลจากการจับศัตรู
เขาเพิ่มเลเวลขึ้นมาสามเลเวล และเรียนรู้ทักษะเทเลคิเนซิส
มันเป็นเรื่องที่ดี แต่อินกองก็ไม่รู้สึกสบายใจมากนัก
‘มันคืออะไรกันนะ?’
สตรีชุดขาวที่เขาเห็นในระหว่างการต่อสู้
นางสวมชุดสีขาวและมีมงกุฎสีทองอยู่บนหัว ตาของนางข้างหนึ่งสีแดง ข้างหนึ่งสีน้ำเงิน นางดูสง่างามเกินกว่าที่จะมีตัวตนจริง
‘ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าสง่างาม…นางดูต่างออกไป?’
พูดโดยง่ายว่านางไม่ใช่คนปกติทั่วไปอย่างแน่นอน
แต่ว่านางเป็นใครกันแน่? นางไม่เคยปรากฎตัวในบทกวีแห่งผู้กล้า
‘หรือว่านางเป็นตัวละครสำคัญที่จะโผล่แค่ในช่วงเวลาคับขัน?’
หรือบางที นางอาจจะเป็นคนที่พาเขามายังโลกนี้ก็เป็นได้
‘ลงทัณฑ์ ศิโรราบ ปกครอง’
คำที่นางบอกเขาโผล่ขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
อินกองเปิดหน้าต่างสถานะและทักษะขึ้นมา
[อาชีพรอง: อาชาแห่งอาณัติ ขั้น1] [อาณัติ ขั้น1] [ใต้ร่มเงากษัตริย์ ขั้น1]
ทักษะอาณัติเปิดทำงานและเปลี่ยนเป็นขั้น1 แต่ก็เหมือนพลังพระเอก เขาไม่สามารถเพิ่มขั้นให้ทักษะนี้ได้ผ่านทางแต้มของเขา
‘อาณัติ กับ อาชา’
มันเป็นทักษะและอาชีพที่ไม่มีให้ใช้ในบทกวีแห่งผู้กล้า
‘ใต้ร่มเงากษัตริย์เป็นทักษะเสริมพลัง… ความสามารถของอาณัติก็คือบารมีแห่งพระราชา… หรือว่านั่นจะเป็นเหตุที่สตรีชุดขาวสวมมงกุฎบนหัว?’
อินกองคิดอยู่นานก็คิดไม่ตก
‘เฮ้อ ช่างมันเถอะ ถ้านางไม่ใช่ตัวประกอบ ไปเรื่อยๆเดี๋ยวนางก็โผล่มาอีกแหละ’
เขามีข้อมูลน้อยเกินไป คิดไปก็ไม่มีคำตอบ เขาจึงหยุดคิดแต่เพียงเท่านี้
‘นี่ถ้าเราไปที่หอสมุด มันน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่’
หอสมุดในวังของจอมมารได้รับการดูแลโดยเอลเดอร์ลิช (elder lich) ข้อมูลในนั้นได้รับการบันทึกรักษามานาน เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับอาชาแห่งอาณัติอยู่บ้าง
‘แต่จะขอเข้าไปหาข้อมูลได้ เราก็ต้องเก่งกว่านี้ก่อนละนะ’
มีกฎติ๊งต๊องอยู่ในโลกมารและวังจอมมาร
หากเลเวลน้อยเกินไปจะไม่สามารถใช้สถานที่บางอย่างได้ ยิ่งถ้าจะใช้ร้านเหล็ก และหอเวทก็ยิ่งต้องการเลเวลที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก
อารมณ์แบบ เลเวลน้อยยังไม่พร้อม เข้าไปก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ จะเจ็บตัว หรือว่าสถานที่เสียหายก็ว่าไปอย่าง
หอสมุดต้องใช้เลเวลสูงพอสมควร แม้แต่แซเฟียร์ก็ไม่สามารถเข้าไปใช้ได้ในช่วงต้นเกม
‘แค่นี้ก็ถือว่าดีพอละ’
ตอนนี้เขาเลเวลแปด แม้จะยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคารัค แต่ก็ถือว่าไม่น้อยหากดูเวลาที่เขาเพึ่งมาอยู่
‘จะว่าไปแล้ว’
อินกองเพึ่งจะฆ่าออร์คตายคามือ แต่เขากลับไปรู้สึกอะไรทั้งสิ้น
‘เอิ่ม จริงๆตอนนี้เราน่าจะกระทบกระเทือนทางจิตใจปะ?’
หรือเขาจะเป็นพวกวิกลจริต? นั่นก็ไม่ใช่ บางทีอาจจะด้วยเพราะเขาอยู่ในการต่อสู้ ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า
ใช่แล้ว ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า แต่กฎหมายก็ถือว่าผิดนะเอ้อ
‘อาจจะเป็นเพราะว่านั่นมันคือออร์ค’
ถึงจะดูจะผิดต่อคารัคอยู่บ้าง แต่อินกองยังไม่ถือว่าออร์คเป็นเพื่อนร่วมโลก อาจจะด้วยรูปร่างที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว
เพราะมันคิดกันแบบนี้ไง ถึงได้เกิดสงคราม
“องค์ชาย”
“ฮ่ะ?”
อินกองเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียกของคารัค คารัคมองอินกองด้วยสายตาราวกับมองคนบ้า พลางชี้ไปที่ทางเดินข้างนอก
“ใครสักคนกำลังเดินทางมา”
“ใคร?”
อินกองถามแต่ไม่มีคำตอบ เขาจึงชะโงกหน้าออกไปดูที่ตีนเขา
‘เคทลิน?’
เคทลินเดินทางขึ้นเขามาด้วยเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เขามีเวลามองสำรวจได้ไม่นานนัก
“เป็นอะไรไหม? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
เคทลินถามอย่างเป็นห่วง พลางมองดูเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของอินกอง
“เธอ… ไม่สิ แล้วนูนะละ ไม่บาดเจ็บใช่ไหม?”
อินกองเป็นห่วงเคทลินมากกว่าตัวเขาเองเสียอีก เสื้อผ้าของเขามีรอยเลือดเพียงเล็กน้อย ผิดกับเคทลินที่แม้แต่เส้นผมของเธอก็กลายเป็นสีเข้มจากคราบเลือด
เคทลินยักไหล่ให้กับอินกอง
“เลือดพวกนี้ไม่ใช่ของฉัน”
‘โห ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีคนใช้คำพูดนี้จริงๆ’
เคทลินขยับเข้าใกล้อินกองแล้วจ้องเข้าไปในตาของเขา
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ผมจะเล่าให้ฟังครับ”
อินกองสรุปเรื่องโดนสั้นให้เธอฟัง เขาเจอถ้ำในระหว่างลาดตระเวน เข้าไปสำรวจข้างใน พบกับกลุ่มของไคชินที่ทางออก
‘เรื่องอาวุธดวอฟ ให้มันอยู่เงียบๆในช่องเก็บของไปเถอะนะ’
อินกองมองไปที่ช่องเก็บของอย่างกระสับกระส่ายก่อนจะมองกลับมาที่เคทลิน
‘เธอจะมีปฏิกริยายังไงบ้างละนิ?’
เคทลินเป็นคนวางแผนแบ่งกำลังในการประชุมเมื่อวาน บางทีที่เธอใจดีอาจเป็นเพราะเขาดูไม่มีพิษภัยก็เป็นได้ ทว่าตอนนี้ อินกองกลับได้ความดีความชอบไปมากที่สุด นั่นอาจจะทำให้ทีท่าของเธอเปลี่ยนไป
เคทลินจะมีอาการอย่างไรนะ?
เธออาจจะระแวง? หรือเธอจะปฏิบัติกับเขาแบบเดียวกับที่แซเฟียร์ทำ?
“สุดยอด”
“อ๋า?”
“มันสุดยอดมาก ที่เธอสร้างผลงานทั้งหมดขึ้นเอง!”
มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เคทลินหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ในหน้าของเธอดูงดงามมาก แม้ร่างของเธอจะเต็มไปด้วยคราบเลือดก็ตาม แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าดอกไม้แรกแย้ม
แรกแย้มในกองเลือด…ไม่มั้งเพื่อน
เคทลินดูต่างไปจากเมื่อวาน ดูเหมือนเธอยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจที่น้องชายเธอมีผลงานซะที
‘เอิ่ม สงสัยเราจะมองโลกแง่ร้ายมากไป’
อินกองรู้สึกแย่กับความคิดดำมืดของเขา
‘แซเฟียร์เล็งกำจัดคนแบบนี้เนี่ยนะ? สมกับที่เป็นแซเฟียร์จริงๆ’
แซเฟียร์กำจัดญาติพี่น้องทั้งหมดเพื่อให้หมดสิ้นเสี้ยนหนาม มันคงยากที่จะผูกมิตรกับคนแบบนั้น
อย่างน้อยข้อสงสัยในหัวข้ออินกองก็หมดไปอีกหนึ่ง ทั้งเคทลินและสตรีชุดขาวต่างเรียกได้ว่าเป็นหญิงงามทั้งคู่ จะต่างกันก็ตรงที่เคทลินดูเป็นคนจริงๆ ในขณะที่สตรีชุดขาวดูไม่ใช่มนุษย์
“เธอเก่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้นะ แบบนี้สิค่อยดูพึ่งพาได้หน่อย”
เคทลินตบไหล่อินกองเบาๆ แต่ในขณะนั้น อินกองกลับคิดไปอีกอย่าง
‘เราเรียนเทเลคิเนซิสมาได้ เพราะโดนมันอัดเข้าใช่มะ?’
โชคร้ายที่อินกองไม่รู้จักนักบุญที่สามารถใช้รัศมีเทพได้ จะนักเวทที่ใช้เวทมนตร์ หรือนักรบที่ใช้ลมปราณ ก็อยู่ไกลเกินเอื้อม
แต่ว่าตอนนี้ มีเคทลินอยู่ต่อหน้าอินกอง
“นูนะครับ ผมขออะไรหน่อยสิ”
“ฮ่ะ? จะขออะไร? ไหนลองว่ามาซิ?”
เธอยิ้มเหมือนเธอดีใจที่เห็นน้องชายคิดจะพึ่งพาเธอ อินกองตอบเธอไปอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
“ช่วยใช้ลมปราณอัดผมเข้าซักทีสิ”
เคทลินเปลี่ยนสีหน้าในทันที
คำฝากจากผู้แต่ง: จตุรอาชาแห่งวันโลกาวินาศ
ม้าขาวแห่งอาณัติ/ ม้าแดงแห่งรณการ/ ม้าน้ำเงินแห่งอาสัญ/ ม้าดำแห่งทุพภิกขภัย
conquest war death famine