ตอนที่ 6 ท่านพ่อและท่านพี่

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 6 ท่านพ่อและท่านพี่

“ภรรยาใหม่ยังไม่ทันแต่งเข้ามา ก็มีอนุภรรยาแล้ว แล้วเจ้าจะบอกกับตงผิงปั๋วอย่างไร” สีหน้าของอันกั๋วกงเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย

เว่ยซื่อหัวเราะเย็นชา “รอให้ลำดับศักดิ์ของตงผิงปั๋วผ่านไปก่อน หลังจากนั้นพวกเขาก็จะไม่มีตำแหน่งตงผิงปั๋วอีก ถึงเวลานั้น พวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากตระกูลชาวบ้านทั่วไป แล้วลูกสาวของเขาก็สูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก การที่ได้แต่งเข้าอันกั๋วกงของเรายังคิดจะเล่นตัวอีกหรือเจ้าคะ”

อันกั๋วกงยิ่งฟังยิ่งไม่พอใจ “จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ควร…”

“นายท่าน ท่านมองไม่ออกเลยหรือ ซานหลางโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว เราไม่สามารถคุมเขาด้วยไม้เรียวอีกต่อไป ถ้าพวกเราไม่อนุญาตให้เขาอยู่กับเฉี่ยวเหนียง เขาอาจทำเรื่องโง่เขลาอีกก็ได้” เว่ยซื่อพูดถึงตรงนี้พลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา “แล้วถ้าซานหลางเกิดอะไรขึ้นมา ข้าเองก็คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้เช่นกัน——”

เมื่อเห็นอันกั๋วกงยังลังเลไม่หาย เว่ยซื่อเอ่ยอย่างโมโห “นายท่าน ก็แค่อนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น จะกลัวอะไรนักหนา เรื่องภายในเช่นนี้ท่านอย่ายุ่งเลยจะดีกว่า ให้ข้าเป็นคนจัดการเองนะเจ้าคะ”

อันกั๋วกงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “งั้นก็ได้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปที่จวนตงผิวปั๋วเสียหน่อย ไปพูดกับเขาดีๆ ล่ะ”

“นายท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เป็นอย่างดี เราไปดูซานหลางกันเถอะเจ้าค่ะ”

ตกดึก จี้ฉงอี้ไข้ขึ้น จนเว่ยซื่อนอนไม่หลับทั้งคืน เช้าวันต่อมา ภรรยาซื่อจื่อกัวซื่อแห่งอันกั๋วกงเข้ามาน้อมทักพลางพูดกับนางว่า “เจ้าเองก็คงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้วสินะ งั้นเจ้าแวะไปที่จวนตงผิงปั๋วแทนข้าที”

กัวซื่อรับคำสั่งของเว่ยซื่อ แม้ว่าภายในใจจะมีความลำบากใจบ้างแต่ก็มิกล้าขัดขืน แล้วนางก็ไปจัดการทันที

เว่ยซื่อเอนตัวลงกับหมอนอิงแล้วหลับตาลง

ภรรยาของต้าหลางเป็นฮูหยินซื่อจื่อแห่งอันกั๋วกง การที่ให้นางเป็นธุระให้ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่จวนตงผิงปั๋วมากแล้ว ขอแค่คุณหนูสี่ได้แต่งเข้ามาที่นี่ เดี๋ยวทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเอง

ซุ้มขายอาหารเช้าตรงปากทางเข้าตรอกซอยอี้เฉียนได้ตั้งขึ้นเสร็จแล้ว มีผู้คนยืนล้อมตรงหน้าร้านจำนวนไม่น้อย แล้วเช้าวันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยเต้าฮวยใส่เห็ดหูหนูสับกับเนื้อเส้นนุ่ม

เสียงโอดร้องอย่างเจ็บปวดได้ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบของจวนตงผิงปั๋ว

อาหมานวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ “คุณหนู นายท่านกำลังลงโทษคุณชายรองเจ้าค่ะ”

เจียงซื่อที่อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งยืนขึ้นพรวด แล้วก็เดินออกไปทันที

“คุณหนูเจ้าคะ นี่มันทางไปเรือนฉือซินนี่เจ้าคะ——” อาเฉี่ยวเอ่ยเตือน

เรือนฉือซินเป็นที่อยู่ของเหล่าฮูหยินแห่งตงผิวปั๋ว ตามปกติแล้ว ในทุกๆ เช้า เหล่าคุณหนูควรไปน้อมทักท่านแม่ของตนก่อน แล้วจึงตามท่านแม่ของตัวเองไปน้อมทักเหล่าฮูหยินที่เรือนฉือซินอีกที แต่เจียงซื่อสูญเสียแม่ตั้งแต่เด็ก พี่สาวแม่เดียวกันก็แต่งงานออกไปเร็ว นางจึงไปคนเดียวเสมอ

“ไปดูพี่รองก่อนแล้วกัน” เจียงซื่อเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม

อาเฉี่ยวยิ่งงงเข้าไปใหญ่ พลันสบตากับอาหมานหนึ่งที

อาหมานเองก็งุนงง พลางส่ายหัวเบาๆ

เมื่อตอนคุณหนูอายุไม่ถึงสิบขวบ คุณหนูกับคุณชายรองสนิทกันพอสมควร มักเล่นด้วยกันบ่อยๆ พอโตขึ้นก็เริ่มออกห่างกับคุณชายรอง โดยเฉพาะสองปีมานี้ คุณหนูพูดกับคุณชายรองแทบจะนับประโยคได้

วันนี้พวกนางรู้สึกว่าคุณหนูทำตัวผิดปกติ

ได้ยินว่าเวลาคนเราเจอเรื่องที่กระทบจิตใจ นิสัยและอารมณ์ก็มักจะเปลี่ยนไป แล้วเมื่อคืน เรื่องที่คุณหนูประสบพบเจอก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย

สาวรับใช้ทั้งสองคนนึกถึงข้อนี้โดยไม่ได้นัดหมาย ยิ่งนึกถึงคุณชายสามแห่งอันกั๋วกงก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชัง

ในจวนตงผิงปั๋วมีบุตรชายทั้งหมดสี่คน นอกจากคุณชายสี่ที่อายุน้อยและยังต้องอาศัยอยู่เรือนท้ายแล้ว คุณชายอีกสามท่านมีเรือนส่วนตัวที่เรือนส่วนหน้ากันทุกคน แล้วเรือนของเจี้ยงจั้นก็อยู่ตรงกลางสวนไม้ไผ่

เจียงซื่อเพิ่งเดินถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงตำหนิต่อว่าดังลั่น “ลูกไม่รักดี ข้าก็ว่าทำไมช่วงนี้เจ้าเงียบไป ที่แท้ออกไปเถลไถลข้างนอกโดยใช้ช่องสุนัขนั่นนี่เอง เจ้าชอบมุดช่องนี้มากใช่ไหม งั้นข้าจะตีเจ้าให้แย่ยิ่งกว่าสุนัขจรจัดข้างถนนอีก คอยดู!”

“สุนัขจรจัดไม่แย่นะขอรับ” เสียงอ่อนๆ ดังขึ้นแล้วเสียงโอดร้องก็ดังขึ้นตาม “ท่านพ่อ เบามือด้วยขอรับ อย่าตีหน้า อย่าตีหน้าขอรับ นั่น น้องสี่มาแล้ว”

ผู้ชายที่ไล่ตีเจียงจั้นมีแผ่นหลังที่สูงใหญ่ พอได้ยินดังนั้นก็ยกเท้าเตะออกไปอีกหนึ่งที “น้องสี่เจ้าจะมาได้อย่างไร ไอ้ลูกไม่รักดี จนถึงตอนนี้ ยังจะโกหกข้าอยู่อีกหรือ!”

เจียงซื่อเห็นดังนั้นจึงเปล่งเสียง “ท่านพ่อเจ้าคะ”

คนที่มีแผ่นหลังสูงใหญ่ถึงกับชะงัก จากนั้นหันหลังกลับมาอย่างช้าๆ

สีหน้าของเจียงอันเฉิงแห่งจวนตงผิงปั๋วอ่อนโยนขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าลูกสาวคนเล็ก รวมไปถึงการเอาอกเอาใจ “ซื่อเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร”

“ลูกได้ยินว่าท่านพ่อกำลังอบรมพี่รอง ลูกเลยอยากมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ” เจียงซื่อตอบคำถามเจียงอันเฉิง แต่มองเจียงจั้น

ชายหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดถือว่าอยู่ในช่วงวัยกำลังเติบโต มีรูปร่างสูงโปร่งประหนึ่งต้นไผ่ แม้ว่าในเวลานี้จะโดนทุบตีจนดูแย่ไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่อาจปิดกั้นความหล่อบนใบหน้าลงได้

เจียงจั้นเหมือนกับเจียงซื่อ ที่ต่างก็มีหน้าตาเหมือนกับแม่ของตัวเอง

เจียงซื่อย่อตัวลงตรงหน้าเจียงจั้นพลางเอ่ยถาม “พี่รอง เป็นอย่างไรบ้าง”

เจียงจั้นทำตาโต เมื่อได้สบตากับเจียงซื่อ สีหน้าของเขาแดงระเรื่อลามไปถึงหู เขาปัดๆ มือเอ่ยตอบ “เจ้าวางใจได้ ข้าวิ่งเร็วมากเลยล่ะ”

“ลูกไม่รักดี เจ้าคงภูมิใจมากสินะที่วิ่งได้เร็วมาก” เจียงอันเฉิงเพิ่งสงบนิ่งลง แล้วไฟที่ดับไปก็ลุกไหม้อีกครั้งเพราะคำพูดของเจียงจั้น

เจียงจั้นเตรียมตัวจะหนีแล้ว แต่พอนึกได้ว่าน้องสาวดูอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าไม่ควรเสียความมั่นใจ จึงฝืนทนต่อไปโดยยืดตัวตรง “ท่านพ่อ อย่าโมโหอีกเลย ลูกเป็นคนหนังหนา ถึงแม้ว่าท่านลงมือตีแล้วไม่เจ็บมือก็ตาม แต่ระวังจะทำให้น้องตกใจ”

วันนี้น้องสาวของเขาส่งยิ้มให้ ถึงจะโดนท่านพ่อทุบตีจนสภาพแย่กว่าสุนัข แต่มันก็คุ้มค่า

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงจั้นรู้สึกคัดที่จมูกและหันหน้าหนีทันที เพราะกลัวว่าเจียงซื่อจะมองออก

เจียงซื่อเองก็รู้สึกจุกแน่นภายในอก

อีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้ พี่ชายของนางก็จะไปเล่นน้ำกับเพื่อนที่ทะเลสาบและจากโลกนี้ไปตลอดกาล ตอนนั้น ทางการตัดสินคดีนี้ว่าเป็นการตายโดยอุบัติเหตุ แต่นางมารู้ทีหลังว่าการตายของพี่ชายมีเงื่อนงำ

และในวันนี้ นางไม่ได้มาเพื่อช่วยชีวิตของพี่ชายเอาไว้แต่เพียงอย่างเดียว แต่นางยังจะทำให้คนที่ทำร้ายพี่ชายจนตายได้รับโทษในสิ่งที่เขาก่อไว้ด้วย

“ลูกไม่รักดี เจ้าอยากจะมุดช่องสุนัขก็ตามใจ แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ถ้ามีโจรเข้ามาจากช่องนี้จะทำอย่างไร”

เจียงจั้นยกมือขึ้นลูบศีรษะไปมา

สิ่งที่ท่านพ่อเป็นกังวลก็มีเหตุผล เมื่อคืนเขาเพิ่งโดนคนร้ายใช้อิฐโยนเข้าใส่ แต่เรื่องนี้จะพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด!

“ช่องสุนัขนั่น ข้าอุดเอาไว้แล้ว ข้าสัญญา ต่อไปนี้ข้าจะไม่เข้าออกด้วยช่องนั้นอีก”

เจียงอันเฉิงส่งเสียง ฮึ่ม หนึ่งที

การที่บุตรสาวคนเล็กอยู่ตรงนี้ มันทำให้เขาไม่สะดวกที่จะแสดงความโกรธอย่างเต็มที่ ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะทุบตีลูกไม่รักดีคนนี้ให้ขาหักเลยทีเดียว

“ซื่อเอ๋อร์กินอาหารเช้าหรือยัง”

“ยังเจ้าค่ะ ลูกคิดว่าจะน้อมทักท่านย่าก่อนแล้วค่อยกลับไปกินเจ้าค่ะ ท่านพ่อจะไปเรือนฉือซินกับลูกหรือไม่เจ้าคะ”

เมื่อเห็นสีหน้าของเจียงซื่อที่เต็มไปด้วยความคาดหวังจากเขา เจียงอันเฉิงไม่คิดสิ่งใดอีก และตอบ “ไปสิ ไปด้วยกันเลย”

บุตรสาวคนเล็กไม่สนิทกับเขาตั้งแต่เด็ก นี่เป็นครั้งแรกที่บุตรสาวคนเล็กส่งสายตาแห่งความคาดหวังเช่นนี้ให้กับเขา

เจียงซื่อยิ้มให้อย่างแผ่วเบา

ตอนนั้นนางเป็นเด็กไม่รู้เรื่อง มักดูถูกพ่อของตนว่าไม่มีความสามารถ ไม่เหมือนกับหย่งชังปั๋วจวนข้างๆ ที่สร้างผลงานใหญ่โต จนทำให้ลำดับศักดิ์ในตระกูลได้สืบทอดต่อไป และพวกเขายังทำให้นางถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม แต่นางกลับลืมไปว่าความรักที่ท่านพ่อมีให้กับนางนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจตีเป็นมูลค่าได้

“มีอะไรหรือเปล่า ซื่อเอ๋อร์”

“ไปกันเจ้าค่ะ” เจียงซื่อยกชายกระโปรงขึ้นและเดินออกไป

ชาติที่แล้วของเช้าวันนี้ กัวซื่อผู้มีสถานะเป็นฮูหยินของซื่อจื่อแห่งจวนอันกั๋วกง ได้เดินทางมาพูดคุยเรื่องงานแต่งงานของทั้งสองตระกูล แต่ไม่มีเรื่องราวที่พี่รองมุดช่องสุนัขนี้เกิดขึ้น และท่านพ่อก็ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า ท่านย่าเลยอนุญาตเรื่องนั้นโดยไม่รอปรึกษากับท่านพ่อก่อน

นางจำได้ว่า พอท่านพ่อกลับมาถึงแล้วรู้เรื่องเข้า ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขั้นทะเลาะมีปากเสียงกับท่านย่าไปยกใหญ่ หลังจากนั้นถึงเดินมาถามความเห็นของนาง

ในตอนนั้น นางตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสา “แล้วลูกยังสู้คนตายไม่ได้เชียวหรือ ถ้ายกเลิกงานสมรสนี้ไป แล้วท่านพ่อสามารถหาคนที่ดีกว่านี้ให้ลูกได้หรือไม่ล่ะเจ้าคะ”

ท่านพ่อนิ่ง แผ่นหลังเมื่อตอนเดินออกไป ราวกับแก่ขึ้นอีกหลายปี

เสียดายที่ตอนนั้นนางเกิดมามีตาที่ดีหนึ่งคู่ แต่กลับไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด

“ท่านพ่อ น้องสี่ รอข้าด้วย ข้าขอไปด้วยคน”